ตอนที่ 2558 ปราศจากผู้ต่อกรเหงาเหลือเกิน
กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว ปฐมบรรพบุรุษถูกสังหารส่งผลกระทบกระเทือนมากเหลือเกิน เวลานี้มีผู้คนจำนวนมากที่คุกเข่ากับพื้นโดยตรงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ รู้สึกเหมือนถูกดูดเอาพลังจนแห้งไปหมดทั้งตัวอย่างนั้น ภาพเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน
ที่สิ้นหวังยังมีพวกโต้วจ้านหวงสี่คน ได้ยินเสียงดังตุบเสียงหนึ่งดังขึ้น พวกโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนเข่าอ่อนทั้งสองข้าง ดุจดั่งถูกดูดพลังบนตัวจนหมดสิ้นอย่างนั้น ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พลันล้มลงกับพื้น
ในเวลานี้ พวกโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนมองดูหลี่ชิเย่ที่อยู่บนท้องฟ้า สีหน้าซีดเผือด พวกเขาหมดแรงนั่งอยู่บนพื้น กระทั่งนิ้วมือนิ้วเดียวยังออกแรงไม่ได้
เวลานี้ พวกเขาสิ้นหวังเสียแล้ว แม้พวกเขาอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ลำคอเหมือนกระดกทีหนึ่งแต่ก็พูดอะไรไม่ออก เหมือนมีมือขนาดใหญ่ที่ไร้รูปบีบรัดหัวใจของพวกเขาจนแน่นอย่างนั้น
นาทีนี้ ขณะที่พวกเขาแหงนหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่นั้น หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าดูแล้วช่างสูงใหญ่อะไรอย่างนั้น ช่างมีรูปร่างที่กำยำสูงใหญ่อะไรปานนั้น ขณะที่พวกเขาเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งที่อยู่ใต้เท้าของหลี่ชิเย่เท่านั้น หมอบคลานอยู่กับพื้น ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ
ในขณะนี้เอง ใช่แต่เพียงปิงฉือเจี๋ยจุน โต้วจ้านหวงพวกเขาเท่านั้น แม้แต่พวกของวัวคลั่ง มังกรทองแปดแขนต่างมีสีหน้าที่ขาวซีด พวกเขารู้แล้วว่าหลี่ชิเย่มีความแข็งแกร่งเช่นใด รู้แล้วว่าหลี่ชิเย่มีความน่ากลัวอย่างไร
ขณะที่หลี่ชิเย่ลงมือนั้น ในใจของพวกเขาก็มีการเตรียมใจไว้แล้ว พวกเขารู้ว่าหลี่ชิเย่ชนะแน่นอน ในสายตาของพวกเขามองว่าไม่ว่าพวกโต้วจ้านหวงจะใช้ท่าไม้ตายอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ว่า เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่โจมตีหน้าอกร่างเงาบรรพบุรุษจนทะลุ และสังหารร่างจำแลงปฐมบรรพบุรุษโดยตรง ยังคงสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อพวกมังกรทองแปดแขน ทำให้พวกของมังกรแปดแขนอดที่จะอึดอัดจนหายใจไม่ออก รู้สึกว่าคอของตนถูกล๊อคตายแน่นอย่างนั้น
แม้ว่าพวกของมังกรทองแปดแขนจะรู้แล้วว่าหลี่ชิเย่มีกำลังความสามารถของปฐมบรรพบุรุษในครอบครอง แต่ว่า การคาดการณ์เช่นนี้ไม่ได้สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจโดยตรงเท่ากับการสยบสังหาร มาคราวนี้พลันทำให้พวกของมังกรทองแปดแขนถูกสยบเอาไว้ พวกเขาต่างมีสีหน้าที่ขาวซีดในขณะนี้
ปราศจากผู้ต่อกรในหล้าคงไม่เกินเลยไปกว่านี้ ปิ้งจวินอดที่จะพึมพำขึ้นมา
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา จากนั้น มองดูพวกของปิงฉือเจี๋ยจุน โต้วจ้านหวงที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีเฉยเมยแวบหนึ่ง
ท่าไม้ตายที่ว่ามันก็แค่นี้เอง หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย
เวลานี้พวกของโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนมีสีหน้าซีดเผือดแหงนหน้าขึ้นมอง บริเวณลำคอของพวกเขาเคลื่อนไหวอยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว ทั้งเป็นการพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และไม่มีโอกาสได้แก้ตัวตลอดไป นาทีนี้พวกของโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนมีสีหน้าซีดเผือด ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มาถึงวันนี้ไม่เพียงพวกเขาที่กำลังจะตายเท่านั้น สำนักของพวกเขาก็จะไม่มีวันฟื้นอีกเลย และจะต้องหายวับไปกับตาในพริบตา
ทุกคนต่างกลั่นลมหายใจเอาไว้จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการดูว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะจัดการกับพวกของ ปิงฉือเจี๋ยจุน และโต้วจ้านหวง
ในเมื่อแพ้แล้ว ข้าก็จะส่งพวกเจ้าก็แล้วกัน หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย หนึ่งนิ้วผงาดฟ้าชี้ออกไปตามอารมณ์
ในขณะนิ้วมือโจมตีเข้ามา พวกของโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนต่างละทิ้งที่จะต่อสู้ขัดขืนอีกแล้ว พวกเขาต่างหลับตาสองข้างลงช้าๆ ในขณะนี้ การต่อต้านใดๆ ของพวกเขาล้วนแล้วแต่ช่วยอะไรไม่ได้ การต่อต้านใดๆ ล้วนแล้วแต่ปราศจากพลังทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีเมื่อสักครู่ได้ใช้พลังลมปราณของพวกเขาไปจนหมดสิ้น พวกเขาไม่มีกำลังที่จะสู้รบอีกต่อไปแล้ว
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น หนึ่งนิ้วที่โจมตีเข้าไป พวกโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนที่นั่งรอความตายพลันถูกนิ้วนี้โจมตีจนกลายเป็นหมอกเลือดไป ไม่มีแม้แต่จะร้องเสียงน่าเวทนาออกมา
หมอกเลือดตลบอบอวล ท้ายสุดค่อยๆ กระจายลอยจางหายไป
ทุกคนต่างมองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจลึกๆ สักที เวลานี้ฟ้าดินเงียบสงัดจนน่ากลัว
ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุด โต้วจ้านหวงถือเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว มาวันนี้ก็ต้องหายวับไปกับตาในพริบตา กลายเป็นหมอกเลือด ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นพวกเขา ก็เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นในมือของหลี่ชิเย่
ขณะที่พวกเขาถูกสังหารนั้น แคว้นว่านเจิ้นก็ดี วัดจิ้งเหลียนกวานก็ช่างต่างมีแต่ความเงียบสงัด ในเวลานี้ไม่เพียงเขาจิ่วเหลียนซานที่เงียบสงัดเท่านั้น แม้แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดก็มีแต่ความเงียบสงัด เหมือนว่าสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจลึกๆ สักที ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้
นาทีนี้เหมือนว่าแม้แต่ฟ้าดินก็เงียบลง แม้แต่สายลมก็ไม่กล้าพัดเข้ามา ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดผู้นี้
จบสิ้นแล้ว อำนาจใต้หล้ามันก็แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยขึ้นมา
หลังจากสังหารปิงฉือเจี๋ยจุน โต้วจ้านหวงแล้ว สถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ถูกกำหนดเอาไว้แน่นอนแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าเป็นศัตรูอีก ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิงอีก นาทีนี้หลี่ชิเย่ก็คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ อำนาจอยู่ในมือ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ง่ายดั่งพลิกพลิกฝ่ามือเท่านั้น
น่าเบื่อมาก หลี่ชิเย่บิดขี้เกียจทีหนึ่ง และลงมาจากบนท้องฟ้าสูงอย่างช้าๆ ลงไปที่เขาหงฮวงซาน
นาทีนี้ทุกคนต่างคุกเข่าก้มกราบลงกับพื้นอย่างช้าๆ ทุกคนต่างหมอบกราบอยู่กับพื้นไม่กล้าตะโกนเสียงดัง ไม่กล้าส่งเสียง กระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจลึกๆ ทุกคนหมอบกราบกับพื้นเงียบๆ ศิโรราบใต้เท้าหลี่ชิเย่
ฝ่าบาท… หลิ่วชูฉิงตะโกนด้วยความดีใจ ครั้นเห็นเท้าทั้งสองของหลี่ชิเย่แตะพื้นอย่างปลอดภัยแล้ว รีบวิ่งเข้าไปและโผเข้าอ้อมกอดของหลี่ชิเย่ทันที
ช่วงเวลาที่หลี่ชิเย่กระโดดเข้าไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์นั้น นางคอยชะเง้อมองอยู่ทุกวัน เฝ้ามองการกลับมาของหลี่ชิเย่ ต้องอกสั่นขวัญแขวนในตัวหลี่ชิเย่ทุกวัน เวลานี้เห็นหลี่ชิเย่กลับมาอย่างปลอดภัย นางย่อมตื่นเต้นกว่าทุกๆ คน ขอเพียงหลี่ชิเย่กลับมาอย่างปลอดภัย นางก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอีก
ฝ่าบาท ท่าน ท่านกลับมาแล้ว หลิ่วชูฉิงพลันโผเข้าอ้อมอกของหลี่ชิเย่ทันที และเรียกเสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่ง น้ำเสียงคล้ายเสียงนกนางแอ่นร้อง และปนเสียงร้องไห้อยู่บ้าง ช่วงเวลาที่ผ่านมานางกลัวว่าหลี่ชิเย่จะไปแล้วไม่กลับมาอีกจริงๆ ถูกขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ตลอดกาล
นางเกรงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหลี่ชิเย่อีก กลัวว่าจะสูญเสียหลี่ชิเย่ไปในลักษณะเช่นนี้ ดังนั้น จึงชะเง้อมองคุกหลวงดึกดำบรรพ์ทุกวัน และอธิฐานให้กับเขาทุกวัน
น้ำตาได้เปียกชุ่มม่านตาของหลิ่วชูฉิงโดยไม่รุ้ตัว และเปียกเสื้อผ้าของหลี่ชิเย่
เด็กโง่… หลี่ชิเย่ลูบไล้ผมของนางเบาๆ ยิ้มเรียบเฉยและกล่าวว่า ในโลกมนุษย์ไหนเลยมีสถานที่ที่สามารถกักขังข้าได้
ข้า ข้า ข้านึกว่าท่านจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ในขณะนี้หลิ่วชูฉิงเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นรอยยิ้ม
มีคนน่ารักเช่นเจ้าอยู่ที่นี่ แล้วจะไม่กลับมาได้อย่างไรกันเล่า หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย
หลิ่วชูฉิงพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความอาย ท่าทางเด็กสาวดูช่างงดงาม ช่างน่ารักอะไรอย่างนั้น
ว้าย… ในพริบตาเดียวนั่นเอง หลิ่วชูฉิงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ นางยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกหลี่ชิเย่อุ้มขึ้นมาและเดินตรงเข้าไปในบ้าน
ฝ่าบาท… มาคราวนี้ หลิ่วชูฉิงอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน รีบเอาหน้าซุกเข้าไปในอกของหลี่ชิเย่ และพูดเสียงแผ่วเบาว่า มีคนอยู่…
แล้วเป็นอย่างไร? หลี่ชิเย่หัวเราะ คำพูดที่พูดออกมาตามอารมณ์เปี่ยมด้วยความพาล อุ้มนางเดินตรงเข้าไปภายในบ้าน
สิ่งนี้ได้ทำให้หลิ่วชูฉิงอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เอาหน้าซุกเข้าไปในอกของหลี่ชิเย่ รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้านผ่าวและไม่กล้าพบเห็นผู้คน
หลี่ชิเย่พลันอุ้มหลิ่วชูฉิงเข้าไปในห้องทันที เมื่อหลิ่วชูฉิง เงยหน้าขึ้นมานั้น หลี่ชิเย่ก็ได้อุ้มนางเข้าไปอยู่ในห้องแล้ว
พวก พวก พวกเราจะทำอะไรกันเล่า… ในเวลานี้ มือของหลี่ชิเย่ได้รองก้นงามของนางเอาไว้ ภายใต้การเอียงอายยิ่งของนาง ขาของนางได้พันตูอยู่กับเอวล่ำบึ้กของหลี่ชิเย่ ซึ่งทำให้นางอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี อยากจะกระโดดลงมา แต่ถูกหลี่ชิเย่กอดเอาไว้แน่น
เจ้าว่าล่ะ? หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉย เชยคางที่ประณีตงดงามขึ้นมา
เว เวลา เวลานี้เป็นกลางวัน… หลิ่วชูฉิงอายจนไม่กล้าจ้องมองหลี่ชิเย่ ร่างสั่นเทาทั้งตัวทีหนึ่ง ถึงกับเสียงสั่นขณะที่พูด
แล้วอย่างไร? หลี่ชิเย่หัวเราะ กล่าวพลางได้จูบลงไป
อืมมม…หลิ่วชูฉิงส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์คำหนึ่ง ในเวลานี้นางอ่อนระทวยไปทั้งตัว หมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมอกของหลี่ชิเย่
ทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ตกอยู่ในความเงียบสงัด เมื่อโต้วจ้านหวง ปิงฉือเจี๋ยจุนทั้งสี่ถูกสังหาร โดยเฉพาะที่เขาจิ่วเหลียนซาน ทุกคนต่างคุกเข่ากราบอยู่กับพื้น หลังจากหลี่ชิเย่จากไปนานแล้ว ทุกคนจึงกล้าลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
มีผู้ที่ลุกขึ้นมาแล้ว และมองดูที่ท้องฟ้า พึมพำขึ้นมาว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์แล้ว…
พูดเพ้อเจ้อ… ศิษย์ผู้นี้พูดยังไม่ทันจบ บรรพบุรุษของเขาพลันหนึ่งฝ่ามือตบเข้าให้ที่ท้ายทอยของเขา และตวาดว่า แผ่นดินใต้หล้าอยู่ในมือของฝ่าบาทมาโดยตลอด คำว่าจะขึ้นครองราชย์มาจากไหนกัน บรรดาคนชั่วที่ไม่เจียมตนเท่านั้นเอง!
ฝ่าบาทกุมอำนาจทั่วหล้าอยู่ในมือ หมื่นสำนักยอมศิโรราบ ระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิกบล่าวหนักแน่นจริงจัง และนี่ก็ถือเป็นการแสดงออกถึงความภักดีอย่างหนึ่ง
ในเวลานี้ต่อให้เป็นคนสติไม่ดีก็สามารถมองออกได้ว่า มาวันนี้ยังจะมีใครกล้าแย่งแผ่นดินกับฮ่องเต้คนใหม่? ยังมีใครกล้าคิดวางแผนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจใต้หล้า? มันเป็นการรนหาที่ตายเอง เป็นการทำให้ตนเองต้องล่มสลาย
นับจากนี้ไป ไม่มีห้าแกร่ง และไม่มีราชวงศ์โต่วเซิ่น มีเพียงฝ่าบาท… ระดับบรรพบุรุษเอ่ยขึ้นมาด้วยความเคารพ
ความจริงแล้ว ขณะที่ระดับบรรพบุรุษพูดคำๆ นี้ออกมานั้น ภายในใจก็อดที่จะสั่นเทาทีหนึ่งไม่ได้
มาวันนี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่คือผู้อยู่ระดับสูงส่ง แม้แต่ครั้งนั้นฮ่องเต้ไท่ชิงที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวหนึ่งไม่มีสองในหล้าอย่างไท่ชิงหวงเปรียบกับตัวเขาแล้วก็ต้องสลดจนหน้าทอดสี และไม่คู่ควรจะกล่าวถึงเช่นกัน
กล่าวได้ว่า ขณะฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นนั่งบัลลังก์นั้น ไม่ว่าจะเป็นห้าแกร่ง ราชวงศ์โต่วเซิ่นล้วนแล้วแต่ไม่คงอยู่ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด ไม่มีสำนักใดสำนักหนึ่งสามารถแย่งชิงอำนาจในมือของเขา เขาจึงจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เขาคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง
มาวันนี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่สามารถทำตามอำเภอใจได้อย่างสิ้นเชิง ระดับเช่นนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนั้นก็ไม่สามารถทำได้
แม้ว่าฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนั้นจะกุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียว เป็นใหญ่ใต้หล้า แต่ทว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังคงมีสิ่งที่เขาหวั่นเกรงอยู่ เขายังไม่สามารถทำได้ว่าเป็นผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้อย่างแท้จริง
มาวันนี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ทำได้แล้ว เขาจึงเป็นผู้ที่กุมอำนาจแต่ผู้เดียวอย่างแท้จริง!
…………………………………………….