บทที่ 1442 –ชื่อของนางคือถานท่าย หลิงเหยียน
ผลลัพธ์ที่ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดคือง้าวทองคำที่อยู่ในโลงศพหินในครั้งนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณชิงสุ่ยจึงให้สัญญาว่าหากเกิดสงครามทวยเทพขึ้นเมื่อไร เขานั้นจะเข้าร่วมกับเทพบรรพกาล
“นี่คือผลลัพธ์ที่ข้าบอกให้พวกเจ้าเปิดมัน แต่พวกเจ้าไม่ได้เปิดมัน ดังนั้นผลประโยชน์ในครั้งนี้จึงตกมาอยู่กับข้า เสียนี่”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง
“นั้นเพราะนี่เป็นชะตาของเจ้า และเจ้าก็เป็นคนเหมาะสมที่จะรับมันไปมากที่สุดแล้ว บางทีหากเป็นพวกเรา เราอาจจะไม่ได้รับการสืบทอดเช่นเจ้าก็ได้ มรดกของพระเจ้านั้นจะมองหาผู้ที่คู่ควรกับมันเท่านั้น”ประมุขอสูรกล่าวออกมา ก่อนที่จะหยิบยาเม็ดโชคชะตาทองคำและยาเม็ด9โคจรให้กับฮัวรูเหม่ย
“จงใช้ยาเม็ด9โคจรกับตัวเอง ส่วนยาเม็ดโชคชะตาทองคำจงมอบมันให้กับสัตว์อสูรของเจ้า นอกจากนี้เจ้าควรใช้มันในที่แห่งนี้จะดีกว่า ข้านั้นจะเฝ้าระวังให้เจ้าเอง หลังจากนั้นเราจะได้รีบออกไป”
หลังจากที่กินยาเม็ดลง ฮัว รูเหม่ยนั้นแทบจะไม่เชื่อตัวเอง เธอและสัตว์อสูรของเธอนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเธอขึ้นได้ถึงสองเท่าอย่างรวดเร็ว ส่วนงูยักษ์ของเธอนั้นก็ได้ขยายขนาดของมันขึ้นอีก1ใน3
ในเวลานี้ทั้งสามคนนั้นได้เดินออกไปข้างนอกอย่างไม่เร่งรีบ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะออกมา เมื่อออกมาถึงข้างนอกมันนั้นก็เป็นเวลาค่ำเสียแล้ว
ในบริเวณนี้ยังเหลือคนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่แห่งนั้น คนเหล่านั้นคือคนของพระราชวังจอมปิศาจ ในขณะที่นิกายอื่นๆได้จากไปจนหมดแล้ว
“เราไปหาที่ข้างนอกตั้งค่ายกัน และพักผ่อนในคืนนี้ พรุ่งนี้เราจะทำการค้นหาบริเวณรอบๆอีกครั้งหากโชคดีพวกเราจะได้รับสมบัติที่ล้ำค่าบางอย่างกลับไป”ฮัว รูเหม่ยกล่าว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประมุขอสูรนั้นได้มีโอกาสให้ยาเม็ดบางอย่างกับเต่าเฒ่าโบราณด้วยผลของยาทำให้ความแข็งแกร่งของมันนั้นเพิ่มขึ้นมาถึงสองเท่า จึงทำให้พลังของมันนั้นเพิ่มขึ้นถึง90ล้านสุริยา ซึ่งความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้นั้นเกือบเทียบเท่าประมุขอสูรเลยที่เดียว
นอกจากนี้ในตอนนี้อาการบาดเจ็บของซานยูนั้นก็ดีขึ้นมาแล้วหลังจากที่กินน้ำหอมมรกตทองคำ นอกจากนี้มันยังทำให้เขาดูอ่อนเยาขึ้นอีกด้วย ในหน้าของเขากลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง ทำให้ความหล่อเหลาและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเขากลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังสมผัสได้ถึงพลังหยินหางที่สมดุลในร่างกายของเขา
หลังจากที่ตั้งค่าจนเสร็จ ชิงสุ่ยได้เข้าไปในดินแดนหยกในทันที ขณะที่คนอื่นๆนั้นเตรียมอาหารอยู่ เขาได้หยิบง้าวทองทะลวงศัตรูออกมาปละเริ่มฝึกทักษะ9 รากฐานบรรพกาลศึก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฝึกฝนมัน มันเป็นมรดกที่เขาพึ่งได้รับมาเมื่อไม่นานมานี้ ชิงสุ่ยค่อยฟาดง้าวออกไปนับๆพันครั้งด้วยความแม่นยำและต่อเนื่อง แต่ละทวงท่าของเขาเต็มไปด้วยความสง่างามและคล่องตัวราวกับว่าเขานั้นเคนฝึกมันมาแล้วนับๆพันครั้ง แต่ละครั้งจะเกิดคลื่นพลังที่มหาศาลออกมา ราวกับมันนั้นจะฉีกกระชากสวรรค์ให้พินาศในตอนนี้
ชิงสุ่ยนั้นรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก จนเขาไม่สามารถหยุดที่จะร่ายรำมันได้ ยิ่งเคลื่อนไหวมากเท่าไหลการเคลื่อนไหวของเขาก็ดูไหลลื่นมากขึ้นเท่านั้น มันนั้นดูดังสายธารที่ไหลรินอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาในตอนนี้
เมื่อถึงเวลาที่ชิงสุ่ยออกมาข้างนอกมันนั้นก็เป็นเวลามืดสนิทเรียบร้อยแล้ว ภายใต้ดินแดนแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยความหนาวเย็นอย่างมาก เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า เขานั้นก็สามารถมองเห็นได้ถึงดวงจันทร์สองดวงบนฟากฟ้า นอกเหนือดวงจันทร์ที่งดงาม มันยังเต็มไปด้วยหมู่ดาวที่ส่องสกาวมากมาย ชิงสุ่ยสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนจากมุมมองของเขาได้ตอนนี้
ในเวลานี้เขามองขึ้นไปบนฟ้า เมฆบางได้เคลื่อนไหวไปมาราวกับสายรุ่งสีเงินก็มิปาน มันให้เขารู้สึกว่าอย่างจะเก็บภาพข้างนี่ไว้เป็นของเขาคนเดียว แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจทำได้ เขาสามารถทำได้แค่เพียงมองดูมันนั้นอย่างห่างๆเท่านั้น
ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่สามารถบอกได้ว่าเขานั้นรู้สึกอย่างไร บางทีตอนนี้เขานั้นกำลังเหงาอยู่อย่างนั้นรึ
ประมุขอสูร!
ในเวลานั้นหางตาของเขามองไปเห็นเงาๆหนึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก มันคือเงาของประมุขอสูร ในเวลานี้เธอนั้นก็มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่เหมือนเขา เช่นเดียวกันเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
ชิงสุ่ยค่อยเดินเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ เพื่อไม่ต้องการรบกวนเธอ ขณะที่เขานั้นต้องการดูหญิงงามผู้นี้จากด้านหลังของเธอ
“ทำไมเจ้าถึงออกมาเดินข้านอกกันละ?”เสียงที่งดงามของเธอดังขึ้นโดยไม่หันมอง
“ข้าก็แค่ออกมาชมพระจันทร์ยามราตรีเท่านั้น แล้วเจ้าละ ออกมาข้างนอกทำไม? มีอะไรที่ต้องการเล่าข้าหรือไม่”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าในตอนนี้ตัวของข้านั้นขาดอะไรบางอย่างไปเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งที่ข้ามีอยู่มันนั้นทำให้ข้านั้นเหนื่อยล้าเหลือเกิน เจ้าพอจะบอกได้รึไม่ว่าทำไมข้าถึงรู้สึกเช่นนั้น?”เธอหันกลับมาและมองไปที่ใบหน้าของเขา ด้วยท่าทางอ่อนแอบนใบหน้าที่งดงามของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงสีหน้าที่ดูอ่อนแอของเธอ
“นั่นเป็นเพราะไม่มีใครที่คอยแบ่งปันความสุขและความกังวลของเจ้าไป มันจึงทำให้เจ้านั้นรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา เจ้าอยากลองฟังเรื่องของข้าบ้างหรือไม่ บางทีหลังจากได้ยินมันเจ้าอาจจะเข้าใจมันมากขึ้น “ชิงสุ่ย หัวเราะในขณะที่เขาพูด
ประมุขอสูรไม่ทราบว่าทำไมความแข็งแกร่งของเขา จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่เอนั้นสนใจคือเรื่องราวของเขา
ในเวลานั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆของเขาตั้งแต่ต้นจนจบออกมา หลังจากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า “ที่ข้านั้นมีทุกวันนี้ได้ เพราะข้ามีคนมากมายที่อยู่รอบตัวของข้า นอกจากนี้พวกเขานั้นเป็นคนที่สามารถแบ่งปันความสุขและความเจ็บปวดของข้าไป”
หลังจากที่เธอได้ยินคำพูดของชิงสุ่ยดวงตาของเธอก็ดูจะเศร้าใจยิ่งขึ้น”ข้านั้นมีแค่ตัวของข้าเพียงลำพัง ไร้ญาติมิตรสหายที่ไหน”
“ใครบอกว่าเจ้าไร้ญาติมิตร? เจ้ายังมีรูเหม่ย และซาน ยูที่เป็นสหายของเจ้า นอกจากนี้เจ้าก็ยังมีข้าอีกคน “ชิงสุ่ย มองไปที่เธอและพูดเบาๆ
เธอได้แต่มองไปที่ชิงสุ่ยอย่างอ่อนโยน มันความชัดเจนบางอย่างในสายตาของเธอ เธอรู้สึกได้ถึงความรัก และความห่วงใยของเขามันทำให้เธอนั้นผ่อนคลายเป็นอย่างมากก่อนที่จะกล่าวว่า “ขอบคุณ”
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก คิดว่าข้านั้นเป็นดัง เพื่อนหรือพี่ชาย หรือคนสนิทของเจ้าก็ได้ ไหนลองบอกสิ่งที่เจ้าต้องการมาสิ และดูสิว่าข้านั้นสามารถจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง? “
“ก็ได้ข้าจะลองดู” ประมุขอสูรคิดเล็กน้อยและพูด
“จริงเหรอ?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความไม่เชื่อ
“จริง!”
“นั้นไหนเจ้าก็ลองบอกชื่อของเจ้ามาก่อนจะได้รึไม?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพื่อให้ได้ชื่อของข้าอย่างนั้นรึ” เธอมองไปที่ชิงสุ่ยและถาม
“แน่นอนว่าไม่ ข้านั้นเชื่อในตัวของเจ้า และเจ้านั้นก็ควรที่จะเชื่อในตัวของข้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นเจ้าสามารถบอกชื่อของเจ้ากับข้าได้รึไม่? “ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ในตอนนี้เขาไม่อยากรู้ชื่อเธอมากเท่าไร สิ่งที่เขาอยากทำก็คือค่อยๆเปลี่ยนเธอ
“ข้าชื่อ ถานท่าย หลิงเยียน” เธอกล่าวออกมาเบาๆ
เมื่อได้ยินเธอพูดชื่อของเธอออกมา ชิงสุ่ยได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ชื่อ” นั้นเป็นดังประตูบานแรกของทุกๆคนที่จะทำความรู้จักกัน
“ถานท่าย หลิงเยียน เป็นชื่อที่ยอดเยี่ยมอ่างมาก “ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ แล้วอีกนานแค่ไหนรึ ที่เจ้าตั้งใจจะอยู่ในพระราชวังจอมอสูร? “จู่ๆเธอก็มองไปที่เขาและถามออกมา
“ทำไมรึ เจ้าต้องการให้ข้ารีบออกไปอย่างนั้นรึ? ข้านั้นเป็นของเจ้าแล้วและไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าก็จะไม่จากไป”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทางที่ผอนคลายของเธอเขาจึงกล่าวออกมา
เมื่อชิงสุ่ยกล่าวจบท่าทางของเธอนั้นเปลี่ยนกลับเป็นเย็นชาอีกครั้ง มันให้ชิงสุ่ยนั้นกล่าวอะไรไม่ถูกในตอนนี้ เขานั้นรู้ดีว่นี้ยังเป็นเรื่องยากที่เขาจะยอกล้อเธอ
“เอาละข้าไม่เล่นแล้ว ถ้าเจ้าไม่ต้องการไล่ข้าออกไป ข้านั้นจะเข้าร่วมกับพระราชวังจอมอสูร”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง
“แล้วถ้าข้าต้องการ…”
“ไม่”!เสียงที่ชัดเจนดังขึ้นมา จากปากของชิงสุ่ย
“เช่นนั้นเจ้าจะกล่าวแบบนั้นทำไมกัน เจ้าไม่กลัวข้าอย่างนั้นรึ?”เธอกล่าวออกมา และคิดว่าเขานั้นเป็นคนที่กล้าหาญอย่างมาก
“ก็มีสิ่งที่ข้ากลัวอยู่ เช่นกลัวเจ้าโกรธ กลัวเจ้าไม่สนใจข้า กลังเจ้ามองข้ามข้าและไปแต่งงานกับชายอื่น และกลัวเจ้าจากไป…..”
ทุกสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวออกมาในตอนนี้ ทำให้เธอนั้นตกใจอย่างมาก เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกล่าวแบบนี้ออกมา
เธอมองไปที่เขาโดยไม่สามารถทำความเข้าใจเขาได้เลยแม้แต่น้อย หรือเขากำลังแสดงความรับผิดชอบในตัวของเธอในตอนนี้ เธอส่ายหน้าเบาๆก่อนที่พยายามจะลบมันไปจากความทรงจำของเธอ
“นี่มันก็ดึกมาแล้วเจ้าไปพักเถอะ….”
“อือ!”
“อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอกเจ้านะเจ้าต้องรู้จักแบ่งเบาภาระให้คนอื่นๆบาง ”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาก่อนที่จะหยิบต่างหูที่เตรียมไว้ให้เธอออกมา
“เจ้าต้องการให้ข้าสวมมันให้เจ้ารึไม่?”ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าอนุญาตให้เจ้าสวมมันให้ข้า!”
ชิงสุ่ยหัวเราะออกเขานั้นรู้ดีว่าตอนนี้เธอนั้นต้องการพยายามที่จะไว้ใจเขาจึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา