ตอนที่ 182 สหายลึกลับ
เย่เหวินโยนแหวนกลับมาเบาๆและยิ้มให้เซี่ยวเฉิน “ไม่มีปัญหาอะไร, ใส่ใจกับตัวเองเถอะ”
เขาหมายความว่าเช่นไรที่ให้ใส่ใจกับตัวเอง? เซี่ยวเฉินครุ่นคิด เย่เหวินเหมือนจะมองลึกมาที่เขา,ราวกับการเตือน
“ไปกันเถอะ นอนหลับฝันดีในคืนนี้ ใช่แล้วมีเรื่องสําคัญมากที่ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้าสองคน อย่าได้บ่มเพาะพลังที่นี่ มิฉะนั้น,หากเจ้าไม่ระวังให้ดี,เจ้าอาจจะร่างระเบิดตาย มีตัวอย่างมากมายก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทําเรื่อง” เย่เหวินเตือนพวกเขาอย่างรอบคอบ
นั้นหมายความว่าข้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้เป็นเดือนๆ เซี่ยวเฉินรู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ เดิมทีเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายตอนที่เขามาถึงที่นี้และเห็นว่ามีพลังงานจิตวิญญาณหนาแน่นอยู่รอบตัวของเขา
ทั้งสองคนพูดคุยกันขณะที่เดินกลับไปยังห้องของพวกเขา เมื่อมู่ซินหยาเห็นว่าเย่เหวินไม่ได้อยู่รอบๆปล้ว,นางก็พูดขึ้น “พี่ชายเย่, ขอบคุณที่ช่วยข้าเมื่อก่อนหน้านี้”
เซี่ยวเฉินยิ้ม “ไม่เป็นไร ก็แค่ช่วยเหลือกัน ใครจะรู้ว่าข้าอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วยเช่นกัน”
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงห้องหินของพวกเขาเซี่ยวเฉินก็ให้มู่ซินหยาได้เลือกเตียงของนางก่อน หลังจากนั้นเขาก็เอนตัวลงนอนบนเตียงหินอีกเตียงหนึ่ง
ห้องหินขนาดค่อนข้างใหญ่ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีคนสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน กําแพงฝังไว้ด้วยไข่มุกราตรี,ดังนั้นมันจึงค่อนข้างสว่าง
เซี่ยวเฉินนอนลงบนเตียงของเขา เขายังคงนึกภาพโครงสร้างของสถานที่แห่งนี้ไม่ออก ทิ้งช่องทางหลบหนีไว้ในมือของคนอื่นมันทําให้ไม่สบายใจ
เขาเปลี่ยนสัมผัสวิญญาณของเขาให้เป็นเส้ยสายและขยายมันขึ้นไปข้างบน ผลปรากฏว่าเป็นไปตามที่เย่เหวินกล่าวไว้ มันลึกลงมาใต้ดินหลายพันเมตร สัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉินสามารถขยายออกไปข้างบนได้เกือบสองพันเมตร
อย่างไรก็ตาม นอกจากมองเห็นชั้นของเหมืองอีกสองสา มชั้นเขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ห่างจากพื้นดินไกลเท่าไหร เซี่ยวเฉินถอนสัมผัสวิญญาณกลับมาและอดคิดกับตัวเองไม่ได้,ทางออกมันคือที่ไหนกันแน่?
เซี่ยวเฉินไม่ได้ยอมแพ้และใช้สัมผัสวิญญาณของเขาสํารวจทั่วทั้งชั้น ในที่สุดเขาจดจ่อไปที่ตําแหน่งของกองบัญชาการ อย่างไรก็ตามเขาถูกปิดกั้นด้วยม่านพลังไร้รูป เขาไม่สามารถเข้าไปได้แม้ว่าจะพยายามถึงเพียงใด
หลังจากที่ล้มเหลวมาสองสามครั้งเซี่ยวเฉินต้องยอมแพ้ไปอย่างช่วยไม่ได้ มีนาฬิกาทรายง่ายๆเพื่อเอาไว้บอกเวลา เขาจ้องมองไปที่มันหากนับตามเวลาของโลกมันน่าจะเป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม
มันยังคงเร็วเกินไป แม้ว่าเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ เซี่ยวเฉินก็ไม่ได้มีนิสัยเข้านอนเร็ว เขาหยิบเอาตําราทักษะสับวายุที่หลิวหรูเยให้ไว้กับเขาออกมาเริ่มต้นอ่านอย่างละเอียด ความประทับใจสับวายุใสที่เย่เหวินมอบให้เขาค่อนข้างลึก
“พี่ชายเย่,ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว เจ้าเข้าไปอาบต่อได้เลย”
เมื่อดันหินที่อยู่ในห้องเปิดออก,มันจะมีห้องอาบน้ำอย่าง่าย มีน้ำบาดาลใต้ดินที่นี่จึงไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องความสะอาดของพวกเขา
หลังจากที่มู่ซินหราออหมาจากห้องน้ำ,นางแจ้งเซี่ยวเฉินในทันที เสื้อผ้าที่นางสวมมันเรียบร้อยมิดชิดและไม่ได้มองดูเย้ายวน,มันไม่เพียงพอที่จะทําให้เซี่ยวเฉินลุกผงาด
เซี่ยวเฉินเก็บตําราและพยักหน้า เขาไม่ได้จุกจิกเรื่องความสะอาดมากนัก ดังนั้น หลังจากที่เขาเข้าไปเขาก็ล้างตัวอย่างง่ายๆและรีบกลับออกมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่สวมเสื้อผ้าของเขาเรียบร้อบ
มู่ซินหยามีนิสัยตื่นตัวร่าเริง เมื่อนางเห็นเซี่ยวเฉินกําลังท่องอ่าน,นางก็ถามคําถามเขาไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้าของนางไม่เคยจางหายไปไหน นางค่อนข้างมองภารกิจนี้ในแง่ดี
“พี่ชายเย่,เดิมที่ทําไมเจ้าถึงได้เข้าร่วมศาลากระบี่สวรรค์? นอกจากนั้น,ทําไมเจ้าถึงเลือกยอดเขาที่อ่อนแอที่สุดอย่างยอดเขาฉิงหยุน?”
มู่ซินหยาถามแล้วถามอีก:มันไม่มีทางจบลงง่ายๆ เป็นผลให้เซี่ยวเฉินไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ เขาทําได้เพียงยิ้มขมๆและวางหนังสือของเขาลงอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตอบกลับ “เดิมที,ข้าเข้ามาเพราะต้องการช่วยเพื่อนของข้า จากนั้นข้าก็ระลึกได้ว่าข้าสามารถยกระดับความแข็งแกร่งของข้าได้ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงอยู่”
รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่ซินหยา “ให้ข้าเดา…เพื่อของเจ้าต้องเป็นผู้หญิง”
“ทําไมถึงคิดเช่นนั้นเล่า!” เซี่ยวเฉินยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อ “แล้วเจ้าล่ะ? ทําไมเจ้าถึงได้เข้าศาลากระบี่สวรรค์?”
มู่ซินหยาเปลี่ยนท่าทางของนางและทิ้งลงบนกําแพง “พ่อแม่ของข้าบอกข้าให้เข้าร่วม ข้าอยู่ที่นี่มาได้หนึ่งเดือน ตามจริง,ข้าไม่ได้อยากจะเข้ามา”
เซี่ยวเฉินคิดว่ามันแปลก ก่อนที่นางจะได้เข้ามา,นางก็อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลของมู่ซินหยาจะไม่ได้ธรรมดา
หลังจากที่นางตอบคําถาม,อารมณ์ของมู่ซินหยาดูเหมือนจะกลายเป็นหนักอึ้ง นางไม่ได้ร่าเริงอย่างที่เป็นเมื่อครู่ หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง,นางก็เข้านอน
เซี่ยวเฉินยังนอนไม่หลับ ดังนั้นเขาจึงอ่านตําราสับวายใสต่อไป พลังปราณภายในร่างของเขาค่อยๆหมุนเวียนไปตามคําอธิบายของตํารา เขารู้สึกได้ถึงพลังงานอันแข็งแกร่งที่กําลังหมุนเวียนในทันที
น่าเสียดาย,สถานที่มันไม่เหมาะที่จะฝึกฝน เซี่ยวเฉินทดลองเล็กน้อยก่อนที่จะยอมแพ้ไป หลังจากตกดึก,เปลือกตาของเขาเริ่มจะตกลงมาและเขาก็หลับไป
ในช่วงวันต่อมาเซี่ยวเฉินตื่นขึ้นมาตรงเวลา เสียงของเขาที่ลุกขึ้นทําให้มู่ซินหยาตื่น หลังจากที่พวกเขาล้างหน้าล้างตารับประทานอาหาร,พวกเขาก็เริ่มงานลาดตะเวนของพวกเขาตามเส้นทางที่เย่เหวินแสดงให้พวกเขาดู
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเดินออกมา,เซี่ยวเฉินก็เห็นกลุ่มคนเหมืองที่พบแร่ดิบหินวิญญาณระดับกลางเมื่อวานนี้ เมื่อหัวหน้าลี่ ผู้ที่นํากลุ่มคนเหมืองมาเห็นพวกเขาทั้งสองเขารีบวางสิ่งที่เขากําลังทําอยู่
เขาตรงเข้ามาและทักทาย “ขอทักทาย,คุณชายและคุณหญิง พวกท่านมีคําแนะนําอะไรให้พวกเราหรือไม่?”
เซี่ยวเฉินสํารวจบุคคลนี้อย่างละเอียด เขาสูงประมาณสองเมตร เซี่ยวเฉินมองไปที่เขา สิ่งที่เซี่ยวเฉินสังเกตเห็นก็คือดวงตาของเขา คนเหมืองคนอื่นมีความมืดมัวอยู่ในดวงตาของพวกเขา,ราวกับว่าพวกเขาได้ละทิ้งความหวังไปแลเว
อย่างไรก็ตาม,ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแสงและจิตวิญญาณ หากไม่ใช้เพราะเสื้อผ้าของเขาดูสกปรก,คงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นคนเหมือง
“ไม่มีอะไรมาก, พวกเราแค่ลาดตะเวน หากมีปัญหาอะไร,ให้ส่งสัญญาณออกมาทันที” เซี่ยวเฉินพยักหน้าและเดินจากไปพร้อมกับมู่ซินหยา
การลาดตะเวนเป็นงานที่น่าเบื่อ โดยเฉพาะอยู่ลึกลงมาหลายพันเมตร เซี่ยวเฉินในที่สุดก็เข้าใจว่าทําไมมีคนเพื่อน้อยนิดสมัครเข้ามาทํางานนี้
ไม่มีใครเลือกที่จะกลับมาที่นรกแห่งนี้เป็นครั้งที่สองเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาต้องการแต้มสะสมอย่างเร่งด่วน
เหมืองวิญญาณไม่ได้สงบเหมือนที่เห็น หลังจากประสบการณ์เมื่อวาน,เซี่ยวเฉินไม่กลางที่จะประมาท เขาเดินตามแผนที่อย่างระวังไปรอบเหมือง
“ฟุ่วฟิ่ว!”
ทันใดนั้น,มีเสียงแหลมจากแตรที่ดังทะลุไปในอุโมงค์ เซี่ยวเฉินและมู่ซินหยาแลกเปลี่ยนสายตากันมีเรื่องเกิดขึ้น พวกเขารีบพุ่งตรงไปตามทิศทางต้นกําเนิดเสียงในทันที
พวกเขาทั้งสองรวดเร็วอย่างมาก ไม่ช้า,พวกเขาก็มาถึงตําแหน่งของเสียง พวกเขามองเห็นซากศพที่กําลังปินขึ้นมาจากพื้น คนเหมืองวิ่งแตกกันไปคนละทิศคนละทาง
เซี่ยวเฉินพูดกับมู่ซินหยา “ไปรวมรวมคนพวกนั้น อย่าได้วิ่งไปทั่ว มันเป็นแค่ซากศพธรรมดาทั่วไป,ข้าจะรับมือกับมันเอง”
มู่ซินหยาถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “เจ้ารับมือได้?”
“ไม่ได้ก็ต้องได้!” หลังจากที่เซี่ยวเฉินพูดจบ,เขาพุ่งออกไปในทันทีและซัดซากศพที่กําลังปืนขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยวเฉินได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ ดังนั้นเขาไม่กล้าที่จะประมาทเขาป้องกันการโจมตีของซากศพอย่างระวัง ในไม่ช้า เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่ารูปแบบการโจมตีของซากศพมีจํากัด มันจึงเพียงแค่ความรวดเร็วและกรงเล็บที่แหลมคมในการโจมตี
นี่มันน่าจะเป็นซากศพระดับต่ำสุด ไม่ช้าเซี่ยวเฉินก็จับรูปแบบการโจมตีของมันได้
เซี่ยวเฉินไม่อยากให้การต่อสู้มันยืดเยื้อดังนั้นเขาจึงใช้ทักษะมโนภาพสามกระแสเมฆา ร่างของเขากลายเป็นเลือนลางในทันที เขาเคลื่อนไหวเป็นวงรอบตัวซากศพราวกับแม่น้ำสายเล็กและส่งกระบี่จู่โจมออกไปสามจังหวะ
“ชัว! ชัว! ชัว!”
สองแขนหนึ่งหัวของซากศพถูกตัดออกจากร่างของมันในทันทีและมีของเหลวสีดําพุ่งออกมา เซี่ยวเฉินรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของของเหลวนี้ดังนั้นเขาจึงส่งกระบี่แสงออกไปป้องกันไม่ให้มันมาสัมผัสกับร่างกายของเขา
ซากศพที่แขนขาดและไร้หัวยังไม่ยอมตายลง มันทําอะไรที่ทําได้เพื่อพุ่งเข้าใส่เซี่ยวเฉินอยรางดิบเถื่อนแต่มันก็ไม่ได้อันตรายอะไรอีกต่อไป
เซี่ยวเฉินใช้ออกวาดกระบี่และสับมันออกเป็นสองซีก มันควรจะตายกลายเป็นปุยแล้วตอนนี้
เซี่ยวเฉินเก็บกระบี่ของเขากลับเข้าใกและพูดกับกลุ่มคนเหมืองที่มู่ซินหยาไปรวมมา “ใครคือหัวหน้า?”
คนเหมืองผู้นั้นเดินออกมาพร้อมกับก้มโค้ง เขาพูดขึ้น “ขอตอบคุณชาย,ข้าคือหัวหน้าของที่นี่”
ใบหน้าของคนผู้นี้ดําสนิท,ดวงตาของเขาไร้ซึ่งแสงสว่าง,ราวกับว่าเขาได้สูญเสียความหวังไปทั้งหมด เซี่ยวเฉินถอนหายใจ “ไปจัดการกับร่างนั้น,ว่าตามกฎเจ้าจะได้พักสองชั่วโมง ข้าจะไม่ทําให้เรื่องยุ่งยาก
ตามที่เย่เหวินได้แนะนําเอาไว้ หากมีซากศพปรากฏตัวขึ้น,คนเหมืองกลุ่มนั้นจะได้พักสองชั่วโมง,จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าทํางาน ไม่มีอะไรต้องไปวุ่นวายกับพวกเขา
พวกเขาทั้งสองอยู่ต่ออีกพักใหญ่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก,พวกเขาก็จากไปและทําการลาดตะเวนต่อ
ไม่ช้า,พวกเขาก็มาถึงตรงที่เส้นทางถูกแบ่งออกเป็นสามทาง อย่างไรก็ตามสองในนั้นไม่มีตะเกียงติดตั้งอยู่มันเป็นทางมืดมิด ว่าตามกฏ.มันเป็นทางปิดตาย,ไม่จําเป็นต้องเข้าไปลาดตะเวน
ขณะที่พวกเขากําลังจะจากไป, ทันใดนั้นเซี่ยวเฉินก็สังเกตเห็นดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งจากหนึ่งในอุโมงค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาพยายามมองอย่างละเอียดอ่กครั้งเขาก็ไม่พบอะไร
เขาขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไป อย่างไรก็ตาม,หลังจากสํารวจอยู่เป็นเงลานาน,เขาก็ไม่พบอะไร
“พี่ชายเย่ เกิดอะไรขึ้น?” มู่ซินหยาถามขึ้น,น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความงุนงง
เซี่ยวเฉินรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ “อย่าขยับ, ข้าจะเข้าไปดูเหมือจะมีบางสิ่งอยู่ข้างในนั้น”
มู่ซินหยามองตามสายตาของเซี่ยวเฉิน “นั้นมันทางตันมิใช่รึ? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“ไม่จําเป็น,ข้าสามารถมองเห็นได้” หลังจากที่เซี่ยวเฉินพูดจบเขาก็ตรงเข้าไปทันที มีแสงสีม่วงเลือนลางออกมาจากดวงตาของเขาในความมืดเขาสามารถมองเห็นภายในระยะสิบเมตรรอบตัวของเขาภายในอุโมงค์มืดสนิท
เซี่ยวเฉินเดินเข้ามาได้ประมาณสองร้อยเมตรแต่เขาก็ไม่พบอะไร ขณะที่เขาเตรียมจากไป,เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาจากข้างหลังของเขา อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงมู่ซินหยาที่กําลังตามเขาเข้ามา
“ไปกันเถอะไม่จําเป็นต้องตามข้ามา ข้ามองผิดไป” เซี่ยวเฉินพูดกับมู่ซินหยาผู้ที่อยู่ด้านหลังของเขา
อย่างไรก็ตาม,ในทันทีที่เขาหันกลับไป,เขาเห็นสีหน้าน่าเกลียดของมู่ซินหยา นางชักกระบีหยวนหยางของนางออกมาอย่างรวดเร็วและแสงเย็นเฉียบวูบไหวภายในอุโมงค์
กระบี่หยวนหยางในมือซ้ายของนางส่งเสียงฟังไพเราะพร้อมกับลอยผ่านอากาศ,บินตรงมาที่หัวของเซี่ยวเฉินด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
กระบี่หยวนอย่างมักจะถูกใช้โดยสตรีเพราะมันสั้นกว่าเล็กน้อย ผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่เลือกใช้มันเพราะมันดูไม่ดุร้าย อย่างไรก็ตาม,ด้วยรูปร่างของมัน,มันสวยงามเหมาะสมกับสตรีที่งดงาม
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง,พลังของกระบี่หยวนหยางไม่ได้ด้อยไปกว่า เซี่ยวเฉินติดตามกระบี่ที่ร้องหึงด้วยดวงตาของเขาและมองดูราวกับความมืดถูกกลืนกินด้วยกระบี่หยวนหยางที่แพรวพราวพร้อมกับแสงเย็นเฉียบ
ความคิดของเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแต่เขาก็เคลื่อนไหวหลังจากนั้น เขาเชื่อใจมู่ซินหยาและไม่ได้ลงมือโจมตีนาง
เซี่ยวเฉินใช้ออกทักษะมังกรฟ้าเมฆาทะยานและร่างของเขาก็เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับมังกรคะนองและเขาก็ได้มาถึงด้านหลังของมู่ซินหยาในทันที