บทที่ 1439 – ยาเม็ด 9 โคจรทองคำ ยาเม็ดโชคชะตาทอง พลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร มันเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น การรอเจ้าทำให้ข้ามีความสุข” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
ชิงสุ่ยมีโอกาสได้บอกความรู้สึกของเขาอีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกได้หรือไม่ แต่เขามั่นใจว่าได้แสดงออกไปอย่างชัดเจน
บางสิ่งบางอย่างควรเป็นเช่นนี้ มันเหมือนคู่รักที่อยู่ด้วยกันและยังคงกล่าวบอกรักกันทุกวัน บางคนรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่บางคนรู้สึกว่าไม่จำเป็น
เธอไม่ได้ตอบ ชิงสุ่ยไม่แปลกใจอะไรและหัวเราะขณะกล่าว “พวกเราไปดูกันเถอะว่าในกล่องสมบัติมีอะไร?”
เธอพยักหน้าและเดินตรงไปยังกล่องสมบัติพร้อมชิงสุ่ย
ในช่วงเวลานี้เธอค่อนข้างเงียบ ก้าวแรกสู่เคล็ดวิชา 9 ท่วงท่าบรรพกาลศักดิ์สิทธิ์ถือว่าได้เริ่มฝึกฝนแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวคือเธอยังไม่ได้ทดสอบมัน อย่างไรก็ตามเธอรู้ว่าการใช้มันตอนนี้จะทรงพลังมากกว่าเดิม
ชิงสุ่ยมีความสุขมากจริงๆในตอนนี้ เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับสมบัติจากวิหารศักดิ์สิทธิ์โบราณ เขาไม่รู้ว่ามันจะเป็นชั้นสุดท้าย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้รับอะไรมามากมายแล้ว
การเปิดกล่องสมบัตินี้พบสิ่งของหลายอย่างภายใน สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขเป็นยาเม็ดด้านใน มีขวดยาเม็ดอยู่มากมายและแผ่นหนังสัตว์อสูร 2 แผ่น
มีขวดยาเม็ดอยู่ภายใน 10 ขวดและมีขนาดเท่ากำปั้น พวกมันมีสีเทาและดูดี
ยาแต่ละแบบมีด้วยกัน 5 ขวด แต่ละขวดมียา 1 เม็ด…
ชิงสุ่ยหยิบสูตรยาเม็ด 2 สูตรออกมา สูตรเหล่านั้นเป็นสูตรสำหรับยาเม็ด 9 โคจรทองคำและยาเม็ดโชคชะตาทอง ยาเม็ด 9 โคจรทองคำมีไว้สำหรับคนกิน มันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของผู้ใช้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าคนปกติกินเข้าไป 1 เม็ด พวกเขาจะบรรลุถึงระดับปราณนักบุญพิโรธขั้นต้น หากพวกเขากินเม็ดที่ 2 ผลที่ได้จะลดลงครึ่งหนึ่ง และถ้าพวกเขากินเข้าไปอีกเม็ด ผลจะลดลงครึ่งต่อครึ่ง
โดยไม่สนใจระดับของผู้ใช้ ยาเม็ดที่ยอดเยี่ยมนี้สามารถใช้ได้กับทุกคนที่ต้องการพลัง อย่างไรก็ตามไม่มีใครโง่เขลาพอที่จะให้คนปกติกินยาเม็ด 9 โคจรทองคำ ยาเม็ดเหล่านี้มีค่ามากเกินไปและสมุนที่ต้องใช้นั้นหายากจนถึงจุดที่อาจไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันมาก่อน สมุนไพรที่ระบุไว้ในสูตรต้องใช้เวลาเพาะปลูกอย่างน้อย 10,000 ปีหรืออาจกระทั่ง 50,000 ปี
ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าคุณสมบัติของยาเม็ด 9 โคจรทองคำที่มีประสิทธิภาพย่อมไม่หนีความยากของส่วนผสม เพียงเม็ดแรกก็ทำให้คนปกติสามารถไปถึงระดับปราณนักบุญพิโรธได้ และเม็ดต่อไปคือระดับปราณนักบุญพิโรธถึงระดับปราณนักบุญพิโรธขั้นสูงสุด…
เมื่อถึงระดับปราณนักบุญพิโรธขั้นสูงสุดก็จะเข้าสู่ระดับปราณจักรพรรดิทันที
ถ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจกินมันเป็นครั้งแรก พวกเขาจะพัฒนาขึ้นไป 1 ขั้น สำหรับชิงสุ่ยและประมุขอสูร ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น 1 ขั้นเทียบเท่ากับการเพิ่มพลังขึ้น 2 เท่า อย่างไรก็ตามนี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งที่สองผลของมันจะลดลงครึ่งหนึ่ง ถ้าพวกเขากินมันอีกต่อๆไป ผลจะลดลงไป 4 ส่วนแล้วก็ 8 ส่วน…
ชิงสุ่ยมองไปที่ยาเม็ดโชคชะตาทอง คุณสมบัติของมันเหมือนกับยาเม็ด 9 โคจรทองคำ แต่มันมีไว้สำหรับสัตว์อสูรเท่านั้น อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจ ส่วนผสมที่จำเป็นของมันมีค่าเช่นกัน แต่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะของเขามีมันอยู่แล้วบางส่วน จะขาดก็เพียงอายุของสมุนไพร แต่ด้วยอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ มันใช้เวลาแค่ชั่วครู่ก่อนที่สมุนไพรจะมีอายุเพียงพอ ปัญหาเดียวคือสมุนไพรหลักๆไม่สามารถหาพบได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถปรุงยาเม็ดใดได้ภายในเร็ววันนี้
ชิงสุ่ยมอบยาเม็ดให้กับเธอ “นี่สำหรับเจ้า!”
“ข้าไม่ต้องการมัน ข้าไม่ใช่นักปรุงยา” ประมุขอสูรกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ลองดูคุณสมบัติของมันก่อน แล้วบอกจำนวนยาเม็ดที่เจ้าต้องการใช้” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
“ข้าไม่ต้องการมัน ข้ามีมากพอแล้ว เจ้าควรใช้พวกมัน!” ประมุขสอูรส่ายหัวขณะที่เธอกล่าว
“เจ้าไม่ลองดูสักหน่อยหรือ? นี่เป็นของที่ดีแน่นอน มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์” ชิงสุ่ยหัวเราะ
ประมุขอสูรไม่ได้พูดอะไร นี่เป็นสิ่งที่เธอแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ความเงียบ
ชิงสุ่ยส่งยาเม็ด9โคจรทองคำและยาเม็ดโชคชะตาทองให้กับประมุขอสูรอย่างละ 2 เม็ด “เจ้าควรจะใช้ยาเม็ด 9 โคจรทองคำและมอบยาเม็ดโชคชะตาทองให้กับท่านเต่าเฒ่า”
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าถ้าพวกเขาใช้มัน 2 เม็ด การเผชิญหน้ากับผู้คนจากฝ่ายธรรมะย่อมง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังไม่รู้ถึงความร้ายกาจของฝ่ายอื่นๆ
ประมุขอสูรลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้า ชิงสุ่ยให้ยาเม็ดโชคชะตาทองกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงนรกานต์ตัวละเม็ด แต่เดิมเขาคิดที่จะมอบมันให้กับผู้อื่น แต่ถ้าความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่ใช้มีน้อยเกินไป ยาเม็ดก็จะสูญเปล่า
อีกหนึ่งเม็ดเขาเก็บไว้ให้อสูรสยบมังกร
ยาเม็ดโชคชะตาทอง คำว่าโชคชะตานี้ไม่ใช้การสุ่มดวงแต่อย่างใด ยาเม็ดจะมอบทั้งพลังและโชคให้กับสัตว์อสูรที่กิน พลังของสัตว์อสูรจะเพิ่มขึ้นอย่างสมดุลและเป็นไปด้วยดี
มันช่างเงียบเชียบ ความก้าวหน้าได้สิ้นสุดลงโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆมากนัก ขณะที่เขาเฝ้ามองประมุขอสูรลุกขึ้น เสน่ห์และความสง่างามของเธอทำให้ชิงสุ่ยสั่นสะท้านภายในหัวใจ ด้วยชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่สวมใส่ พลังของประมุขอสูรจะอยู่ที่ประมาณ 90 ล้านสุริยาและใกล้ถึงขั้นถัดไป ตอนแรกพวกเขาคิดว่าภายใต้ผลของชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ พลังของเธอจะเกินกว่า 100 ล้านสุริยา
อย่างไรก็ตามประมุขอสูรในเวลานี้น่ากลัว ความแข็งแกร่งและระดับพลังของเธอเพิ่มขึ้น ชิงสุ่ยรู้สึกว่าประมุขอสูรเย็นชาขึ้น มันไม่สามารถเข้าใจได้เหมือนเช่นหมอกควัน เขาถูจมูกในขณะที่รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
อีกด้านหนึ่ง พลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงนรกานต์อยู่ที่ประมาณ 60 ล้านสุริยา นี่นับว่าน่าหวาดกลัว
ขนาดของมังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงนรกานต์ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตามร่างกายของพวกมันแข็งแรงขึ้นกว่าก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำ
“ข้าจะปกป้องเจ้า เจ้าเองก็ควรใช้มันเช่นกัน!” ประมุขอสูรกล่าวเบาๆ
“ข้าสามารถถือว่าเจ้าเป็นห่วงข้าได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยหัวเราะขณะหยิบยาเม็ด9โคจรทองคำและกลืนมันลงไป นอกจากนี้เขายังได้มอบยาเม็ดโชคชะตาทองให้กับอสูรสยบมังกรและรู้สึกว่าเขาเริ่มโลภมากขึ้น…
พลังบริสุทธิ์ไหลผ่านไหลผ่านร่างของเขา มันเป็นช่างรู้สึกมหัศจรรย์ พลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในทุกส่วนของร่างกาย สัมผัสได้ถึงการเจริญเติบโตและการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ในร่างกาย พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วยสภาพที่สมดุล พละกำลังทางกายของเขาถึง 1,300 สุริยา พลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดซึ่งสามารถทำได้อยู่ที่ประมาณ 52 ล้านสุริยา แม้แต่การโจมตีทางกายภาพก็สามารถทำได้ถึง 6 ล้านสุริยา และหุบเขา 9 เทวาก็มีพลังถึง 20 ล้านสุริยา
อสูรสยบมังกรน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของขนาดตัว แต่มันแข็งแรงและรวดเร็วกว่าเดิม 2 เท่า กลิ่นอายอันเกรี้ยวกราดและดุร้ายที่ปล่อยออกมาทำให้เกิดความกลัวในหัวใจ
หากพวกเขาพบกับอสูรศิลาก่อนหน้านี้ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าอสูรสยบมังกรเหมือนกลายเป็นหินอันแข็งแกร่ง
ชิงสุ่ยยืนมือออกไปรับยาเม็ด9โคจรทองคำ 2 เม็ดที่เหลือกลับมาและกล่าว “นี่สำหรับเจ้า ตอนนี้พวกเรามีกันคนละ 2 เม็ดแล้ว”
ประมุขอสูรมองไปที่ชิงสุ่ย “เช่นนั้นข้าต้องมอบของ 2 สิ่งที่สวมใส่อยู่ให้เจ้าด้วยหรือไม่?”
ชิงสุ่ยเก็บยาเม็ดสองอันสุดท้ายไปและหัวเราะ “ข้าอยากรู้ชื่อของเจ้า มิฉะนั้นข้าคงไม่รู้จะเรียกเจ้าแบบไหน”
“เจ้าไม่ได้รู้มันอยู่แล้วงั้นหรือ?”
“อะไรหล่ะ” ชิงสุ่ยถามด้วยความสับสน
“แม่นาง”
ประมุขอสูรตอบแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังประตูหิน
ชิงสุ่ยเกาคางและหัวเราะ เขาไม่คิดว่าเธอจะจำมันได้ ดูเหมือนว่าความอดทนของเธอจะมีไม่มากนัก นี่ถือว่าเป็นการพัฒนาด้านความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือ?
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นทำให้ชิงสุ่ยมีความสุข เขาเดินตามเธอเข้าไปในประตูที่หก เขาใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณและเตรียมสำหรับการต่อสู้ อย่างไรก็ตามมันขัดกับความคาดคิดของเขา ไม่มีอะไรอันตรายที่พวกเขาสามารถรู้สึกได้
บริเวณนี้ใหญ่มาก มีเสาหินขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยเสาตั้งอยู่ แต่ไม่มีประตูหินไปยังชั้นถัดไป นี่อาจเป็นชั้นสุดท้ายของวิหาร
กลางห้องโถงเป็นโลงหินขนาดใหญ่ ทั้งสี่มุมของโลงมียักษ์ศิลาประจำอยู่ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้หลังจากที่ชิงสุ่ยและเธอเดินเข้ามา ยักษ์ศิลาทั้งสี่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“นี่อาจเป็นที่พำนักแห่งเทพสงคราม” ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากมองไปรอบๆ
“อืม!” ประมุขอสูรตอบเบาๆ
ชิงสุ่ยมองไปที่โลงศพหิน ความยาวและความกว้างของมันประมาณ 10 เมตร ส่วนสูงประมาณ 3 เมตร
“เหล่ายักษ์ศิลานั้นแข็งแกร่งกว่าอสูรศิลาก่อนหน้า “ทุกอย่างควรจะดี ถ้าพวกเราระมัดระวัง” ชิงสุ่ยกล่าวลวกๆ
“แต่ละชั้นของวิหารมีความเชื่อมโยงกับเทพสงคราม ถ้าสามารถเข้ามาถึงนี่ได้แล้ว เช่นนั้นการจัดการกับยักษ์ศิลาคงไม่ใช่ปัญหา กุญแจสำคัญอยู่ในเคล็ดวิชา 9 ท่วงท่าบรรพกาลศักดิ์สิทธิ์ หากคนผู้นั้นไม่รู้ว่ามีมันอยู่ พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถเข้ามาขนาดนี้ได้” ประมุขอสูรเตรียมอาวุธของเธอไว้หลังจากกล่าว
“ดูเหมือนว่าข้าควรจะหาอาวุธไว้”
ปัจจุบันอาวุธของชิงสุ่ยอยู่ในมือประมุขอสูร ตอนนี้เขาคิดว่าแม้ไม่มีพลังเสริมจากอาวุธ เขาก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาได้เป็นอย่างดี
ณ ตอนนี้มีคนประมาณ 100 คนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา นี่ทำให้ชิงสุ่ยตกตะลึงไปเสี้ยววิ แต่หลังจากที่คิดนิดหน่อย เขาก็ตระหนักถึงกลไกการป้องกันก่อนหน้านี้ รูปปั้นเทพสงครามไม่สามารถป้องกันผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญให้เข้ามาได้ เมื่อมันถูกทำลายลงจึงเหลือเพียงรูปแบบวงกตที่ซับซ้อน ดังนั้นการที่มีคนเข้ามาถึงในสถานที่แห่งนี้ได้จึงไม่น่าแปลก
หลังจากเห็นจำนวนคนมากมายเหล่านั้นแล้ว พวกเขามีทั้งคนจากฝ่ายธรรมะและคนจากขุมพลังแห่งปีศาจ ฮัวรูเหม่ยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเต่าศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ข้างนอกเพียงลำพังเพื่อปกป้องคนของพระราชวังจอมอสูร
ทั้งสองพี่น้องหลู่จากนิกายสาปอสูรก็มาด้วย เมื่อพวกเขาเห็นชิงสุ่ยและประมุขอสูรการแสดงออกของพวกเขาก็แปลกไป ท่าทีที่แปลกประหลาดนี้เหมือนกันกับคนจากฝ่ายธรรมะ
ชิงสุ่ยผู้ที่พร้อมจะต่อสู้ได้ตัดสินใจถอยห่าง เขายิ้มขณะมองดูฝูงชนและเดินไปอยู่ถัดกับคนจากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท พวกเขาอยู่ใกล้กับนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณ
มีประมาณ 20 คนที่มาจากขุมพลังแห่งปีศาจ แต่ฝ่ายธรรมะมีถึง 80 คน บรรยากาศกดดันขึ้น
ตาของชิงสุ่ยจ้องไปที่ผู้นำของอีกฝ่าย มันเป็นเพราะชิงสุ่ยรู้จักชายผู้นั้น มันเป็นช่วงแห่งความสุขที่เขาเคยพบมาก่อน
ชิงสุ่ยตกใจมากในตอนนี้
ชายชราที่เป็นผู้นำตกใจเช่นกัน ลักษณะการแต่งตัวของเขาต่างจากเมื่อก่อน แต่ชิงสุ่ยสามารถรู้ว่าเป็นใครได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนชายชราเองก็จำชิงสุ่ยได้เช่นกัน
“หนุ่มน้อย พวกเราเจอกันอีกครั้ง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่ เจ้าเป็นสมาชิกของพระราชวังจอมอสูรงั้นหรือ?” ชายชรามองไปที่หญิงซึ่งอยู่ข้างชิงสุ่ยและอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อ
“เขาเป็นผู้พิทักษ์สูงสุดแห่งกลุ่มมังกรอหังกาล” ประมุขอสูรกล่าวเบาๆ
ชิงสุ่ยดูเหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น เขาดูเหมือนจะเข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถจับใจความมันได้