ตอนที่ 2559 พระราชทาน
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะหลี่ชิเย่ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ปิงฉือหานยวี่ก็ได้คุกเข่าอยู่ตรงนั้นแล้ว
เป็นอะไรไป? หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ มองดูปิงฉือหานยวี่ที่คุกเข่ามานานอยู่ตรงนั้น
ปิงฉือหานยวี่คุกเข่าอยู่กับพื้น และกล่าวว่า เหล่าบรรพบุรุษของตระกูลไร้ความรู้และโง่เขลา เป็นศัตรูกับฝ่าบาท ก่อความผิดมหันต์ โดยที่บ่าวไม่สามารถทำอะไรได้ จึงขอรับโทษจากฝ่าบาท ขอฝ่าบาทลงทันฑ์
เจ้าเองก็ไม่ได้มีความผิดอะไร หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวท่าทีเรียบเฉย
ปิงฉือหานยวี่คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น ก้มหน้าและกล่าวว่า แม้สามารถอภัยให้กับบ่าวได้ แต่บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลมีความผิดมหันต์ ความผิดนี้สามารถล้างตระกูลได้ บ่าวยินดีรับโทษแทน
พูดแบบนี้ เจ้าต้องการจะขอความเมตตาแทนตระกูลของเจ้าน่ะสิ หลี่ชิเย่มองหน้าปิงฉือหานยวี่แวบหนึ่ง ยิ้มกล่าวท่าทีเรียบเฉย
บ่าวเพียงหวังจะรับโทษแทนตระกูล เพื่อลบล้างความผิดของตระกูลให้เบาลง ปิงฉือหานยวี่ก้มหน้าและเอ่ยขึ้นช้าๆ
เอาเถอะ หลี่ชิเย่มองดูปิงฉือหานยวี่แวบหนึ่ง กล่าวท่าที่เฉยเมยว่า เห็นแก่เจ้า ไม่ล้างตระกูลปิงฉือพวกเจ้าก็แล้วกัน แต่ที่สมควรลงโทษยังต้องลงโทษ ที่ควรตัดยังคงต้องตัด
ขอบพระทัยฝ่าบาท… ปิงฉือหานยวี่อดรู้สึกดีใจไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ก้มกราบกับพื้น นางเองก็ไม่นึกว่าหลี่ชิเย่จะยอมให้อภัยตระกูลปิงฉือของพวกเขา ขณะคุกเข่าอยู่ที่ตรงนี้ นางได้เตรียมใจกับกรณีที่เลวร้ายที่สุดแล้ว นางกระทั่งนึกไปถึงว่าตระกูลของตนจะต้องถูกทำลายล้าง แม้แต่ตนเองก็ต้องถูกลงโทษ ไม่นึกเลยว่า ท้ายที่สุดแล้วหลี่ชิเย่ยังคงให้อภัยพวกเขา
บุญคุณของฝ่าบาท บ่าวยินดีเป็นวัวเป็นควายเพื่อตอบแทน ปิงฉือหานยวี่ คุกเข่าอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน ซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตาออกมา
อืมม ไม่เลว หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และสั่งการไปว่า ลุกขึ้น ปรนนิบัติให้ดีก็แล้วกัน
ปิงฉือหานยวี่รีบลุกขึ้นมา และไปยุ่งอยู่กับการเตรียมการสำหรับการล้างหน้าบ้วนปากของหลี่ชิเย่ ในขณะนี้นางปฏิบัติตัวอยู่ในฐานะของบ่าวไพร่คนหนึ่ง
จังหวะที่หลี่ชิเย่ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จสิ้น ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานก็ได้มาเข้าเฝ้าแต่เช้า
เจ้ามาได้ทันเวลาเลยนี่ หลี่ชิเย่จ้องมองชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานทีหนึ่ง หัวเราะและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า หลายวันที่ผ่านมาไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้า เวลานี้กลับโผล่ออกมาแล้ว
เหอะ เหอะ เหอะชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะเจื่อนๆ ดูดยาสูบจากกล้องยาสูบคำหนึ่ง หัวเราะเจื่อนๆ และพูดว่า อานุภาพฝ่าบาทปราศจากผู้ต่อกร ปราบปรามเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ข้าน้อยทักษะยุทธอ่อนด้อย ได้แต่ตัวสั่นงันงกหลบอยู่ใต้โต๊ะ ไหนเลยจะมีหน้าออกมาพบกับฝ่าบาท ยิ่งไม่สามารถรองรับได้กับอานุภาพที่ไร้เทียมทานของฝ่าบาทได้
เอาล่ะ ประจบสอพลอกันพอแล้ว หลี่ชิเย่โบกมือโดยไม่ได้ใส่ใจ กล่าวเรียบเฉยว่า มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาได้เลย
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถูมือไปมา หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง และกล่าวว่า ฝ่าบาทยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นผู้ที่มีชีวิตรอดออกมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์เป็นคนแรกนับแต่อดีตเป็นต้นมา ข้าน้อยความรู้น้อยนิด ดังนั้นจึงอยากจะฟังประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ของฝ่าบาทในคุกหลวงดึกดำบรรพ์สักหน่อย
เจ้าอย่าทำเป็นพูดวกวน พูดออกมาตรงๆ ก็ได้ หลี่ชิเย่เหลือบมองเขาทีหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า อ้อมหัวข้อสนทนาไปครึ่งค่อนวัน เจ้าก็แค่ต้องการรู้เรื่องสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะ
ฝ่าบาททรงพระปรีชา ฝ่าบาททรงพระปรีชา ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่งไม่ได้ และกล่าวว่า ข้าน้อยความรู้น้อยนิด ดังนั้น จึงอยากจะเพิ่มพูนประสบการณ์ ขอฝ่าบาทได้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ข้าน้อยยินดีรับฟังการสอนสั่งจากฝ่าบาท
ทำเป็นสุภาพมีมารยาทกับข้าให้น้อยๆ หน่อย หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า เอาเถอะ เห็นแก่ตาเฒ่าอย่างเจ้าที่รู้จักกาลเทศะ ข้าก็จะดีกับเจ้าเป็นพิเศษ เกี่ยวกับความเป็นอมตะของคุกหลวงดึกดำบรรพ์นั้น เกรงว่าคงครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์มาชั่วชีวิตแล้วล่ะ เช่นเดียวกับฮ่องเต้ไท่ชิง ล้วนแล้วแต่ไม่ละความพยายาม
มดปลวกอยากมีชีวิต ให้ฝ่าบาทต้องเยาะเย้ยแล้ว ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะเจื่อนๆ
ก่อนหน้านี้ เขาจะดูดกลืนพลังชั่วร้าย โดยหันหน้าเข้าหาคุกหลวงดึกดำบรรพ์ ฝึกปรือสัจธรรม สิ่งที่เขาสืบเสาะค้นหา ทำความบรรลุก็คือความเป็นอมตะ เขาเองก็คิดจะได้เห็นความลึกซึ้งยอดเยี่ยมบางอย่างจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์
แน่นอน ในฐานะที่ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานดำรงอยู่ในสถานะที่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เขาคิดอยากจะมีชีวิตที่อมตะก็หาใช่เป็นเรื่องน่าอาย นับแต่อดีตเป็นต้นมาใครบ้างไม่อยากมีชีวิตเป็นอมตะ ตั้งแต่ราชันแท้จริงถึงปฐมบรรพบุรุษ มีใครบ้างที่ไม่อยากมีชีวิตเป็นอมตะ? ใครบ้างที่ไม่เคยคิดอยากจะได้ชีวิตเป็นอมตะ? ต่อให้ปฐมบรรพบุรุษที่ปราศจากผู้ต่อกรมากกว่านี้ ปราดเปรื่องน่าทึ่งมากกว่านี้ ล้วนแล้วแต่เคยคิดอยากจะมีชีวิตเป็นอมตะมาก่อน
ข้าจะเมตตาเป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าได้เห็น หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย กล่าวพลางหยิบเอาดินสีดำออกมาให้ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานดู
นี่คือ… ครั้นชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานมองเห็นดินสีดำนี้แล้วอดที่จะตกใจยิ่งไม่ได้ จากนั้นใช้สองมือกอบเอาไว้ และพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
นี่แหละคือความเป็นอมตะที่เจ้าต้องการ หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานสองมือกอบดินสีดำเอาไว้ด้วยความเคารพยิ่ง ระมัดระวังอย่างยิ่ง ในขณะนี้ดินสีดำที่กอบอยู่ในมือของเขาก็คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก เป็นสิ่งที่สุดยอดมีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า
จิตเทพนี้… หลังจากที่ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้พินิจพิเคระห์อย่างละเอียดแล้ว อดตื่นตระหนกยิ่งไม่ได้ และพึมพำขึ้นมาว่า จิตเทพเช่นนี้ มีอยู่ในโลกหรือไม่?
เจ้าคิดว่าล่ะ? หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย
บางที สิ่งนี้ไม่ใช่ของโลกมนุษย์ กล่าวได้ว่าชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานเป็นผู้มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง แต่ยังคงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าดินสีดำนี้กำเนิดมาจากที่ใดกันแน่
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า กระทั่งกล่าวได้ว่า ในความหมายบางแง่มุมแล้วแม้แต่ความเป็นอมตะก็ไม่สำคัญ อย่างน้อยที่สุดสำหรับโลกนี้แล้วเป็นเช่นนี้
ความหมายของฝ่าบาท… ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดตื่นตระหนกไม่ได้ ถ้าหากถึงขั้นแม้แต่ชีวิตความเป็นอมตะก็ไม่สำคัญแล้ว เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น? ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานนับเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นอันประเสริฐที่กว้างไกลและเป็นผู้มีประสบการณ์ ดังนั้น เวลานี้เขาอดที่จะบังเกิดความหวั่นไหวขึ้นในใจไม่ได้
นี่เป็นการบ่งบอกว่าเคยมีคนผ่านมาก่อน ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่เพ่งไปข้างหน้า พลันดวงตาทั้งสองดูลึกล้ำยิ่งนัก กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า สิ่งนี้เดิมทีไม่ถือเป็นของๆ โลกใบนี้ และไม่เป็นของๆ โลกใดๆ อย่างน้อยเป็นเช่นนี้ภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้ แต่ มันกลับปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว แดนสามเซียนก็ใช่ว่าจะแกร่งจนทำลายไม่ได้ ภายใต้ท้องฟ้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมั่นคงแข็งแรงอย่างเด็ดขาด
โลกนี้มีสถานที่ที่ปลอดภัยหรือไม่? ภายในใจของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่งเมื่อได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้ว มีแนวความคิดที่น่ากลัวอย่างยิ่งผุดขึ้นมา เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว เขาเองก็อดที่จะหวาดผวาจนขนลุกซู่ไม่ได้
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน บางทีข้าอาจบอกว่ามี หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า แต่ว่า มาถึงวันนี้แล้วทุกอย่างคงพูดยาก มีคำโบราณคำหนึ่งพูดได้ดีมาก ภายใต้รังที่คว่ำลงไหนเลยจะมีไข่ที่สมบูรณ์ได้ กล่าวได้ว่า แดนสามเซียนนั้นสงบปลอดภัยมานานมากไปแล้ว เคยถูกมองว่าแข็งแกร่งยากจะทำลายได้ มาวันนี้ดูไปแล้วมันก็ไม่แน่เสมอไป
หากเป็นเช่นนี้จริง ควรจะทำอย่างไร? ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถึงกับเหม่อลอย และพึมพำขึ้นมา
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า ถ้าหากพูดแบบหมดอาลัยตายอยากนิดหนึ่ง ก็คือนอนรอความตาย ชีวิตคนเราใครบ้างที่ไม่ตาย? จะอย่างไรก็ต้องตาย เพียงแต่ตายเร็วตายช้าเท่านั้นเอง
เมื่อชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้วถึงกับตะลึงงัน ในเวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นก็ได้แต่รอความตายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายก็ต้องตาย แค่ตายเร็วตายช้าเท่านั้นเอง
แล้วฝ่าบาทล่ะ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้สติกลับมา อดที่จะเอ่ยถามแผ่วเบาขึ้นมา
หลี่ชิเย่มองไปที่ๆ ห่างไกล มองไปได้ไกลมากๆ ดวงตาทั้งสองดูลึกล้ำอย่างยิ่ง ในเวลานี้ตัวเขาเสมือนดั่งก้าวข้ามวันเวลา ทะลุผ่านนิรันดร์กาล เหมือนสามารถมองทะลุอดีตปัจจุบันอย่างนั้น
ข้า? หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่จึงละสายตากลับมา ยิ้มเรียบเฉย และกล่าวว่า ข้ายังจะทำอะไรได้? มีเพียงรบสักครั้งเท่านั้น สงครามเคียงข้างข้าอยู่เสมอ ข้าอยู่ที่ไหนก็จะมีสงคราม ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกเสือสิงห์กระทิงแรกอะไรก็ตาม ขอเพียงข้าอยู่ก็คือศึกสงคราม
สงครามไม่มีสิ้นสุด ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดที่จะลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพเลื่อมใส และกล่าวว่า ฝ่าบาทคือตัวอย่างของรุ่นพวกเรา จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของฝ่าบาทแข็งแกร่งมั่นคง เป็นสิ่งที่รุ่นพวกเราไม่สามารถก้าวถึงได้ตลอดกาล
เอาล่ะ อย่าประจบสอพลออีกเลย หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง แน่นอน เขาหาได้ประจบสอพลอไม่ คำพูดที่พูดออกมาเมื่อครู่มันออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
หลังจากที่ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้สติกลับมา อดที่จะพินิจพิเคราะห์ดินทีดำนั่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขารู้สึกแปลกใจ และกล่าวว่า กลิ่นอายที่อยู่ภายในนี้ เคยปรากฏขึ้นที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นมาก่อน
พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าเคยพบเห็นมาก่อนแล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวท่าทีเรียบเฉย
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานรีบกล่าวว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าท่องไปถึงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ทันใดนั้น ปรากฏกลิ่นอายสายหนึ่งปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ว่า กลิ่นอายสายนี้มาไวไปไว ข้าเคยติดตามมัน แต่มันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนว่านั่นเป็นเพียงความบังเอิญอย่างนั้น แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม กลิ่นอายนี้ได้ฝากความทรงจำให้กับข้าลึกซึ้งมาก ดังนั้น กระทั่งวันนี้ข้าก็ยังจำได้
นั่นแสดงว่าไม่ผิดแล้วล่ะ หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า มันสมควรเป็นเช่นนี้ เพียงแต่เรื่องบางเรื่องหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียอีก
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้อดที่จะมองไปด้านนอก ท่าทางดูหนักแน่นจริงจังอยู่บ้าง
สามารถได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ชาตินี้ถือว่าไม่สูญเปล่าแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ใจกว้าง ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานใช้สองมือกอบดินสีดำนี้ส่งมอบคืนให้กับหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ได้หยิบเอาดินสีดำกระจุกเล็กๆ จากดินสีดำกองนี้ กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า เห็นแก่เจ้าที่รู้จักสถานการณ์ มอบให้เจ้านิดหนึ่ง แม้ว่าไม่สามารถทำให้เจ้าเป็นอมตะได้ แต่ก็สามารถทำให้เจ้ามีอายุขัยยืนยาวขึ้น
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดที่จะตะลึงงันไม่ได้ รู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อได้สติกลับมา เขารู้ถึงความล้ำค่าของดินสีดำนี้ รีบคุกเข่าลงกราบรู้สึกขอบคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ และกล่าวว่า ขอบพระทัยฝ่าบาทที่กรุณา จากนั้นรับเอาดินสีดำกระจุกเล็กๆ นี้เอาไว้ด้วยความเคารพ และเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง
อนาคตระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังต้องการให้เจ้ามาช่วยบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้เต็มที่เถอะนะ หลี่ชิเย่สั่งการออกไปตามอารมณ์
ความหมายของฝ่าบาท… ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้เมื่อได้สติกกลับมา แม้ว่าภายในใจของเขาก็สามารถนึกถึงเรื่องนี้ได้ เพียงแต่มันมาถึงรวดเร็วเหลือเกิน
แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของข้า ยังไม่คู่ควรให้ข้าต้องอยู่เฝ้ารักษา หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า แต่ คิดจะบริหารมันให้ดีก็ใช่จะเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
ข้าน้อยเข้าใจ ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานรีบกราบอีกครั้ง และกล่าวว่า ต่อไปขอเพียงฮองเฮาพระนางมีสิ่งใดที่ต้องการให้ข้าน้อย ต้องการให้เขาจิ่วเหลียนซานรับใช้ แค่สั่งการมาก็พอแล้ว
ย่อมไม่ต้องสงสัย เมื่อชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานพูดคำๆ นี้ออกมา ทั้งเป็นการถวายความจงรักภักดีต่อหลี่ชิเย่ ขณะเดียวกันก็เป็นการถวายความจงรักภักดีต่อหลิ่วชูฉิงด้วย
……………………………………………………