ตอนที่ 2535 คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์
ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสามของวัดจิ้งเหลียนกวาน ตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้น ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ทุกคนล้วนแล้วแต่ตระหนก
ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสามของวัดจิ้งเหลียนกวาน ตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้น ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ทุกคนล้วนแล้วแต่ตระหนก
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีห้าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุด เวลานี้ยกเว้นปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของสำนักเสินสิงเหมิน และหอหลินไห่เก๋อแล้ว ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดอีกสามคนล้วนแล้วแต่มากันพร้อมหน้าแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้าปรากฏตัวออกมาน้อยมาก เนื่องจากพวกเขาเป็นตัวแทนพลังที่แกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เมื่อใดที่พวกเขาปรากฎตัวย่อมเป็นการบ่งบอกว่ามีเรื่องใหญ่ที่สะเทือนเลื่อนลั่นเกิดขึ้นมาแล้ว
เวลานี้ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน สิ่งนี้จึงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยแอบตื่นตระหนกในใจ
“วัดจิ้งเหลียนกวานก็มาด้วยแล้ว” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหนือความคาดคิด เมื่อมองเห็นปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของวัดจิ้งเหลียนกวานก้าวเดินออกมาจากประกายศักดิ์สิทธิ์ อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
หากจะกล่าวว่า ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นว่านเจิ้นและตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือปรากฎตัวขึ้นมาพร้อมกันนั้น ทุกคนยังสามารถเข้าใจได้ โดยเฉพาะแคว้นว่านเจิ้นที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นตายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้องค์ใหม่ เกรงว่าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นว่านเจิ้นคงไม่อาจไม่แก้แค้นให้กับเขา ยิ่งไปกว่านั้น การที่แคว้นว่านเจิ้นของพวกเขาก้าวเดินมาถึงจุดนี้ในวันนี้ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ระหว่างพวกเขากับฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ หากไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย
สำหรับตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือนั้นก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน จะอย่างไรเสียพวกเขากับแคว้นว่านเจิ้นยืนอยู่ในแนวร่วมเดียวกัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สองสำนักใหญ่จำเป็นต้องก้าวเดินไปด้วยกัน
ขณะที่วัดจิ้งเหลียนกวานนั้นแตกต่างกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาระหว่างวัดจิ้งเหลียนกวานกับฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ได้มีความขัดแย้งรุนแรงมากนัก แม้จะกล่าวว่าฉินเจี้ยนเหยาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาหมั้นหมายในครั้งนั้น ไม่ได้แต่งงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่ว่า ใช่ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สำหรับเรื่องนี้ระหว่างวัดจิ้งเหลียนกวานกับฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ถือเป็นความขัดแย้งแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ใช่ว่าอนาคตจะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว
จะอย่างไรเสียเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาหมั้นหมายนั้น ทางวัดจิ้งเหลียนกวานก็ไม่เคยพูดว่าจะฉีกสัญญาหรือไม่ให้การยอมรับตลอดเวลาที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ความขัดแย้งระหว่างวัดจิ้งเหลียนกวานกับฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นต่ำที่สุด
แต่ทว่า เวลานี้ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของวัดจิ้งเหลียนกวานก็ปรากฎตัวออกมาพร้อมกับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นว่านเจิ้น และตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือ นับว่าอยู่เหนือความคาดคิดของผู้คนมากเหลือเกิน
การปรากฎตัวขึ้นมาของปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดวัดจิ้งเหลียนกวานใช่เพียงทำให้ทุกคนรู้สึกเหนือความคาดคิด แม้แต่ฉินเจี้ยนเหยาเองก็ตระหนกอย่างยิ่ง เนื่องจากนางได้รายงานสถานการณ์ทุกอย่างเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ใหม่กับทางสำนักแล้ว และได้เสนอความเห็นต่อสำนักว่า อย่าได้เป็นศัตรูกับฮ่องเต้องค์ใหม่ เพื่อความอยู่รอดแล้วกระทั่งสามารถยอมศิโรราบต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ได้
ฉินเจี้ยนเหยายังเข้าใจว่าบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของสำนักจะเห็นด้วยกับความเห็นของนาง ไม่นึกเลยว่าในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของพวกเขาพลันปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน อีกทั้งยังยืนอยู่เป็นแนวร่วมเดียวกันกับแคว้นว่านเจิ้น และตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือ สิ่งนี้พลันทำให้ฉินเจี้ยนเหยาถึงกับใจหายใจคว่ำ
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใดบรรดาเหล่าบรรพบุรุษภายในสำนักของตนจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ ถูกสิ่งใดบดบังจิตใจทำให้ยังคงคิดเป็นศัตรูกับฮ่องเต้องค์ใหม่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
มาในรูปนี้พลันทำให้ฉินเจี้ยนเหยารู้สึกงงงันอยู่บ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมีได้รับการยกย่องด้านความสงบนิ่ง แต่ทว่า ในขณะนี้นางเองก็รู้สึกสับสนแล้ว การที่วัดจิ้งเหลียนกวานพลันเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเดียวกันกับตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือ และแคว้นว่านเจิ้น ได้ทำให้แนวความคิดของนางถูกทำให้ยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้นางพลันทำอะไรไม่ถูก
ตึง ตึง ตึงเสียงระฆังดังขึ้นมาเป็นระลอก จังหวะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกเหนือความคาดคิดกับการที่วัดจิ้งเหลียนกวานยืนอยู่แนวร่วมเดียวกันกับแคว้นว่านเจิ้น และตระกลูขุนนางโบราณปิงฉืออยู่นั้น เสียงระฆังได้ดังก้องไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
ในเวลานี้ ทุกคนต่างทยอยกันมองไปยังทิศทางต้นเสียงที่เสียงระฆังดังแว่วมา
“เป็นเขากัวชางซาน เป็นเสียงระฆังที่ส่งมาจากเมืองหลวง” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหนือความคาดคิดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินชัดเจนถึงทิศทางเสียงที่ส่งเข้ามา กล่าวด้วยความตระหนกระคนความแปลกใจว่า “เป็นใครกันที่สั่นระฆังให้ดังขึ้น? หรือจะเป็นการบัญชาการใต้หล้าอย่างนั้นรึ?”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ ได้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทอดสายตาไปยังตัวของหลี่ชิเย่
แม้จะกล่าวว่า ในวันนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ถูกขับไล่ลงจากบัลลังก์ สูญเสียแผ่นดินไป แต่ทว่าในทัศนะคติของผู้คนจำนวนมากแล้ว อำนาจฮ่องเต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังคงอยู่ในมือที่เป็นสายของฮ่องเต้ไท่ชิงพวกเขา
ถึงจะกล่าวว่า ในขณะนี้เมืองหลวงอยู่ในความดูแลของกองทัพต่างๆ แต่ว่า พวกเขาก็เป็นเพียงกองทัพเท่านั้น ไม่สามารถเป็นตัวแทนอำนาจฮ่องเต้ และพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์บัญชาการใต้หล้า
เวลานี้ภายในเมืองหลวงปรากฏเสียงระฆังที่ดังขึ้น เป็นใครกันแน่ที่ลั่นระฆังขึ้นมากันแน่? ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ก็อยู่ที่ตรงนี้เอง ไม่มีคำสั่งของฮ่องเต้มีใครกล้าลั่นระฆังขึ้นโดยพละการอย่างนั้นรึ?
“นี่ไม่ใช่เป็นการบัญชาใต้หล้า” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั่วไปยังได้ยินเสียงระฆังดังกล่าวเป็นครั้งแรก แต่ว่า มีระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิเมื่อฟังดูอย่างละเอียดแล้วถึงกับตื่นตระหนกและกล่าวว่า “นี่คือระฆังหลวง ไม่เคยได้ดังขึ้นมาเป็นเวลานาน นานมากๆ แล้ว”
“ระฆังหลวง? มันคืออะไรรึ?” กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่รู้กระทั่งระฆังหลวง และไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“มันคือระฆังใบที่แทนขั้วอำนาจใบนั้น” ระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิรู้สึกตื่นตระหนก และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ระฆังหลวงก็จะอยู่ในมือของราชวงศ์โต่วเซิ่นมาโดยตลอด เพียงแต่ ระฆังหลวงอยู่ในความควบคุมของคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ตลอดมา และมีเพียงคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะมีอำนาจลั่นระฆังหลวงใบนี้ เมื่อมีการลั่นระฆังหลวงแล้ว ก็จะเป็นการประกาศต่อใต้หล้าให้ทราบโดยทั่วกัน”
‘คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์’ เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคยชื่อนี้แล้ว มีผู้อดที่จะตกใจไม่ได้และกล่าวว่า “คือคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกฮ่องเต้ไท่ชิงทำลายทิ้งไปนั่นรึ?” แม้ว่าในยุคปัจจุบันจะมีน้อยคนนักที่เอ่ยถึงชื่อของคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ว่า ยังคงมีผู้คนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จำนวนมากที่รู้จักคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์
ในอดีต แม้จะกล่าวว่าเป็นราชวงศ์โต่วเซิ่นที่ปกครองใต้หล้า แต่ทว่า อำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่เคยอยู่ในมือของฮ่องเต้ตลอดมา ฮ่องเต้เป็นเสมือนโฆษกของราชวงศ์โต่วเซิ่นเท่านั้น ผู้ที่สามารถกำหนดรูปแบบของราชวงศ์โต่วเซิ่นได้อย่างแท้จริงนั้น คือบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของราชวงศ์โต่วเซิ่นที่จัดตั้งขึ้นในรูปของคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์
ในสมัยนั้น เรื่องใหญ่ทุกเรื่อง หรือนโยบายหลักล้วนแล้วแต่ตัดสินโดยคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ ตัวของฮ่องเต้เองมักจะเป็นผู้ประกาศใช้อยู่เสมอๆ
ภายหลังฮ่องเต้ไท่ชิงได้เป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย เขาได้รวบอำนาจเพียงผู้เดียวและยกเลิกคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์เสีย เล่าลือกันว่าครั้งนั้นศึกการแย่งชิงอำนาจระหว่างฮ่องเต้ไท่ชิงกับคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นไปยังโหดร้ายทารุณ และหลังจากที่ฮ่องเต้ไท่ชิงได้รวบอำนาจเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยนับจากนั้นเป็นต้นมา ดังนั้น ภายหลังจึงมีผู้กล่าวว่าฮ่องเต้ไท่ชิงได้สังหารคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ ทำให้หายวับไปกับตาในพริบตาตั้งแต่นั้น
“นับตั้งแต่คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์หายสาบสูญไปแล้ว ระฆังหลวงก็ไม่เคยได้ดังขึ้นอีกเลย” ระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิอดที่จะเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ภายหลังราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนก็แทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่สูงสุด ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า หลังจากกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว ระฆังหลวงได้ดังขึ้นอีกครั้ง”
“คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์จะผงาดขึ้นมาอีกครั้งรึ?” มียอดฝีมืออดที่จะสนใจยิ่ง และพึมพำขึ้นมา
เล่าลือกันว่าคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหารโดยฮ่องเต้ไท่ชิงนานมาแล้ว อย่างไรก็ตาม มาวันนี้ระฆังหลวงได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าเป็นตัวแทนขั้วอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ แทนคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
“คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังจะฝากเตือนไปถึงปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสาม หรือว่าคิดการอย่างอื่นเอาไว้” มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่แอบเหลือบมองไปยังหลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า
จะอย่างไรเสีย เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คือตัวแทนอำนาจฮ่องเต้อยู่แล้ว ขณะที่คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนว่าสามารถเป็นตัวแทนของสายตรง ต่างก็เป็นสายของราชวงศ์โต่วเซิ่นเหมือนกัน ตามหลักการแล้ว คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ควรจะยืนอยู่ข้างฝ่ายของฮ่องเต้องค์ใหม่จึงจะถูกต้อง
“ไม่แน่เสมอไป” มีผู้ที่กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นี่คือความแค้นยาวนานหลายชั่วคน”
เมื่อพูดขึ้นมาแบบนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่ามันมีเหตุผล คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์เคยควบคุมอำนาจของราชวงศ์โต่วเซิ่นมายุคแล้วยุคเล่า หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่ชิงรวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียวแล้วก็ยกเลิกคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ขณะที่ฮ่องเต้องค์ใหม่คือลูกหลานของฮ่องเต้ไท่ชิง คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์จะยืนอยู่ข้างฝ่ายของฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างนั้นรึ? จะให้การสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างเต็มที่รึ? ทุกคนต่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นี่มันคือความแค้นที่ยาวนานมาหลายชั่วอายุคน
ตูม ตูม ตูม…ในเวลานี้เอง ที่เขากัวชางซานที่อยู่ไกลถึงสุดขอบฟ้าปรากฏเสียงตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอก เหมือนมียอดเขาที่สูงใหญ่ยิ่งถูกเปิดออกอย่างนั้น ท่ามกลางเสียงดังตูมตามเสียงนี้ มองเห็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง เสมือนหนึ่งขุมทรัพย์ศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตถูกเปิดออกอย่างนั้น
ในที่สุด ท่ามกลางเสียงตูมที่ดั่งสนั่นขึ้นมา ปรากฏพลับพลาที่เก่าแก่โบราณหลังหนึ่งลอยขึ้นมา และลอยล่องอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์นั่น พลับพลาหลังนี้มีความเก่าแก่โบราณยิ่ง เมื่อมองจากระยะห่างไกล กระทั่งคล้ายสร้างขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์อย่างนั้น
พลับพลาที่เก่าแก่โบราณหลังหนึ่ง ในขณะนี้ได้ทิ้งกฎเกณฑ์สัจธรรมแต่ละสายลงมา โดยที่หลักกฎเกณฑ์แต่ละสายดูจะตลบอบอวลด้วยความขมุกขมัว มากด้วยพลังยิ่งใหญ่ เสมือนดั่งเป็นตำหนักเทพสูงสุดอย่างนั้น แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามออกมา
“นี่ก็คือพลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์” ผู้คนจำนวนมากต่างจดจำพลับพลาที่เก่าแก่โบราณหลังนี้ได้ขณะมองเห็นแต่ไกล และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง
จะอย่างไรเสีย หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่ชิงรวบอำนาจเอาไว้แต่ผู้เดียวแล้ว พลับพลาที่เก่าแก่โบราณก็หายไปไร้ร่องรอย ทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นฮ่องเต้ไท่ชิงที่จัดการสังหารบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ภายในพลับพลาที่เก่าแก่โบราณไปทั้งหมด ไม่นึกเลยว่า หลังจากยุคของฮ่องเต้ไท่ชิงสิ้นสุดลงแล้วพลับพลาที่เก่าแก่โบราณได้ปรากฎตัวขึ้นมาอีกแล้ว
“เพราะอะไรพลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้?” มีผู้ที่เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
พลันที่ถามคำถามนี้ขึ้นมากะทันหัน ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตะลึงงัน ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้าซึ่งกันและกันกับเรื่องนี้
ครั้งนั้น ทหารพันธมิตรของตระกลูขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้นเป็นต้นเข้าตีเมืองหลวงนั้น พลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏตัว ฮ่องเต้องค์ใหม่ถูกไล่ลงจากบัลลังก์ สูญเสียแผ่นดินไป พลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ปรากฎ ขณะมีการแย่งชิงอำนาจทั่วหล้าพลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงไม่ปรากฏตัว…เวลานี้พลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์พลันโผล่ขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดคิดได้
ตามหลักแล้ว หากคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องการแย่งชิงอำนาจจริง ควรจะเผยโฉมออกมานานแล้ว ควรจัดการทุกอย่างให้จบสิ้นไปในคราเดียว และเป็นผู้กุมอำนาจฮ่องเต้ แต่ว่าคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์กลับไม่ได้ปรากฏตัว กลับจะมาปรากฏตัวเอาในเวลานี้ ด้วยระยะเวลาเช่นนี้ดูเหมือนจะบังเอิญเกินไปแล้ว
“เกรงว่าจะมาด้วยเรื่องของเชือกเก้าเซียน” มีระดับบรรพบุรุษนึกดูแล้ว สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นช้าๆ
ในเวลานี้พวกเขารู้สึกว่า การปรากฏตัวของพลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มาด้วยเรื่องของอำนาจ เพราะหากต้องการอำนาจเกรงว่าพลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์คงปรากฎตัวนานแล้ว
การโผล่ออกมาของพลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้ คิดไปคิดมาก็คงมีเพียงเชือกเก้าเซียนที่คุ้มค่าแก่พลับพลาคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ที่จะปรากฎตัวขึ้นมา
ตูม…ตูม…ตูม…ในขณะนี้เอง เสียงตูมตามดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย ฟ้าดินสั่นไหวโคลงเคลงไปมา ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสาม และพลับพลาที่เก่าแก่โบราณได้รุดมายังเขาจิ่วเหลียนซานพร้อมกัน อีกทั้งพวกเขาต่างยึดครองคนละด้าน โอบล้อมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ท่าทีเหมือนว่าเป็นการโอบล้อมต่อหลี่ชิเย่ที่อยู่บนเขาจิ่วเหลียนซาน
ในขณะนี้ ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสามก้าวเดินมาทีละก้าวๆ หนึ่งก้าวของพวกเขาคือสิบล้านลี้ หนึ่งก้าวหนึ่งฟ้าดิน อีกทั้งทุกๆ ก้าวที่ก้าวออกไป ก็จะทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เสมือนดั่งเป็นการสลักเอาไว้ตรงนั้น ไม่สามารถลบเลือนหายไปได้
สำหรับพลับพลาที่เก่าแก่โบราณนั้น ท่ามกลางเสียงดังตูมเสียงหนึ่ง มันได้พุ่งทำลายอากาศธาตุที่ว่างเปล่า ก้าวข้ามสิบล้านลี้ อาศัยความเร็วที่ปราศจากผู้เทียบเทียมบินตรงไปยังเขาจิ่วเหลียนซาน
“ล้วนแล้วแต่มาด้วยฮ่องเต้องค์ใหม่ทั้งสิ้น” ทุกคนต่างเข้าใจถึงจุดประสงค์ของคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์กับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งสามแล้ว เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาทำการปิดกั้นสี่ทิศ และล้อมกรอบเข้ามาจากทุกทิศทุกทางเข้ามายังเขาจิ่วเหลียนซาน พวกเขาต้องการตัดขาดทางหนีของฮ่องเต้องค์ใหม่ทั้งหมด ต้องการล้อมฮ่องเต้องค์ใหม่เอาไว้
…………………………………………