ตอนที่ 200 ร่ายรําโกลาหลพันปี
ภายใต้ประกายแสงสายฟ้า,ผมทั่วทั้งหัวของเซี่ยวเฉินลุกขึ้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้โดนสายฟ้าซัดเข้า,แต่สายฟ้าก็ เติมเต็มไปทั่วในอากาศผิวของเขาเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิต
ไม่นะ! เซี่ยวเฉินอุทานขึ้นในใจ พอคิดว่าสติปัญญาของงวอัสนี้สูงมากถึงเพียงนี้ แม้ว่ามันจะดูเหมือนมันยิ่งสายฟ้าออกมาอย่างมั่วสุ่มไม่มีรูปแบบ,แท้จริงแล้วมันยิงออกมาอ ย่างมีจังหวะ มันทําให้สายฟ้าค่อยๆมารวมตัวกัน
“โซว!”
เส้นสายฟ้าหนาขนาดเท่าแขนเก้าเส้นรวมตัวกันในอากาศมันดูราวกับเสาเก้าตนพุ่งขึ้นไปและค่ํายันท้องฟ้าเอาไว้เส้นสายฟ้าพุ่งตรงเข้าใส่เซียวเฉิน
“โล่อัสนีสวรรค์!”
ความเร็วของสายฟ้ารวดเร็วเกินไป,นอกจากนั้นมันยังรวมเข้ามาจากทั่วทิศทาง แม้แต่ทักษะเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดก็ไม่อาจหลบพวกมันได้พันเซียวเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับ
“ชี ชี ชี ชี
เสาสายฟ้าขนาดใหญ่ทั้งเก้าต้นส่งเสียง “ชี ชี” ออกมา เมื่อมันเจอกับโลอัสนีสวรรค์ โล่อัสนีสวรรค์มีความสามารถในการดูดกลืนธาตุสายฟ้าแต่พลังของสายฟ้านี่มันมากเกินไป
มันกันไว้ได้ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะแตกสลายสายฟ้าที่เหลืออยู่ซัดเข้าใส่ร่างของเซี่ยวเฉินร่างกายของเซี่ยวเฉินส่งเสียง “เปรี้ยะ เปรี้ยะและเสื้อผ้าของเขาทั้งหมดฉีกขาด
มันเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดของเขากระแสไฟฟ้ายังคงไหลกระโดดอยู่บนผิวหนังของเขา
ช่างโชคดี,โล่อัสนีสวรรค์ดูดซับสายฟ้าไปกว่าครึ่งพลังอํานาจของมันลดลงไปอย่างชัดเจน เซี่ยวเฉินไม่ได้บาดเจ็บจนถึงชีวิต
เซี่ยวเฉินอดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมกับกระโดดขึ้นไปในอากาศและเข้ามาถึงด้านข้างของงัวอัสนี หลัง จากที่มันใช้ไพ่ตามของมันออกไป, การเคลื่อนไหวของมันก็อ่อนลง หากเขาปล่อยให้มันฟื้นกําลังกลับขึ้นมา,เขาจะเปลืองเวลาไปอีกมาก
“สยายปีกร่ายรําโกลาหลพันปี!”
แขนของเซี่ยวเฉินกวาดไปรอบๆและเปลี่ยนทักษะต่อสู้ที่ต้องใช้ดาบให้กลายเป็นใช้กําปั้นร่างของเขาเรืองแสงออกมาพร้อมกับสายลมโห่ร้องจากกําปั้นของเขาภายในพริ บตาเขาปล่อยหมักไปที่งัวอัสนีนับพันครั้ง
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” แต่ละหมักแบกพลังอย่างน้อย 2,000 กิโลกรัมเมื่อมันซัดเข้าที่ร่างของงัวอัสนี มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่กระนั้นไม่มีอะไรที่มันสามารถทําได้เมื่อเซี่ยวเฉินเคลื่อนไหวมาด้วยความเร็วสูงสุด
“ตายซะ!”
เมื่อร่ายรําโกลาหลพันปีจบลงเซียวเฉินก็ลงมาที่ด้า นข้างของงัวอัสนีจุดปราณเฟิงหยานที่ฝ่ามือขวาของเขาเปิดออกและมังกรฟ้าที่อยู่ข้างในก็กลายเป็นลูกบอลแสงสี ฟ้าก่อนที่มันจะห่อหุ้มแขนขวาของเซียวเฉินเอาไว้
เซี่ยวเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังในมือของเขาเหมือนเมื่อวานในทันที
เสียงกรอบแกรบดังออกมาจากร่างของงัวอัสนีและอวัยวะภายในของมันทั้งหมดแหลกเหลวร่างอันใหญ่โตของมันถูกกระแทกกลับไปหลายสิบเมตร
เลือดสีดําทะลักออกมาจากปากของมันงัวอัสนีตกตายไป
เซี่ยวเฉินนั่งลงขัดสมาธิและค่อยๆสลายพลังสายฟ้าที่ตกค้างอยู่ในร่างของเขา วังวนน้ําที่จุดตันเที่ยนของเขาหมุนเวียนอย่างรวดเร็วและพลังปราณพลุ่งพล่านดูดกลืนสายฟ้าที่หลงเหลืออยู่ในเส้นปราณของเขาในทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง,เซี่ยวเฉินลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ จากนั้นเขาก็ตรงไปที่สมุนไพรระดับ 6-เถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตเขาค่อยๆเก็บมันขึ้นมาและวางเอาไว้ในแหวนห้ วงจักรวาล
หลังจากนั้นเขาก็เหลือบไปมองงัวอัสนีก่อนที่จะค่อยๆเดินเข้าไปเขาหยิบเอามีดเล็กออกมาและเริ่มชําแหละมัน ร่างของสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 5 เต็มไปด้วยมูลค่า,เซี่ยวเฉินไม่อาจปล่อยให้มันสูญเปล่า
โดยเฉพาะเขาสีเงินของงัวอัสนี มันน่าจะมีอายุมาหลายสิบปีและเต็มไปด้วยพลังสายฟ้า มันสามารถนําไปใช้ทําอาวุธกระดูกธาตุสายฟ้ามูลค่าของมันไม่ได้น้อยไปกว่าเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิต
เซียวเฉินหยิบเอาขวดหยกออกมาและเก็บเลือดของมันเขาดึงเอาแก่นกลางของมันออกมาและแบ่งชิ้นส่วนต่างๆของงัวอัสนีเขาจากไปอย่างพึ่งพอใจหลังจากเสร็จธุระที่นี่
เซี่ยวเฉินแต่เดิมคิดจะอยู่ต่อให้นานกว่านี้และไล่เก็บสมุนไพรในบริเวณโดยรอบ อย่างไรก็ตามการต่อสู่เมื่อครู่ได้ถึงดูดสัตว์อสูรวิญญาณตัวอื่นเข้ามา
มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะรับมือกับสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 5แต่หากว่ามันเข้ามาพร้อมกันหลายตัวมันจะอันตรายเป็นอย่างมากนอกจากนั้นจากกระแสพลังที่เขาสัมผัส ได้,เซี่ยวเฉินรู้สึกได้ถึงสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ขั้นสูงสุด
มันเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรวิญญาณที่เฝ้าอยู่ในส่วนกลางของทุ่งสมุนไพรแห่งนี้เซี่ยวเฉิน ได้ตรวจสอบมันแล้วเมื่อก่อนหน้านี้มันคือจุดที่มีพลังงานจิตวิญญาณหนาแน่นที่สุด มันมีกระทั่งดอกแสงดาวเรืองกําลังโตอยู่ที่นั้น
ดอกแสงดาวเรืองคือสุดยอดสมุนไพรล้ําค่าระดับ 7 แต่ละใบของดอกแสงดาวเรืองให้ผลรักษาเท่ากับเม็ดยาระดับ 6 นอกจากนั้นมันยังมีเม็ดยาหายากจากหนังสือบ่มเพาะพลังที่ต้องการดอกแสงดาวเรืองเป็นส่วนผสม
อย่างไรก็ตาม,ส่วนที่ล้ําค่าที่สุดก็ต้องเป็บดอกของมันดอกแสงดาวเรืองจะบานทุกๆ 800 ปี เพียงแค่กลีบเดียวมันสามารถเพิ่มปัญญาวิญญาณของพวกเขาขึ้นมาได้อย่า งชัดเจน
ปัญญาวิญญาณคือสิ่งที่นักบ่มเพาะพลังหมายถึงความสามารถในการเข้าใจรู้แจ้ง หลังจากที่กลืนกลีบดอกแสงดาวเรื่องเข้าไป,มันจะทําให้นักบ่มเพาะพลังผู้นั้นเพิ่มความสา มารถในการเข้าใจรู้แจ้งขึ้นมาผลของมัน,พวกเขาจะทําความเข้าใจกับทักษะเคลื่อนไหว,ทักษะต่อสู้และอื่นๆได้รวดเร็วกว่ามันสามารถทําให้คนที่มีพรสวรรค์แสนธรรมดากลายไปเป็นผู้ที่มากไปด้วยพรสวรรค์
ยกตัวอย่าง,เซี่ยวเฉินไม่เข้าใจถึงชั้นสูงสุดของสับวายุใสหากเขากลืนดอกแสงดาวเรืองนี้เข้าไปเป็นไปได้ที่มันจะทําให้เขาเข้าใจในทันที
แน่นอน,ทั้งหมดนี้ยังได้แต่คิด ในบริเวณใกล้เคียงของดอกแสงดาวเรือง,นอกจากสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ขั้นสูง สุดแล้วยังมีสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ตัวอื่น ที่กําลังจับจ้องไปที่ดอกแสงดาวเรืองไม่วางตาก่อนที่เชี่ยว เฉินจะทันเข้าไปใกล้,เขาคงจะตกตายลงแม้แต่ศพก็ไม่เหลือให้เห็น
ถอนความคิดกลับมา เซียวเฉินขับเรือสงครามสีเงินและเผ่นหนีออกไปก่อนที่สัตว์อสูรวิญญาณเหล่านั้นจะ พุ่งเข้ามาเขาหยุดลงที่ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากทุ่งสมุนไพรนัก
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้สูงหลายสิบเมตรและขยายออกไปสู่ก้อนเมฆใบของมันเขียวชอุ่มและหนาแน่น เซียวเฉินแลดูตัวเล็กจ้อยเมื่อยืนเทียบกับมันมีสมบัติมากมายในทุ่งสมุน ไพรและเขาไม่มีความตั้งใจที่จะกลับออกไปในตอนนี้
เขาต้องใจจะทําให้ที่นี่เป็นฐานของเขา เขาจะไปที่ทุ่งสมุนไพรทุกวันและกลับมาที่นี่เพื่อบ่มเพาะพลัง
เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มพร้อมกับหยิบเอาเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตออกมาเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตต้นนี้จะต้องมีอายุมาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีหากเขานํามันไปยังตลาด ที่ฐานส่องสวรรค์เขาจะได้รับ 60 หินวิญญาณระดับต่ําเป็นอย่างน้อย
เซียวเฉินหยิบเอามีดคมออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและเปลือกเปลือกของเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิต หลังจากนั้นเขาตัดเอาชิ้นเล็กๆมาและวางลงในปากของเขา เขาขบเคี้ยวอยู่หลายครั้งก่อนที่จะกลืนลงไป
เถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตกลายไปเป็นพลังงานร้อนที่ไหลไปทั่วร่างของเซียวเฉินในทันที ฉีและเลือดในร่างของเขาทั้งหมดพ ลุ่งพล่านเซียวเฉินรู้สึกว่าราวกับทุกอณูในร่างของเขาถูกเผา และเติมเต็มไปด้วยพลังงาน
การกินสมบัติธรรมชาติโดยตรงเป็นเรื่องอันตรายครั้งล่าสุดเขาได้กินบุปผาเจ็ดกลีบและผลของมันเข้าไป,สถานการณ์ในตอนนั้นมันบังคับและเขาต้องการพลังงานอย่าง เร่งด่วน,นั้นทําให้เขาไม่ได้กลัวที่จะกลืนมันลงไป
ในครั้งนี้มันต่างออกไป ฉีและเลือดโลหิตของเขาเองฟูหากเขากลืนเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตเข้าไปโดยตรง,ฉีและโลหิตของเขาจะเดือดพล่านขึ้นในทันทีมันเป็นไปได้ว่าเขาสามารถกลืนไฟลงไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เซี่ยวเฉินกินเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตเข้าไปทีละชิ้นเมื่อเขากินเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตถึงชิ้นที่สาม,เขารู้สึกราวกับร่างของเขากําลังจะระเบิดเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงหยุดลง
เซี่ยวเฉินนั่งลงขัดสมาธิและเริ่มหมุนเวียนพลังยามหาศาลนี้และหลอมรวมมันให้สมบูรณ์
พลังปราณค่อยๆไหลไปมาเส้นปราณของเซี่ยวเฉินและเป็นเหมือนตัวเร่งให้พลังยาของเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิต
ผ่านไปคนึ่งชั่วโมง,ในที่สุดเซียวเฉินก็สามารถหลอมรวมพลังงานยาได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของร้อนรุ่มและโลหิตของเขาเดือดพล่านเขารู้สึกเหมือนตัวเขาลุกเป็นไฟและเต็มไปด้วยพลังงาน
เขามองดูและสํารวจพื้นที่ เซี่ยวเฉินพบหินก้อนใหญ่สูงประมาณหนึ่งเมตร:แขนของเขาสามารถโอบรอบมันได้ เขาเดินตรงเข้าไปและต่อยออกอย่างเบามือ
“ชิ!” ก้อนหินแข็งดูราวกับโคลนนุ่มสําหรับเซี่ยวเฉิน เขาสามารถต่อยมันเป็นรูได้อย่างง่ายดายและดึงมือกลับมาพร้อมกับเสียงโซว”
เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มบางเบา “ก่อนที่จะกลืนเถาวัลย์นิกซ์โลหิตลงไป,น้ําหนักหมัดของข้ามีพลังประมาณ 1,500 กิโลกรัมหลังจากหมุนเวียนพลังปราณไปเล็กน้อย,ข้าสา มารถทําได้มากกว่า 2,000 กิโลกรัมโจมตีแบบเต็มกําลังมัน น่าจะมากถึง 2,500 กิโลกรัม
“ตอนนี้,ข้ากินเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตไปเพียงบางส่วนเท่านั้น การโจมตีปกติของข้าก็มีพลังมากถึง 1,750 กิโลกรัม หากข้ากินมันลงไปทั้งหมดเรียบร้อยมันอาจจะมากกว่าการโจมตีเต็มกําลังของข้าก่อนหน้านี้”
เชี่ยวเฉินตื่นเต้นเป็นอย่างมากเขาจึงชกออกไปด้วยกําลังมั้งหมดและซัดเข้าหินก้อนมหึมาด้วยพลังมากถึง 2,750 กิโลกรัม ก้อนหินขนาดมหึมาแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวลอยไปทั่วทิศทางในทันที
เซี่ยวเฉินถูกเหยียบย่ําโดยยอดราชันซากศพในวันนั้นพลังร่างกายที่เขาภาคภูมิใจมาโดยตลอดไม่มีค่าแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าราชันซากศพ
สําหรับเที่ยวเอิบนั้นคือความอัปยศบันทําให้เขามีความปรารถนาร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นตอนนี้มีโอกาสอันดีเซี่ยวเฉินต้องคว้ามันเอาไว้ให้มั่นเขาเสริมสร้างร่างกายของเขาต่อไป
ผู้บ่มเพาะพลังส่วนใหญ่จะไม่บ่มเพาะร่างกายอย่างสุดโต่งแบบที่เซี่ยวเฉินทํา สําหรับพวกเขา,ขอบเขตการบ่มเพาะพลังคือสิ่งที่สําคัญที่สุด
ด้วยขอบเขตการบ่มเพาะพลังที่สูงกว่า,พลังปราณก็จะแข็งแกร่งขึ้นโดยธรรมชาติ การหมุนเวียนพลังปราณที่แข็งแกร่งก็สามารถให้ร่างกายมีแข็งแกร่งด้วยพลังหลายพันกิโลกรัมเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินไม่คิดเช่นนั้น เขามีความรู้สึกว่าการบ่มเพาะขอบเขตพลังมันต่างจากการบ่มเพาะพลังกายด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายที่ถูกดันให้ถึงขีดสุดสามารถทําให้เขาเดินไปในเส้นทางบ่มเพาะพลังได้ไกลขึ้น
พวกคนอย่างจีชางคว,มู่เฉิงเสวีย,ฉ่ฉาวอวิน,ฮวาหยุ นเฟย,และตวนมู่ฉิงที่มีจิตวิญญาณยุทธมาตั้งแต่กําเนิด: พวกเขามีพรสวรรค์
ความก้าวหน้าของพวกเขารวดเร็วเป็นอย่างมากที่รวดเร็วที่สุดในหมู่ของพวกเขาก็ไปถึงระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางแล้วเรียบร้อยอย่างไรก็ตาม,มันเป็นการยากสําหรับพวกเขาที่จะกาวขึ้นไปสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธหรือยอดกษัตริย์ยุทธหากพวกเขาโชคดีหน่อย,พวกเขาก็อาจไปถึงระดับขอบเขตปราชญ์ยุทธอย่างไรก็ตาม,ปราศ จากร่างกายที่แข็งแกร่ง,พวกเขาไม่มีวันขึ้นไปถึงระดับขอบเขตจักรพรรดิยุทธ
TL:ผมน่าจะลืมบอกไปมันจะมี จักรพรรดิ จักรพรรดิยุทธสองคํานี้ต่างกันนะครับจักรพรรดิเป็นเหมือนยศหรือฉายานะครับส่วนจักรพรรดิยุทธผมจะใช้เรียกระดับขอบเข ตพลังอย่างเดียวนะครับ
ในสองวันต่อมา, เซียวเฉินฝึกฝนสับวายุใสเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เขาพยายามที่จะเข้าใจถึงขั้นตอนที่สามของสับวายุใส,ที่จะเห็นเพียงสายลมมิใช่คมกระบี่ เขาฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้งและเอื้อมมือไปแตะขอบประตูขั้นที่สามของสับวายุใส
ที่เขาต้องการก็เพียงเวลาและเขาจะสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับสมบูรณ์ขันยอดเยี่ยม
เมื่อดึกดึก,เซี่ยวเฉินก็ดูดซับพลังของเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตต่อ หลังจากที่เขากลั่นสกัดมัน,ฉีและเลือดโลหิตของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของเขา
ในวันนี้ เซียวเฉินวางเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตชิ้นสุดท้ายเข้าปากและขบเคี้ยวมัน เมื่อเขารู้สึกถึงพลังร้อนที่พลุ่งพล่าน,เขานั่งลงขัดสมาธิและกลั่นสกัดมันทันที
เซี่ยวเฉินค่อยๆหมุนเวียนพลังปราณของเขา เมื่อพลังงานยาส่วนสุดท้ายของเถาวัลย์ฟินิกซ์โลหิตถูกกลั่นสกัดโดยสมบูรณ์,เถาวัลย์ที่หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาตลอดสามวันที่ผ่านมาทันใดนั้นก็พลุ่งพล่าน
เลือดโลหิตและฉีของเซี่ยวเฉินเดือดพล่านอย่างต่อเนื่องหมอกควันสีขาวถูกปล่อยออกมาจากหัวของเซียวเฉิน
“บูม!” ผ่านไปครู่หนึ่งเซียวเฉินรู้สึกราวกับโลหิตและในร่างของเขากําลังระเบิด
“ปะ! ปะ! ปะ! ปะ! ปะ!”
เสียงแตกหักดังออกมาจากกระดูกทั่วร่างของเขาจุดปราณทั้ง 361 จุดที่ครอบคลุมร่างของเขาเปิดออกทั้งหมดลําแสงสีฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากจุดปราณของเขา
หากมีใครผ่านมาและเห็นเซี่ยวเฉินจากระยะไกลพวกเขาอาจจะพบว่ามันเป็นร่างภาพมังกรฟ้าที่กําลังขดตัวและห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามเซี่ยวเฉินไม่ได้ตกใจที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน กลับกัน,เขารู้สึกคุ้นเคยกับมัน,ราวกับว่าเขาได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน