ตอนที่ 2501 ผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่ขยะ
หลินปิงโต่วเจ่อ เจียเจิ้นเลียดเฉียนสิง เคล็ดวิชาทั้งเก้า ซึ่งก็คือสุดยอดเคล็ดวิชาสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ และก็คือรากฐานของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด และคือสุดยอดเคล็ดวิชาที่ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทุกรุ่นพยายามเสาะแสวงหาเพื่อบรรลุด้วยความยากลำบาก
หลินปิงโต่วเจ่อ เจียเจิ้นเลียดเฉียนสิงเป็นคาถาบทหนึ่ง ในห้วงพันล้านปีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่ผ่านมา มีศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่เคยบรรลุมัน และมีอัจฉริยะบุคคลและปรัชญาเมธีจำนวนมากที่เคยบรรลุมันมาก่อน
อักขระทั้งเก้าตัวนี้ก็คือเคล็ดวิชาจิ่วมี่ ท่ามกลางเคล็ดวิชาจิ่วมี่นี้ ทุกๆ เคล็ดวิชาล้วนแล้วแต่กลายเป็นพลังภายใน เคล็ดวิชา กระทั่งกลายเป็นเคล็ดกระบวนท่าของสำนักใดสำนักหนึ่ง และหรือกลายเป็นกระบวนท่ากระบวนใดกระบวนหนึ่งที่สุดยอดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
แต่ว่าท้ายที่สุดก็กลับคืนสู่ดั้งเดิม นี่แหละจึงเป็นความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่แท้จริงของเคล็ดวิชาจิ่วมี่ และสามารถแสดงถึงอานุภาพของมันได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น ทุกๆ เคล็ดวิชาของเคล็ดวิชาจิ่วมี่ที่มองว่ามีอักษรเพียงตัวเดียวเท่านั้น ความจริงแล้วอักษรทุกตัวล้วนแล้วแต่รวบรวมการเปลี่ยนแปลงของสัจธรรมที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมยิ่งเอาไว้ ซึ่งกฎระเบียบสัจธรรมที่บ่มฟักและแฝงอยู่ด้านในเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ดั่งมหาสมุทร เนื่องเพราะเหตุนี้เอง คิดอยากจะบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่นั้นมีความยากเย็นอย่างยิ่ง สามารถบรรลุได้หนึ่งเคล็ดวิชาในจำนวนนั้นก็เพียงพอที่ทำให้ได้รับประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด กระทั่งทำให้ผู้นั้นสามารถก่อตั้งสำนักของตนขึ้นมา
ความจริงแล้ว ราชวงศ์โต่วเซิ่นและห้าแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในยุคปัจจุบัน ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขามีคนไหนบ้างที่ไม่ได้บรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่แล้วก็สามารถไปก่อตั้งสำนักของตน? มีคนไหนบ้างที่ไม่เป็นเพราะบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่แล้วไปก่อตั้งรากฐานของตนที่สามารถยืนหยัดนับพันล้านปีโดยไม่ล่มสลาย?
ในรอบพันล้านปีที่ผ่านมาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ อัจฉริยบุคคลที่สามารถบรรลุได้หนึ่งเคล็ดวิชาในจำนวนนั้นก็สามารถก่อตั้งสำนักของตนขึ้นมาได้ ถ้าหากสามารถบรรลุได้ทั้งเก้าเคล็ดวิชา ย่อมมีความสุดยอดเพียงใด เป็นข่าวที่เขย่าขวัญเช่นใด หรือบางทีอาจสามารถเทียบเท่าปฐมบรรพบุรุษ
ผู้คนจำนวนเท่าไรใช้เวลาชั่วชีวิตก็ไม่สามารถได้เห็นแม้เพียงเคล็ดวิชาเดียว มาวันนี้เคล็ดวิชาจิ่วมี่อยู่ตรงหน้านี้เอง ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน
เคยได้ยินมานานแล้วว่า เขาจิ่วเหลียนซานได้ซ่อนเคล็ดวิชาจิ่วมี่เอาไว้ มาวันนี้จึงได้รับการยืนยันอย่างแท้จริง บรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิมองเห็นคาถาทั้งเก้าที่ประทับสลักอยู่บนท้องฟ้าอดที่จะเหม่อลอยและพึมพำขึ้นมา
มีคำเล่าลือว่าในเขาจิ่วเหลียนซานได้ซ่อนเคล็ดวิชาจิ่วมี่เอาไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เอง พันล้านปีที่ผ่านมามีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ทยอยกันมาทำความบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ที่เขาจิ่วเหลียนซาน แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่กลับบ้านมือเปล่า
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเคยมีผู้ที่เกิดความลังเล สงสัยว่าเป็นความจริงหรือไม่ที่เขาจิ่วเหลียนซานได้ซ่อนเคล็ดวิชาจิ่วมี่เอาไว้
มาวันนี้ดูไปแล้วในเขาจิ่วเหลียนซานได้ซ่อนเคล็ดวิชาจิ่วมี่เอาไว้จริงๆ คนรุ่นก่อนไม่ได้หลอกลวงพวกเขา เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถบรรลุสิ่งลึกลับที่ลึกซึ้งที่อยู่ภายในเท่านั้น
เคล็ดวิชาจิ่วมี่เท่านั้นเอง จะไปยากอะไร ยื่นมือคว้าเอามาได้ตามอารมณ์ หลี่ชิเย่พูดด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่าได้ทำเรื่องๆ หนึ่งที่เล็กน้อยมากไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึงเท่านั้น
นาทีนี้ฟ้าดินเงียบสงัด ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้
ถ้าหากหลี่ชิเย่พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาก่อนหน้านั้นคงไม่มีใครเชื่อ คิดว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนหนึ่ง เป็นผู้ที่พูดจากโอหังคนหนึ่งเท่านั้นเอง
เวลานี้ใครล่ะกล้าพูดอะไรสักคำ เรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า เคล็ดวิชาจิ่วมี่เขาก็แค่คว้าเอามาตามอารมณ์ นาทีนี้ต่อให้เขาพูดคำพูดที่พาลเช่นใดออกมาก็ตาม พูดคำพูดที่อวดดีอย่างไรก็ดี ก็ไม่รู้สึกว่าอวดดี เป็นเพียงคำพูดที่ปรกติอย่างยิ่ง เป็นคำพูดที่ธรรมดามากคำหนึ่งเท่านั้น
นาทีนี้เขามีศักยภาพเช่นนี้ เขามีสิทธิ์พูดคำพูดใดๆ ออกมาก็ได้
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ยังคงยื่นมือขวาออกไป นิ้วมือของเขาดีดเบาๆ ทีหนึ่ง ได้ยินเสียงดังปุขึ้นมาเสียงหนึ่ง ช่องว่างทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานเหมือนกระเพื่อมทีหนึ่งดั่งน้ำในทะเลสาบ บริเวณช่องว่างที่อยู่ตรงปลายนิ้วของหลี่ชิเย่ปรากฎเป็นระลอกคลื่น และกระเพื่อมขยายตัวไปยังช่องว่างทั้งหมด ภาพนั้นแลดูงดงามยิ่งนัก
มองดูช่องว่างที่มีการกระเพื่อมและขยายออก และมองเห็นเคล็ดวิชาจิ่วมี่ก็มีการกระเพื่อมตามเช่นกัน
ชั่วพริบตาเดียวนี่เอง ได้ยินเสียงช่าาาแต่ละเสียงที่ดังขึ้นมา มองเห็นเคล็ดวิชาจิ่วมี่ที่กระเพื่อมถึงกับเสมือนดั่งเม็ดทรายอย่างนั้น ซึ่งเสมือนดั่งมีลมพัดเข้ามาสายหนึ่ง ทำการพัดพาเอาเคล็ดวิชาจิ่วมี่ไป
พริบตาเดียวนี่เอง เคล็ดวิชาจิ่วมี่เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นเม็ดทรายสีทองขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่นิ้วมือของหลี่ชิเย่กลับคล้ายเปี่ยมด้วยแรงดึงดูดอย่างนั้น เม็ดทรายสีทองที่ถูกลมพัดพาให้ลอยขึ้นล้วนแล้วแต่ถูกดูดให้ไหลไปยังปลายนิ้วมือของหลี่ชิเย่
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เม็ดทรายสีทองได้รวมตัวกันเป็นสาย และรวมตัวกันขึ้นที่ปลายนิ้วมือของหลี่ชิเย่ จากการรวมตัวของเม็ดทรายขนาดเล็กเหล่านี้และมีการถักทอเข้าด้วยกัน กลายเป็นหลักกฎเกณฑ์ที่เล็กจิ๋วเส้นหนึ่ง โดยที่หลักกฎเกณฑ์ทั้งเส้นเสมือนดั่งโซ่ทองขนาดจิ๋วที่ทำขึ้นมาจากทองคำ มีความละเอียดงดงามอย่างยิ่ง และดูมีมากมายสับสนวุ่นวาย มันคืองานศิลปะชิ้นหนึ่งชัดๆ
ในขณะนี้ หลักกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วเปล่งประกายดั่งเพชรที่วูบวาบออกมา ทุกๆ ประกายขนาดเล็กที่เสมือนประกายเพชรล้วนแล้วแต่เป็นที่ประทับใจอะไรอย่างนั้น เหมือนว่าหลักกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วเส้นนี้ก็คล้ายเป็นโลกๆ หนึ่งอย่างนั้น ข้างในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลก
คาถากฎเกณฑ์ บรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วที่พันรอบนิ้วมือของหลี่ชิเย่ ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ อดที่จะกลืนน้ำลายลงคอคำหนึ่งไม่ได้
ผู้ที่รู้เรื่องดีต่างก็รู้ว่า สิ่งที่ดูเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วได้บ่มเพาะและแฝงไว้ซึ่งเคล็ดวิชาจิ่วมี่ ถ้าหากสามารถได้รับกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วเส้นนี้ ก็เท่ากับได้เคล็ดวิชาจิ่วมี่มา
เคล็ดวิชาจิ่วมี่นะเนี่ย ศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทุกคนล้วนแล้วแต่ทราบว่าเคล็ดวิชาจิ่วมี่นั้นล้ำค่าเพียงใด และประเมินราคาไม่ได้เช่นใด กล่าวได้ว่ากฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วเส้นนี้ที่อยู่ตรงหน้าล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั่งหมด มันคือของวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้โดยแท้
ดังนั้น นาทีนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรอดที่จะกลืนน้ำลายคำหนึ่ง ถ้าหากสามารถได้กฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วเส้นนั้น ก็เท่ากับมีเคล็ดวิชาจิ่วมี่ทั้งหมด อนาคตการก่อตั้งสำนักจะไม่ใช่ปัญญาอีกต่อไป
เคล็ดวิชาจิ่วมี่ก็แค่นี้อง หลี่ชิเย่พินิจดูกฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วที่พันรอบระหว่างนิ้วมือ ยิ้มไปตามอารมณ์ กล่าวต่อหลิ่วชูฉิงที่อยู่ข้างกายว่า นังหนู สิ่งนี้ถือว่าข้ามอบให้เจ้าในโอกาสได้พบหน้ากัน พลันที่พูดขาดคำ นิ้วมือจิ้มไปที่กลางหน้าผากของหลิ่วชูฉิง
เสียงปุดังขึ้นเสียงหนึ่ง เมื่อนิ้วมือของหลี่ชิเย่จิ้มไปที่กลางหน้าผากของหลิ่วชูฉิงนั้น กลางหน้าผากของหลิ่วชูฉิงได้เปิดออก ปรากฏทะเลแห่งความรู้ขึ้นมา ในพริบตาเดียวนั่นเอง กฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วสายนี้พลันมุดเข้าไปยังทะเลแห่งความรู้ของหลิ่วชูฉิงทันที
จังหวะที่หลิ่วชูฉิงยังไม่ทันได้สติกลับมานั้น กฎเกณฑ์ขนาดจิ๋วเส้นนี้ก็ได้มุดเข้าไปในทะเลแห่งความรู้ของนางโดยพลัน ได้ยินเสียงตูมที่ดังสนั่นหวั่นไหว ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทะเลแห่งความรู้ปรากฎคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดไปทั่ว หลิ่วชูฉิงพลันยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น ไม่สามารถเรียกสติกลับมาเป็นเวลานาน
เนื่องจากหลิ่วชูฉิงรู้สึกว่าตนเองนั้นถูกก้อนหินขนาดยักษ์ทุบเข้าให้ทีหนึ่งอย่างกะทันหัน มองเห็นเป็นดาวเป็นเดือน รู้สึกมึนงงไม่สามารถได้สติกลับมาเป็นเวลานาน ภายในระยะเวลาอันสั้น นางไม่สามารถย่อยสลายเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้อยู่แล้ว
จะอย่างไรเสีย กฎเกณฑ์ที่มุดเข้าไปในทะเลแห่งความรู้ของหลิ่วชูฉิงในขณะนี้คือเคล็ดวิชาจิ่วมี่ มันมีความลึกซึ้งยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมดั่งมหาสมุทร ไม่มีสิ้นสุด ต่อให้เป็นอัจฉริยะบุคคลมากกว่านี้ก็ไม่สามารถย่อยสลายความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของหลักสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ลึกซึ้งภายในระยะเวลาอันสั้นได้ กล่าวได้ว่าเวลานี้หลิ่วชูฉิงไม่ได้เป็นลมล้มลง ก็นับว่ามีความยอดเยี่ยมมากแล้ว
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ยืนเหม่อลอยแข็งทื่อเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ เคล็ดวิชาจิ่วมี่ช่างเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เพียงใด กระทั่งกล่าวได้ว่า เคล็ดวิชาจิ่วมี่ก็เสมือนหนึ่งเป็นขุมทรัพย์ อย่าว่าแต่คนใดคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นสำนักใดสำนักหนึ่ง หากสามารถมีเคล็ดวิชาจิ่วมี่ไว้ในครอบครอง ก็จะได้ประโยชน์ไม่มีสิ้นสุดทุกยุคสมัย
ไม่ว่าใครก็ตาม หากตนเองสามารถได้ครอบครองเคล็ดวิชาจิ่วมี่ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าอันดับแรกจะต้องยึดครองเอาไว้เป็นของตน กระทั่งไม่ยอมแบ่งปันให้กับผู้อื่น แม้จะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดมากที่สุดก็ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่ชิเย่ได้รับเคล็ดวิชาจิ่วมี่มาแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่าเขาจะต้องยึดเอาเคล็ดวิชาจิ่วมี่มาเป็นของตนนั้น แต่หลี่ชิเย่กลับมอบให้กับหลิ่วชูฉิงตามอารมณ์ ช่างเป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นใด ช่างเป็นความใจกว้างเพียงใด
สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ บอกให้ก็ให้เลย มือเติบเช่นนี้อย่าว่าแต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เกรงว่าผู้ที่มีทรัพย์สมบัตินับไม่ถ้วนในครอบครองก็ไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้
เคล็ดวิชาจิ่วมี่พลันบอกว่าให้ก็ให้ไปเลย โดยม่มีลังเลแม้แต่น้อยนิด ไม่มีเสียดายแม้แต่น้อย ละทิ้งเหมือนใบหญ้า คนที่ไม่รู้ความจริงยังคงเข้าใจว่าที่ให้ไปนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร
เคล็ดวิชาจิ่วมี่นะเนี่ย ถึงกับถูกฮ่องเต้องค์ใหม่มอบให้กับหลิ่วชูฉิงอย่างกับว่าเป็นผักกาดขาว ซึ่งทำให้ทุกคนมองดวงตาคู่นั้นแทบถลน กระทั่งไม่กล้เชื่อสายตาของตน
เสียสติไปแล้วรึ? กระทั่งระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณล้วนแล้วแต่ไม่กล้าเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง อดที่จะพึมพำคุยกับตนเอง
ของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ มีเพียงคนสติไม่ดีเท่านั้นที่มอบให้กับผู้อื่นตามอารมณ์ หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตาม ถือเอาเป็นของรักของหวงแทบไม่ทัน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ทุกคนจึงได้สติกลับมา ทุกคนจึงได้รู้ว่าใช่ว่าพวกเขาตาลาย และไม่ได้ฝันไป เป็นความจริงที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้มอบเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้กับหลิ่วชูฉิงตามอารมณ์จริงๆ
สิ่งนี้ก็เหมือนดั่งฮ่องเต้องค์ใหม่พูดเอาไว้เมื่อครู่ เคล็ดวิชาจิ่วมี่มันก็แค่นี้เอง ช่างเป็นคำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิด่ขึ้น
เกรงว่าคำพูดประโยคลักษณะเช่นนี้ คงเป็นคำพูดที่อันธพาลมากที่สุดที่พวกเขาได้ยินมาชั่วชีวิต มองเคล็ดวิชาจิ่วมี่เหมือนใบหญ้า หรือว่าในสายตาของฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว เคล็ดวิชาจิ่วมี่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว
ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองไปที่หลิ่วชูฉิง มีผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากได้ครองครองเป็นอันมาก และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อิจฉาริษยา ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยคาดหวังว่าตนเองาสามารถกลายเป็นกลายเป็นหลิ่วชูฉิง ได้ครอบครองเคล็ดวิชาจิ่วมี่ และเป็นสิ่งที่ได้รับประโยชน์ไม่มีสิ้นสุดตลอดชาติ!
มีระดับบรรพบุรุษบางส่วนอดที่จะทอดถอนใจขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ลิขิตเอาไว้แล้ว ลองคิดดู ขณะที่ผู้คนทั่วหล้าหัวเราะเยาะฮ่องเต้องค์ใหม่ ขณะที่คนใต้หล้าทุกคนต่างเหยียดหยามต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ คนอื่นๆ ต่างทำลายสัญญาหมั้นหมายนั้น มีใครบ้างที่เคียงข้างอยู่ข้างกายของเขา? ซึ่งก็มีเพียงหลิ่วชูฉิงเท่านั้น ผู้คนใต้หล้าต่างมองว่าเป็นสวะ หลิ่วชูฉิงกลับปฏิบัติตามสัญญาหมั้นหมาครั้งนี้โดยไม่ลังเล ขณะที่ทุกคนหัวเราะเยาะเขา เหยียดหยามเขา มีเพียงหลิ่วชูฉิงที่อยู่ข้างกายของเขา และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเช่นกัน
การที่หลิ่วชูฉิง สามารถได้รับเคล็ดวิชาจิ่วมี่ในวันนี้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สมเหตุสมผล
ในขณะนี้ ภายในจิตใจของฉินเจี้ยนเหยาสับสนวุ่นวายยิ่งนัก ขณะมองดูหลี่ชิเย่ยกเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้กับหลิ่วชูฉิงไปตามอารมณ์ นางถือว่าตนเองนั้นฉลาดเฉลียวชั่วชีวิต เข้าใจว่าตนเองนั้นมีสายตาที่มองได้ทะลุ มีความเฉลียวฉลาด มาวันนี้ดูไปแล้วตนเองยังคงยากที่จะหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา
หากวันนั้น ตนเองไม่ได้ถูกความคิดของมนุษย์ปุถุชนบดบังดวงตาทั้งสอง ไม่แน่นักบางทีตัวเองก็รู้จักว่าอะไรคือไข่มุก และไม่ถูกใบไม้บังตา บางทีนาทีนี้คนที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่อาจเป็นตนเองก็เป็นได้
เสียดาย โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก และไม่มีคำว่าเสียใจภายหลัง ขณะที่นางได้ตัดสินใจเลือกไปแล้วนั้น ทุกอย่างก็เป็นที่แน่นอนแล้ว
ในเวลานี้เอง ฉินเจี้ยนเหยาอดที่จะทอดถอนใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม เหมือนสูญเสียอะไรไปบางอย่าง เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่ได้วิจารณ์เอาไว้อย่างนั้น บางทีตนเองนั้นยังคงพื้นๆ ธรรมดาไปนิด ไม่สามารถหลุดพ้นจากมนุษย์ปุถุชนธรรมดาได้อย่างแท้จริง
………………………………………………………