ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2482 ปิงฉือหานยวี่

ตอนที่ 2482 ปิงฉือหานยวี่
ตอนที่ 2482 ปิงฉือหานยวี่
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นที่ดึงดูดใจผู้คนได้มากเหลือเกิน ดึงเร้าวิญญาณ ทำให้ผู้พบเห็นอดที่จะเคลิบเคลิ้มหลงใหลไม่ได้ ทำให้ผู้คนอดที่จะจ้องมองจริงจังหลายครั้งไม่ได้ กระทั่งบางคนถึงกับน้ำลายไหลยืดออกมาทางมุมปากโดยไม่รู้ตัว
ความงดงามของฉินเจี้ยนเหยานั้นเปรียบประดุจเป็นภาพวาดน้ำหมึกภาพหนึ่ง ที่ลงพู่กันเพียงไม่กี่ทีก็สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นภาพๆ หนึ่ง ดูช่างเป็นอะไรที่ห่างไกล แตกต่างจากมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ห่างไกลจากกิเลสที่ไม่ธรรมดา และก็คล้ายดั่งเป็นดอกบัวสีม่วงอ่อนที่ขึ้นอยู่ในหุบเหวลึกและเงียบสงัด เป็นที่เบิกบานตาเบิกบานใจยิ่งนัก
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเสมือนดั่งเป็นภาพวาดสีน้ำมัน เหมือนเป็นภาพวาดจากการสาดสี งดงามเจิดจรัสละลานตาอย่างยิ่ง
หากจะกล่าวว่า พลันที่ผู้คนพบเห็นฉินเจี้ยนเหยาก็จะบังเกิดความรักใคร่ชื่นชม ทำให้มีจิตใจที่โน้มเข้าหา เสมือนดั่งเป็นเทพธิดาในดวงใจ
เช่นนั้นแล้ว พลันที่ผู้คนได้พบเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็จะทำให้จิตใจหวั่นไหว มีอารมณ์อยากจะครอบครองนางเป็นของตน นางช่างสวยหยาดเยิ้มมากเหลือเกิน
“การเสด็จมาขององค์หญิงหานยวี่ ยิ่งทำให้งานแต่งเติมสีสันมากยิ่งขึ้น” ฉินเจี้ยนเหยาได้มาต้อนรับด้วยตนเอง และกล่าวด้วยความยิ้มแย้มเมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้มาถึง
“เป็นองค์หญิงหานยวี่แห่งตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ” ในเวลานี้เอง ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็จดจำประวัติความเป็นมาของผู้หญิงคนนี้ได้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองดูนางด้วยความโลภละโมบหลายที บ้างถึงกับไม่อยากจะละสายตากลับไปเลย
แม้ว่าองค์หญิงหานยวี่แห่งตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือนั้นช่างเย้ายวนใจผู้คนเหลือเกิน ทำให้ผู้คนบังเกิดอารมณ์สายหนึ่งอยากจะครอบครองมาเป็นของตน แต่ว่า แม้ภายในใจจะมีความคิดที่ชั่วร้ายขึ้นแต่ก็ไม่มีใครกล้ากระทำการใดๆ
สมควรทราบว่า แม้ปิงฉือหานยวี่จะเป็นคุณหนูของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ศักยภาพของนางหาใช่ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนที่เป็นองค์หญิงตกยากสามารถเทียบเคียงได้ นางมีกำลังความสามารถที่ดุร้ายองอาจห้าวหาญ มีอาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรจำนวนมากอยู่ในครอบครอง เพียงบันดาลโทสะก็สามารถสังหารเทพได้ ใครเล่าหาญกล้าไปหาเรื่องนางง่ายดาย?
ยิ่งไปกว่านั้น นางคือคู่หมั้นของราชันแท้จริงปาเจิ้น ใครกล้าคิดไม่ซื่อกับนางเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง เมื่อไรที่ทำให้พวกเขาต้องโกรธ เกรงว่าคงไม่มีที่ยืนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
“ข้าเองเพิ่งจะมาถึงเขาจิ่วเหลียนซานยังไม่ทันได้เข้าที่พัก ได้ยินว่าเทพธิดาจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่จึงได้แวะมาดู” ปิงฉือหานยวี่ยิ้มกล่าว พลันที่นางยิ้มก็คลายดั่งดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง มีสีสันสวยสดเพริศพริ้ง ฉอเลาะออดอ้อนอย่างยิ่ง ทำให้ผู้พบเห็นอดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
เดิมทีฉินเจี้ยนเหยากับปิงฉือหานยวี่ก็รู้จักกันอยู่แล้ว ดังนั้น การพบกันอีกครั้งจึงไม่แปลกหน้าสำหรับพวกนาง และกล่าวทักทายซึ่งกันและกัน
เวลานี้แม้แต่ทังเฮ่อเสียง หม่าจินหมิงก็ทยอยกันเดินเข้าไปทักทาย สำหรับหยางฟู่ฝานนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาได้แสดงความเคารพในฐานะผู้เยาว์ต่อปิงฉือหานยวี่
ความจริงแล้ว อายุอานามของหยางฟู่ฝานนั้นต่างจากปิงฉือหานยวี่ไม่เท่าไร เพียงแต่ว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือกับแคว้นว่านเจิ้นได้เกี่ยวดองสมรสกันแล้ว ปิงฉือหานยวี่คือคู่หมั้นของราชันแท้จริงปาเจิ้น อนาคตก็คืออาจารย์แม่ของหยางฟู่ฝาน ดังนั้นที่เขายึดถือและปฏิบัติก็คือธรรมเนียมในฐานะผู้เยาว์
“เทียนจือสบายดีรึ? ” ปิงฉือหานยวี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อหยางฟู่ฝานเดินเข้ามาทักทาย
เทียนจือก็คือชื่อจริงของราชันแท้จริงปาเจิ้น แน่นอน การที่ปิงฉือหานยวี่เรียกชื่อของเขาตรงๆ ก็ใช่จะไม่ได้อยู่แล้ว
“เรียนองค์หญิง ท่านอาจารย์สบายดี ท่านกำลังกักตนเพื่อบรรลุค่ายกลโบราณจูเซียน” หยางฟู่ฝานรีบตอบตามความเป็นจริง
“พรสวรรค์ของเทียนจือเหนือกว่าข้า ข้าเชื่อว่ารอเวลาที่เขาออกจากการกักตนก็คือวันที่เขาสำเร็จค่ายกลโบราณขั้นสมบูรณ์” ปิงฉือหานยวี่พยักหน้ากล่าว
แม้จะกล่าวว่า การหมั้นหมายครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจของบรรดาบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แต่ทว่า สำหรับการหมั้นหมายครั้งนี้ตัวของปิงฉือหานยวี่ก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น ในใจรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
จะอย่างไรเสีย ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือกับแคว้นว่านเจิ้นนับว่ามีความเหมาะสมกัน อีกทั้งราชันแท้จริงปาเจิ้นยังมีวาสนาที่น่าตกใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยรู้จักกันมากัน ต่างฝ่ายต่างก็มีความรู้สึกที่ไม่เลวซึ่งกันและกันมา ดังนั้น ขณะทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองสมรสกัน ทุกอย่างจึงสำเร็จลงด้วยดี และนางก็จะแต่งไปกลายเป็นฮองเฮาของแคว้นว่านเจิ้น เป็นราชินีราชัน
สำหรับการหมั้นหมายก่อนหน้า ในใจขององค์หญิงหานยวี่ย่อมไม่พอใจ ครั้งนั้นพอนางทราบว่าตนเองจะต้องแต่งงานกับรัชทายาทที่วันๆ ไม่ทำอะไร และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนั้น นางรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง และคัดค้านอย่างรุนแรง
เพียงแต่เวลานั้นฮ่องเต้ไท่ชิงยังอยู่ ซึ่งเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในหล้า การคัดค้านของนางจึงไม่บังเกิดผลใดๆ แต่อย่างใด
ครั้นรัชทายาทขึ้นครองราชย์กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ปิงฉือหานยวี่ยังคงไม่พอใจต่อการหมั้นหมายในครั้งนี้ แม้ว่าการแต่งเข้าวังถือเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งก็ตาม แต่นางมองว่า ผู้ชายเฉกเช่นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่โง่เขลาเบาปัญญา มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมไม่คู่ควรกับนางอยู่แล้ว ผู้ชายประเภทเจ้าชู้อันธพาลทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนในใจ ยิ่งไปกว่านั้นสวะที่ไร้ความสามารถคนหนึ่ง จะไปคู่ควรกับสตรีผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า
ดังนั้น ในครั้งนั้นตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็หาช่องว่างด้วยการนำเอาองค์หญิงตกยากอย่างปิงฉือหยิ่งเจี้ยนมาทดแทนนางเพื่อแต่งเข้าวัง แต่งงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่
ในสายตาของจางมองว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่คู่ควรกับนางอยู่แล้ว เป็นคางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้าโดยแท้
“ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน” หยางฟู่ฝานกล่าวตอบ
ปิงฉือหานยวี่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “การออกจากการกักตนของเทียนจือจะต้องสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วหล้าแน่นอน คำนวณเวลาแล้วเขาคงใกล้จะออกจากการกักตนแล้ว ข้าคิดว่าเขาจะต้องมาที่เขาจิ่วเหลียนซานแน่นอน ข้าจะไปตระเตรียมการสักหน่อย เพื่อให้เขาพบปะกับผู้กล้าทั่วหล้า”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง และจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอิจฉาและริษยาในใจด้วยความแค้นเคือง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปิงฉือหานยวี่
ผู้คนจำนวนมากเท่าไรต้องหัวใจเต้นตูมตามกับหญิงงามที่เย้ายวนชวนหลงใหลและสวยหยาดเยิ้มกันเล่า น่าเสียดาย ไม่มีสิทธิ์ได้เสวยสุขกับหญิงงานเช่นนี้เท่านั้นเอง
ผู้หญิงงดงามเย้ายวนใจชวนหลงใหลเช่นนี้ยังมีจิตใจที่ดีงาม มีความเข้าใจและมีเหตุมีผล ยังไม่ทันได้แต่งเข้าแคว้นว่านเจิ้นก็สามารถทำเพื่อราชันแท้จริงปาเจิ้นแล้ว กล่าวสำหรับราชันแท้จริงปาเจิ้นแล้วสามารถแต่งงานกับภรรยาที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องอิจฉาริษยาอย่างยิ่ง
“ในเมื่อองค์หญิงก็ได้มาถึงแล้ว ก็นั่งอีกสักหน่อย” เวลานี้ฉินเจี้ยนเหยาออกปากเชื้อเชิญองค์หญิงหานยวี่
“ขอบคุณในความหวังดีของเทพธิดา ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึงเขาจิ่วเหลียนซาน แบะเทียนจือก็กำลังจะออกจากการกักตน ข้าจำเป็นต้องไปจัดการสักหน่อย หานยวี่ไม่อยู่เป็นเพื่อนกับท่านทั้งหลายแล้ว หานยวี่ขอคารวะทุกท่านหนึ่งจอก ทุกท่านไม่สนุกกไม่เลิก” เวลานี้ปิงฉือหานยวี่ก็ดูสง่างามเปิดเผยตรงไปตรงมา ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดจอก ขณะที่ริมฝีปากของนางมีน้ำสุราอยู่นั้น ยิ่งดูงามหยาดเยิ้มยิ่งนัก
“คารวะองค์หญิง คารวะราชันแท้จริง” ผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันคารวะตอบปิงฉือหานยวี่ บรรยากาศดูร้อนแรงยิ่งนัก
ทุกคนต่างทยอยกันยกจอกเหล้าขึ้น ผู้คนจำนวนมากต่างกระดกหมดจอกในครั้งเดียว เมื่อได้เห็นปิงฉือหานยวี่ที่มีความงดงามเช่นนี้ทั้งยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ไม่รู้ว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องอิจฉา
“ที่นี่คึกครื้นเสียจริงนะเนี่ย ดูท่าเหมือนว่าข้าจะพลาดอะไรบางอย่างไป” ในเวลานี้เอง เสียงที่เอ้อระเหยเสียงหนึ่งดังขึ้น ดูเป็นธรรมชาติและเงียบสงบ
เสียงที่โผล่ขึ้นมากะทันหันได้ทำลายบรรยากาศที่คึกครื้นนี้ไป พลันทำให้ทุกคนต่างหันหลังกลับไป ทยอยกันมองไปยังทิศทางที่เป็นต้นเสียง
เมื่อทุกคนมองไป ในเวลานี้มองเห็นหลี่ชิเย่ได้เดินเข้าป่าหินอย่างช้าๆ หลิ่วชูฉิงเดินคล้องแขนของเขาอยู่ เสมือนหนึ่งเป็นภรรยาตัวน้อยที่เขินอายอย่างนั้น
“เป็นเขา” ในขณะนี้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันมองตากันและกัน เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่เดินเข้ามายังป่าหิน ทุกคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ส่วนใหญ่เคยเห็นหลี่ชิเย่มาก่อน เวลานี้หลี่ชิเย่พลันมาถึงที่ตรงนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ต้องการจะทำอะไร
จะอย่างไรเสียทุกคนต่างก็รู้ว่า งานเลี้ยงยิ่งใหญ่คราวนี้ฉินเจี้ยนเหยาไม่ได้เชิญหลี่ชิเย่ที่เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่มาร่วมงาน แต่ว่า เขากลับมาที่นี่หรือว่าต้องการก่อเรื่องอย่างนั้นรึ?
ฉินเจี้ยนเหยาถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลี่ชิเย่เดินเข้าป่าหินมา ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ในใจของนางมีความรู้สึกที่ไม่คาดคิดอย่างหนึ่ง เพียงแต่นางไม่ได้พูดอะไรต่อไป
สีหน้าของหม่าจินหมิงพลันดูบึ้งตึง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับบุกเข้ามาในงานโดยลำพัง ส่งเสียงฮึเย็นชาและกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคนแซ่หลี่ งานเลี้ยงยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้เชิญเจ้า เจ้ามาทำไม งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่นี่เจ้ามีสิทธิ์เข้าร่วมอย่างนั้นรึ? ”
“นี่มันงานเลี้ยงยิ่งใหญ่บ้าบออะไร” หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปมองดูหม่าจินหมิง และกล่าวว่า “จำเป็นด้วยหรือที่ข้าจะต้องมางานเลี้ยงบ้าบอนี้รึ? ” กล่าวพลางก็ไม่สนใจผู้อื่นอีกต่อไป แต่เดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้บอกกล่าวกับใคร จ้องมองดูเก้าอี้หินตัวนั้นที่ตั้งอยู่บนยอดเขาตัวนั้น
“เขาเป็นใคร? ” ปิงฉือหานยวี่ยังไม่เคยพบเห็นหลี่ชิเย่ที่เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่มาก่อน จึงเอ่ยถามขึ้น
“เรียนองค์หญิง เขาก็คือฮ่องเต้องค์ใหม่” หยางฟู่ฝานรีบกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ปิงฉือหานยวี่พลันขมวดคิ้วทีหนึ่งทันทีที่ได้ยินคำพูดของหยางฟู่ฝาน จ้องมองหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่งและเผยท่าทางที่สะอิดสะเอียนขึ้นมา นางเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความเหลวไหลไร้คุณธรรมของฮ่องเต้องค์ใหม่มานาน หลังจากสูญเสียบัลลังก์แล้วยังไม่รู้จักทำตัวค่อมต่ำเก็บออมท่าที ยังคงไม่รู้จักระมัดระวังตัว ไม่รู้จักคำว่าตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ดูไปแล้วก็คือพวกไร้สมองคนหนึ่ง
หลี่ชิเย่ยืนอยู่ด้านหน้าบันไดหิน มองดูที่นั่งที่อยู่ด้านบน ขึ้คร้านจะไปสนใจเหล่าผู้คนพวกนั้น
“ไม่ทราบ ไม่ทราบท่านมีธุระอะไรรึ? ” ฉินเจี้ยนเหยาขมวดคิ้วทีหนึ่งและเอ่ยถามขึ้น
ก่อนหน้านั้น นางก็ไม่ได้เรียกหลี่ชิเย่ว่า ‘ฝ่าบาท’ แล้ว เวลานี้รู้สึกว่าเรียกเขาว่า ‘คุณชายหลี่’ ดูจะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปเรียกว่า ‘ท่าน’ แทน
“ทำไม มาที่นี่สักครั้งยังจำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าทราบอย่างนั้นรึ? ทุกพื้นที่ของแผ่นดินนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าข้าเท่านั้น ข้าอยากมาก็มา อยากไปก็ไป” หลี่ชิเย่ขี้คร้านมองดูฉินเจี้ยนเหยา
ฉินเจี้ยนเหยารู้ตัวว่าไร้อารมณ์ ได้แต่ถอยไปยืนอยู่ด้านข้างและไม่อยากพูดอะไรอีก
“วาจาสามหาวมาก” เวลานี้ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ยังคงกำแหงอวดดีเช่นนี้ จะอย่างไรเสียเขามีใจรักชอบในฉินเจี้ยนเหยา ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากอนาคตวัดจิ้งเหลียนกวานสนับสนุนเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ล่ะก็ ไม่แน่นักฉินเจี้ยนเหยาก็คือฮองเฮา
อีกทั้งหากเขาคิดจะขึ้นนั่งบัลลังก์ ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คือสิ่งกีดขวางที่เขาจะต้องกำจัดทิ้ง
“แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของเจ้าอีกแล้ว” เวลานี้ทังเฮ่อเสียงเอ่ยขึ้นมาเย็นชา
หลี่ชิเย่ในเวลานี้จึงได้ละสายตากลับมา มองดูทังเฮ่อเสียงด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายทีหนึ่ง และกล่าวว่า “คนนี่คือแม่ทัพทังมิใช่รึ? ทำไม หรือแผ่นดินนี้เป็นของเจ้าอย่างนั้นรึ? ”
“แผ่นดินขึ้นอยู่กับอาณาประชาราษฎร์ใต้หล้า ผู้มีคุณธรรมได้ครอง…” ทังเฮ่อเสียงเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เอาล่ะ ไม่ต้องมาทำเป็นสุภาพเรียบร้อย” หลี่ชิเย่โบกมือและกล่าวว่า “อยากเป็นฮ่องเต้ก็พูดออกมาตรงๆ ก็ได้ เจ้าก็เวลานี้แหละที่กล้ายืดอกพูดต่อหน้าข้า ขณะที่ข้าขึ้นครองราชย์นั้น เจ้าคุกเข่าอยู่ด้านล่างท้องพระโรง ตัวสั่นงันงกแม้แต่ผายลมยังไม่กล้า ขอเพียงข้าสั่งการออกไปคำหนึ่งเจ้าก็หัวหลุดออกจากบ่า หลังจากผ่านไปนาน มาวันนี้จึงกล้าโผล่ออกมาทำท่าน่าเกรงขาม
เจ้า…ทังเฮ่อเสียงพลันถูกยั่วโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ครั้งนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทั่วหล้าล้วนมาเฝ้า ทังเฮ่อเสียงก็อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแต่ในเวลานั้นมันแตกต่างกัน กองทัพหยินมี่รักษาการณ์พระราชวัง และมีซุนหยิ่งหลิ่งอารักขาด้วยตนเอง แม้บารมีของฮ่องเต้องค์ใหม่แม้เทียบไม่ได้กับฮ่องเต้ไท่ชิง แต่ก็อยู่เหนือใต้หล้า
ในเวลานั้น ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ใครบ้างที่กล้ามีใจเป็นอื่น? อย่าว่าแต่หกกองทัพใหญ่เลย แม้แต่ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้าก็ต้องยอมมาเฝ้าฮ่องเต้องค์ใหม่แต่โดยดี เพื่อน้อมต้อนรับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่
ในขณะนั้น เรียกได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ยืนอยู่จุดสูงสุดของขั้วอำนาจในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
วันที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แม่ทัพอุดรก็คัดค้านฮ่องเต้องค์ใหม่มิใช่รึ เพียงพูดขาดคำฮ่องเต้องค์ใหม่ได้สั่งการออกมาคำหนึ่ง ก็ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดสาดท้องพระโรง
สมควรทราบว่า นั่นคือหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพใหญ่เลยนะ อำนาจล้นฟ้า แต่ภายใต้การคุ้มครองของกองทัพหยินมี่ และซุนหลิ่งหยิ่ง บอกประหารก็ประหารเลยสำหรับแม่ทัพอุดร แม้ว่าบัลลังก์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่มั่นคง ยังคงฆ่าไม่มีละเว้นเช่นกัน
ในขณะนั้น แม้ว่าทังเฮ่อเสียงก็มีอำนาจมากในมือในฐานะแม่ทัพของกองทัพองครักษ์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้องค์ใหม่ทำได้แค่คุกเข่ากราบอยู่ที่ท้องพระโรง เหมือนเช่นที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น ในขณะนั้นเขาไม่กล้าส่งเสียงและไม่กล้าพูดมากความ
เวลานี้ทังเฮ่อเสียงมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วหล้า คือผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกให้เป็นฮ่องเต้ยุคใหม่ เมื่อถูกหลี่ชิเย่ต่อว่าต่อหน้าอัจฉริยะบุคคลทั่วหล้าเช่นนี้ ทำให้ทังเฮ่อเสียงสุดที่จะรับได้
“วันนี้แตกต่างจากเมื่อวาน” ในขณะที่ทังเฮ่อเสียงรู้สึกอึดอัดยิ่งนั้น แค่คำพูดคำเดียวของปิงฉือหานยวี่ก็ได้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้กับเขา ปิงฉือหานยวี่เพียงจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาเย็นชาเรียบเฉยทีหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แผ่นดินนี้ไม่ได้อยู่ในมือของเจ้าอีกแล้ว หากรู้จักสถานการณ์ ทำตัวค่อมต่ำและเก็บงำไว้บ้าง บางทีอาจรักษาชีวิตของเจ้าได้”
…………………….
ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท