ในเวลานี้ทุกคนของหุบเขาบุปผาอนันต์ต่างก็ตั้งใจใช้วิชาบุปผาสยบมารอย่างสุดความสามารถ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจากหุบเขาบุปผาอนันต์นั้นที่เป็นดั่งแกนนำหลักทั้งหมด ซึ่งกำลังใช้วิชาในขั้น 3 ของบุปผาสยบมารหรือสูงกว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ของการฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งตอนนี้ผลที่ได้ออกมามันก็นับได้ว่าคุ้มค่า
ในตอนแรก บรรดาผู้คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ต่างก็กังวลมาก
พวกนางทั้งหมดต่างกังวลว่าวิญญาณปีศาจจะฆ่าพวกนางและยังกังวลว่าหลิงตู้ฉิงกับ ลั่วหยุนจะฆ่าพวกนางด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกนางเริ่มใช้วิชาบุปผาสยบมารพร้อม ๆ กัน พวกนางทั้งหมดต่างรู้สึกราวกับว่าได้ไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่แสนสงบสุข ซึ่งพาให้ใจสงบลงเช่นกัน
เมื่อเหล่าหญิงสาวใช้พลังของตัวเองจนถึงจุดสูงสุด ร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น ซึ่งร่างที่ปรากฎขึ้นนั้นคือร่างของพระชราที่มีรัศมีแห่งความเมตตาธรรมรายล้อมและกำลังสวดบทสวดมนต์บทหนึ่งอยู่
“ไอ้โล้นแห่งวัดจินตภาพ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดทั้งวัด!” วิญญาณปีศาจคำราม “ต่อให้ผู้สืบทอดของพวกเจ้าจะมาที่นี่เองข้าก็ไม่กลัว ไม่ต้องพูดถึงร่างที่มีแต่เจตจำนงปลอม ๆ อย่างเจ้าหรอก!”
แม้ว่าวิธีที่มันพูดจะดูเหมือนว่ามันไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่ร่างกายของมันกลับแสดงออกไปในทางตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเมื่อมันพูดจบมันก็รีบพุ่งไปที่ช่องว่างของปราการจักรกลสวรรค์ที่ถูกเปิดออกโดยเทียนหยูเฮง เพื่อหนีออกจากเมืองให้เร็วที่สุด
เนื่องจากในตอนนี้ในใจของมันรู้สึกหวาดกลัวอย่างล้ำลึก สัญชาตญาณของมันในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือร่ำร้องให้มันออกไปจากที่นี่ให้ไว้ที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้ว่ามันจะเป็นวิญญาณปีศาจขอบเขตจักรพรรดิและมันยังไม่ทันมองเห็นด้วยซ้ำว่าพระชรารูปนั้นแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็ยังต้องการหลบหนีโดยไม่รู้ตัว
“อยากจะหนีงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ! เจ้าจงอยู่ที่นี่และตายอย่างทรมานซะเถอะ!” ลั่วหยุนพูดด้วยแววตาเกลียดชัง
หลังจากความเกลียดชังที่เขาเก็บเอาไว้มาเป็นหมื่นปี เขาจะปล่อยให้วิญญาณปีศาจหนีออกไปง่าย ๆ แบบนั้นได้ยังไง?
เมื่อพูดจบ ลั่วหยุนจึงเร่งโคจรพลังของเขาลงไปยังอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิในมือของเขา ส่งผลให้อักษรสีทองจำนวนมากได้ปรากฎขึ้นอีกครั้งและก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงสีทองหนาขนาดใหญ่ปิดกั้นรูโหว่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนของสันเขาทรราชไว้จนมิด
การก่อกำแพงนี้ขึ้นทำให้ร่างกายของลั่วหยุนหดตัวลงหนึ่งในสามทันที
ร่างกายของเขาเป็นเพียงร่างที่ถูกก่อขึ้นด้วยพลังวิญญาณที่คอยหล่อเลี้ยงดวงจิตและเมื่อร่างของเขาได้หดลงถึงหนึ่งในสามนั่นหมายความว่าเขาใช้พลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างกำแพงนี้ขึ้นมา
เมื่อเผชิญกับการปิดกั้นเช่นนี้ วิญญาณปีศาจเริ่มแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและเมื่อมันหาทางออกอื่นไม่ได้ มันจึงเริ่มทุบลงบนกำแพงสีทองที่พึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างไร้ความปรานีโดยหวังว่าจะทำลายมันให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ลั่วหยุนที่ได้ทุ่มพลังไปจนสุดตัวกับการสร้างกำแพงสีทองนี้ ดังนั้นมันจะถูกทำลายลงในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร?
“ข้าจะช่วยท่านอีกแรง!” หนานกงซ่งหยวนพูดขึ้น ขณะที่เขาหยิบโองการจักรพรรดิอีกอันขึ้นมาเปิดใช้ปิดกั้นทางออกเพื่อช่วยเหลือลั่วหยุน และป้องกันไม่ให้วิญญาณปีศาจออกไป
ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางออกมาจากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาได้นำโองการจักรพรรดิติดตัวมาด้วยอยู่หลายอัน ฉะนั้นการเสียมันไปสักสองอันมันก็ยังถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่พวกเขายังพอทนรับไหว
วิญญาณปีศาจสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เพิ่มขึ้นแถมตอนนี้ยังมีกำแพงเพิ่มขึ้นมาเป็นสองชั้น ซึ่งมันรู้ดีว่ามันคงไม่สามารถทำลายกำแพงเหล่านี้ได้ง่าย ๆ แน่นอน มันจึงตะโกนขึ้นด้วยความเคียดแค้นว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมให้ข้าออกไป เช่นนั้นข้าจะฆ่านังพวกนั้นให้ตายให้หมด!”
เมื่อพูดจบ วิญญาณปีศาจมันรีบพุ่งตัวไปหากลุ่มสตรีแห่งหุบเขาบุปผาอนันต์ทันที ตราบเท่าที่มันสามารถสังหารเหล่าสตรีที่เรียกเจตจำนงของพระชั้นสูงได้ มันก็แก้ปัญหาทั้งหมดได้แล้ว
ลั่วหยุน เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาขึงกัดฟันและเตรียมพร้อมที่จะใช้กำลังทั้งหมดเพื่อหยุดยั้งวิญญาณปีศาจ
“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ถ้าข้าปล่อยให้เจ้าใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองต่อไป เจ้าคงจะไร้ประโยชน์ในอนาคต ชิงเฉิง เอาโองการจักรพรรดิของเจ้าออกมา”
โดยไม่พูดอะไรสักคำ เย่ชิงเฉิงก็หยิบโองการจักรพรรดิของนางออกมาทันที
“ไม่เลวเลย!” ดวงตาของหลิงตู้ฉิงสว่างขึ้น ขณะที่เขาระดมยืมพลังจากมหาค่ายกลของลั่วหยุน และเปิดใช้งานโองการจักรพรรดิทันที จากนั้นเขาแปลงอำนาจของมันให้เป็นมือขนาดยักษ์และเข้าคว้าร่างของวิญญาณปีศาจเอาไว้อย่างแน่นหนาจนวิญญาณปีศาจไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
“สามี เป็นไงบ้างกับโองการจักรพรรดิที่แม่ของข้ามอบให้ข้า!” เย่ชิงเฉิงพูดอย่างภาคภูมิใจ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “แม่ของเจ้านี่ไม่เลวเลย ดูเหมือนนางจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นกลางแล้วสินะ”
“ใช่แล้ว แต่นางก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับพ่อของข้า” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “สามี แค่อันเดียวมันจะพอรึเปล่า ท่านต้องการให้ข้าหยิบออกมาอีกอันไหม?”
หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “ไม่จำเป็น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อีกไม่นานเราก็จัดการมันได้แล้ว”
ในเวลานี้วิญญาณปีศาจถูกกักขังโดยมือยักษ์อย่างอยู่หมัด
ส่วนทางด้านของพระชราก็ปลดปล่อยแสงแห่งพุทธศาสนารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงบทสวดมนต์ก็ดังขึ้นและดังขึ้น และกลิ่นหอมของไม้จันทน์ก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งเมือง
ภายใต้ทะเลแห่งแสงธรรมที่เจิดจรัส ผู้ที่ถูกวิญญาณปีศาจครอบงำก่อนหน้านี้ ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มปลดปล่อยควันสีดำออกมาจากร่าง และจากนั้นร่างของพวกเขาค่อย ๆ ตกลงไปที่พื้นและตื่นขึ้นมาด้วยอาการงุนงง
แน่นอนว่าคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่วิญญาณปีศาจยังไม่ได้ดูดพลังวิญญาณ เนื่องจากว่ามันยังต้องการเก็บคนไว้บางส่วนเพื่อเอาไว้คอยรับใช้มัน
ในเวลานี้วิญญาณปีศาจยังคงดิ้นรนและพยายามหนีออกจากอุ้งมือขนาดยักษ์นี้อย่างสุดฤทธิ์
2 ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดพลังของโองการจักรพรรดิก็หมดฤทธิ์ ส่งผลให้วิญญาณปีศาจออกจากพันธนาการและเป็นอิสระอีกครั้ง ซึ่งมันก็ใช้โอกาสนี้ในการพยายามที่จะหลบหนีต่อ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เย่ชิงเฉิงก็รีบถาม “สามี เรายังต้องสะกดความเคลื่อนไหวของมันไว้อีกไหม?”
ในระหว่างที่พูด นางก็หยิบโองการจักรพรรดิขึ้นมาอีกอันหนึ่ง ตราบเท่าที่นางต้องการ นางสามารถเปิดใช้งานได้ทันที
หลิงตู้ฉิงมองไปที่วิญญาณปีศาจและทำหน้ามุ่ย “ไม่จำเป็น เราสะสมพลังมานานแล้ว มันไม่สามารถหลบหนีไปได้แน่นอน”
ขณะที่พูด เขามองไปที่พระชราที่กำลังจะเริ่มลงมือ
แต่เดิมดวงตาของพระชรานั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวา แต่เมื่อวิญญาณปีศาจถูกปลดปล่อยจากพันธนาการของมือยักษ์ พระชราก็หันหน้าไปมองวิญญาณปีศาจ และจากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเจตจำนงของพระชั้นสูงผู้นี้ได้ตื่นขึ้นอย่างแท้จริงเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นจู่ ๆ พระชราก็สร้าง ‘บักฮื้อ’ ขึ้นมาจากเจตจำนงของตนเองและเคาะมันเป็นจังหวะสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ เสียงดัง ‘ป้อก ป้อก ป้อก ป้อก ป้อก ป้อก ป้อก ป้อก’ พลางสวดบทสวดคลอไปด้วย
ซึ่งในระหว่างที่เสียงเคาะและเสียงสวดมนต์ผสมกันเป็นจังหวะ ประตูปริศนาสีทองก็เปิดขึ้นเหนือศีรษะของวิญญาณปีศาจและเริ่มดูดความแค้นของวิญญาณปีศาจ โทสะ ความไม่พอใจ เจตจำนงอันชั่วร้ายและทุกสิ่งทุกอย่างคงอยู่ในด้านลบให้บินไปที่ประตูนั้นทั้งหมด
“นี่มันหนึ่งในบทสวดของคัมภีร์มัตตัย!” หลายคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับบทสวดนี้ต่างพากันมองไปที่ทิศทางของเหล่าสตรีแห่งหุบเขาบุปผาอนันต์
หุบเขาบุปผาอนันต์ที่ครอบครองวิชาที่ทรงพลังเช่นนี้ เริ่มทำให้ใครหลายคนมีความคิดอื่นในใจ
ในส่วนของวิญญาณปีศาจ มันไม่มีเวลามาคิดวิเคราะห์ถึงเรื่องเหล่านี้ ตอนนี้ในใจของมันนั้นมีแต่ความกลัวจนไม่อาจจะบรรยายได้
เนื่องจากตอนนี้ความแข็งแกร่งของมันถูกบั่นทอนลงอย่างรวดเร็ว จนมันไม่สามารถต้านทานได้ และในเวลาเพียงไม่นานความแข็งแกร่งของมันก็ลดลงต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิ
หลังจากนั้นเมื่ออารมณ์ความคับแค้นใจหายไป โทสะหายไป ความไม่พอใจหายไป ความชั่วร้ายและความรู้สึกที่ผิดปกติที่เหลืออยู่ก็หายไป ความแข็งแกร่งของวิญญาณปีศาจก็ลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็ถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ประตูสีทองที่ลอยอยู่ก็ยังคงไม่ปิด เนื่องจากมันยังคงอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการสลายวิญญาณปีศาจ
หลิงตู้ฉิงที่เห็นเช่นนี้ เขาจึงรีบสะบัดนิ้วของเขาส่งคลื่นพลังของตนเองพุ่งเข้าใส่ร่างของพระชรา และพูดว่า “พอแล้ว หยุดซะ!”
ตอนนี้วิญญาณปีศาจเหลือเพียงก้อนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเขายังคงปล่อยให้พระชราดำเนินการชำระล้างต่อไป สิ่งที่เขาทุ่มเทจะไม่หายไปจนหมดงั้นหรือ?
หลังจากที่ถูกคลื่นพลังของหลิงตู้ฉิงเข้าปะทะกับร่าง พระชราก็หยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง
ในขณะเดียวกัน ภายใต้คำสั่งของหลิงตู้ฉิงเหล่าคนของหุบเขาบุปผาอนันต์ก็หยุดใช้วิชาของพวกนาง ซึ่งส่งผลให้ร่างของพระชราก็ค่อย ๆ หายไปในอากาศ
แต่ก่อนที่จะสลายหายไป พระชรารูปนั้นได้มองไปที่หลิงตู้ฉิงและถอนหายใจ
“เอาล่ะ พวกเจ้าทำงานหนักกันมามากแล้ว จงกลับเข้าไปในมิติของมหาค่ายกลและพักผ่อนก่อน อีกสักครู่พวกเจ้าทั้งหมดจะได้รางวัลจากความพยายามของพวกเจ้า” หลิงตู้ฉิงเอ่ยกับเหวินลู่หยานและคนของนาง จากนั้นเขามองไปที่มวลพลังวิญญาณบริสุทธิ์ในอากาศและหัวเราะอย่างมีความสุข
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็มองไปที่ก้อนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้วยดวงตาของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความโลภและความบ้าคลั่ง
———————————————————————-
บักฮื้อ
เครดิตภาพจาก
https://www.facebook.com/1619548154973168/posts/2255954391332538/