บทที่1456 – รัศมีปีกพยัคฆ์ นักชำแหละกระหายเลือด เฉินหยวนหัว
“ข้ากำลังคิดว่าพวกเราควรพูดกับท่านผู้อาวุโสหรือไม่เรื่องการไปที่กลุ่มมังกรอหังกาล.” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น
ฮัว รูเหม่ยตกตะลึง นางรู้สึกงุนงงเล็กน้อยและถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาในทันที?”
ในตอนนี้ถานท่าย หลิงเยียนปรากฏตัวขึ้น แทนที่จะตอบคำถามชิงสุ่ยยิ้มและมองไปยังหญิงสาวที่เดินมานั่งลงข้างๆฮัว รูเหม่ย
“ข้าควรออกไปจากที่นี่ก่อนหรือไม่?” ฮัว รูเหม่ยยิ้มและกล่าว
“ใช่แล้ว ตามนั้นเลย!” ชิงสุ่ยพยักหน้าและกล่าวอย่างจริงจัง
“เจ้าคิดจะทำลายสะพานเมื่อข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วงั้นหรือ(หาประโยชน์จากผู้อื่นพอหมดประโยชน์ก็ทำลายมิตรภาพ)?” ฮัว รูเหม่ยยิ้มและมองไปยังชิงสุ่ย เมื่อนางกล่าวเช่นนี้นางก็ยืนขึ้นทันที
“ข้าแค่ล้อเล่น ระหว่างข้าและหลิงเยียนนั้นไม่มีอะไรเลย…… นั่งลงก่อน หลิงเยียนยังไม่ได้พูดอะไรเลย ท่านอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางกำลังกล่าวถึงก็เป็นได้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นธรรมชาติแต่ในตอนนี้ใบหน้าของถานท่าย หลิงเยียนมันดูแปลกประหลาดราวกับนางกำลังคิดอะไรอยู่
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนไร้เดียงสา ท่านประมุขวังไม่ใช่คนที่จะไล่ตามได้ง่าย เจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว” ฮัว รูเหม่ยเย้าหยอก
ฮัว รูเหม่ยคงจะเป็นเพียงคนเดียวที่กล้ากล่าวเรื่องล้อเล่นเช่นนี้
“นางยังไม่ได้ตกหลุมรักข้าจริงๆสักที แต่ข้าก็กำลังพยายามทำในเรื่องนี้” ชิงสุ่ยลูบจมูกของเขาและกล่าวขึ้นเพราะเขารู้ว่าถานท่าย หลิงเยียนนั้นไม่ได้เกลียดชังเขาแต่อย่างใด
“เอาหละเราคังคุยเรื่องนี้กันได้อีกมากในอนาคต เรามาดูกันเถอะว่าเทพธิดาน้ำแข็งของเราอยากจะพูดอะไรกัน” ฮัว รูเหม่ยจับมือถานท่าย หลิงเยียนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าได้พบเจอยอดฝีมือที่ผ่านสายตาของข้าโดยบังเอิญ ข้าตั้งใจจะเผชิญหน้ากับเขาพร้อมกับเจ้า ตอนนี้เขาอยู่ที่จักรวรรดิเหยียนและเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้า” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวขณะที่มองไปยังชิงสุ่ย
ผู้ที่เก่งกาจนั้นมักซ่อนอยู่ในป่าเขา ยอดฝีมือนั้นซ่อนอยู่ในเมือง แต่ยอดฝีมือที่แท้จริงนั้นซ่อนตัวอยู่ในจักรวรรดิใหญ่เช่นนี้
ผู้ที่เก่งกาจนั้นมักซ่อนอยู่ในป่าเขา ยอดฝีมือนั้นซ่อนอยู่ในเมือง ภูเขาค่อนข้างเงียบสงบในขณะที่เมืองบางแห่งอาจวุ่นวายอย่างยิ่ง ทำไมถึงไม่มีระหว่างของทั้ง 2 อย่างนี้? แต่ละที่ทั้งเงียบเกินไปและวุ่นวายเกินไป?
คนเหล่านี้มักจะปกปิดตนเอง หากไม่ใช่เพราะถานท่าย หลิงเยียนได้พบเขาโดยบังเอิญ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ได้พบเขาอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นเราควรไปหาเขาตอนนี้เลยหรือไม่?” ชิงสุ่ย
“ข้าจะไปตอนนี้!”
“ข้าก็ด้วย!” ฮัว รูเหม่ยยืนและกล่าวขึ้น
“พี่สาวท่านหลบเลี่ยงที่จะพบศัตรูดีกว่า” ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากที่มองไปยังถานท่าย หลิงเยียน
“เช่นนั้นพวกเราควรตื่นตัวเสียหน่อยเมื่อไปที่นั่น ชิงสุ่ยโปรดดูแลท่านประมุขวังของเราด้วย” ฮัว รูเหม่ยไม่ได้กลัวอะไร เมื่อมีชิงสุ่ยอยู่ที่นี่ นาง็ไม่ต้องกังวลเรื่องของท่านประมุขวังอีกต่อไป อย่างน้อยการหนีก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกนาง
“ได้แน่นอน ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ข้าจะไม่ให้ผู้ใดสัมผัสนางได้แม้แต่ปลายนิ้ว” ชิงสุ่ยยิ้มออกมา หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดรวมถึงถานท่าย หลิงเยียนก็ออกจากที่นี่ไป
ก่อนหน้านี้เมื่อถานท่าย หลิงเยียนได้ยินที่ชิงสุ่ยกล่าว นางก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย นางรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเป็นห่วงนางจริงๆ ในอดีตนางก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อนางได้อยู่กับฮัว รูเหม่ย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดนางก็รู้สึกเหมือนได้อยู่กับครอบครัวของตนเอง แต่มันแตกต่างกันเมื่อเทียบกับตอนนี้ นี่เป็นความรู้สึกที่คำพูดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายได้ นางรู้สึกว่าตนเองเริ่มรักความรู้สึกนี้ทีละน้อย บางครั้งนางก็รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่กับชายผู้นี้ นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่นางเลือกที่จะมาหาชิงสุ่ยและบางทีมันอาจจะเปลี่ยนจิตใจของนางได้ หากเป็นตัวนางในอดีตนางคงเลือกที่จะไปที่นั่นด้วยตนเองเพียงผู้เดียว
พวกเขาเดินทางไปประมาณ 1000 ลี้ เพียงพริบตาก็เกือบจะถึงที่หมายแล้ว หลังจากนั้นร้านเสื้อผ้าก็ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา
ร้านเสื้อผ้าตระกูลเฉิน!
ทั้งชิงสุ่ยและถานท่าย หลิงเยียนเข้าไปที่ร้านเสื้อผ้า เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ถานท่าย หลิงเยียนก็ถอดหมวกไม้ไผ่ของนางออก ความงามของนางสามารถดึงดูดความสนใจของคนทั้งโลกได้เป็นอย่างมาก ด้วยความสูงศักดิ์ของนางทำให้ผู้คนได้แต่เก็บงำความต้องการของตนเองเอาไว้ พวกเขาทำได้เพียงแอบมองนางเท่านั้น
เมื่อมองไปออกไปก็เห็นชายหนุ่มประมาณ 10 คนยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า แน่นอนว่าในจำนวนนี้ย่อมมีชายหนุ่มที่หื่นกระหายในกามอยู่บ้าง
“เฮ้ เจ้าคิดเช่นไรกับหญิงสาวผู้นี้?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเขาเห็นถานท่าย หลิงเยียน
“ด้วยรูปร่างของนางแม้ว่านางจะมีหน้าตาที่อัปลักษ์ก็ยังคงมีผู้คนมากมายต้องการนาง แม้ว่านางจะปิดบังใบหน้าของตนเองเอาไว้แต่นางก็ยังคงเหมือนกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์”
“พี่สาม จินตนาการของท่านช่างชัดเจนยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ พวกเราจะรออะไรอยู่กัน? พานางไปเล่นสนุกกับเราก่อน พวกเราย่อมได้เห็นใบหน้าของนางเมื่อเราได้เล่นสนุกกับนางแล้ว”
ฝุบ ฝุบ!
ชายหนุ่มที่กำลังพูดอยู่ในตอนนี้ก็โดนหักคอไปในทันที ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัว
“คนแบบพวกเจ้าสมควรตาย!”
เสียงที่เย็นชาดังออกมา ชายหนุ่มประมาณ 10 ที่อยู่ตรงหน้านั้นถูกสังหารไปทั้งหมดด้วยกลิ่นอายของถานท่าย หลิงเยียนเพียงอย่างเดียว
ขยะพวกนี้คงรังแกผู้คนมามากมาย พวกมันมควรตายอย่างยิ่ง แม้ว่าหากถานท่าย หลิงเยียนไม่ลงมือเองชิงสุ่ยก็จะลงมืออย่างแน่นอน
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็เดินเข้าไปภายในร้านเสื้อผ้า
ไม่มีผู้ใดอยู่ในร้านเสื้อผ้านี้เลย ทุกๆคนต่างวิ่งหนีไปทันทีเมื่อได้เห็นการสังหารหมู่เกิดขึ้น บางคนแม้จะวิ่งหนีออกไปไกลแล้วแต่ก็ยังคงหันมาจับตามองที่แห่งนี้ นี่เป็นการกระทำที่กล้าหาญอย่างยิ่ง ทันทีที่มีการสังหารเกิดขึ้นสิ่งที่พวกเขาควรทำคือวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ในร้านเสื้อผ้านี้ พื้นที่ของร้านนี้มีประมาณ 100 ตารางเมตร เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆนั้นถือว่าค่อข้างเล็ก
“พวกเจ้ามาที่นี่แล้ว!” เสียงที่เต็มไปด้วยปัญญาดังออกมา
ในร้านเสื้อผ้านี้มีเพียงชายชราที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเพียงคนเดียวเท่านั้น ชายชราผู้นี้ดูชาญฉลาดอย่างยิ่ง หนวดยาวสีขาวของเขาทำให้ชิงสุ่ยนึกถึงซานตาคลอสจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
“อื้ม ใครจะคิดว่านักชำแหละกระหายเลือด เฉินหยวนหัวจะมาอยู่ที่นี่ ในร้านเสื้อผ้าแห่งนี้……” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวขึ้นเบาๆ
“ก่อนหน้านีั ข้าบ้าบิ่นอย่างยิ่งและเป็นผลให้ข้าได้ทำผิดพลาดมากมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกใช้ชีวิตแบบคนะรรมดาที่นี่” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
“ผู้ที่สังหารคนอื่นจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตนเอง เจ้าทรงพลังอย่างยิ่ง เรากำลังจะต้องต่อสู้กันในวันนี้ ไม่ว่าเจ้าจะรอดหรือตายไปในวันนี้ ล้วนแต่เป็นลิขิตสวรรค์เท่านั้น เจ้าสามารถเรียกผู้อื่นมาเพื่อช่วยเหลือเจ้าได้” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เจ้าจะไม่ไว้ชีวิตข้าจริงๆหรือ?” ชายชราขมวดคิ้วและกล่าวขึ้น
“ไม่ หากเจ้าไม่ตาย ข้าก็ต้องตายเสียเอง” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวยืนยัน
“ข้าไม่อยากสังหารผู้ใดอีกแล้ว” ชายชราถอนหายใจออกมาอีกครั้งขณะที่เขามองไปยังถานท่าย หลิงเยียน
“ยังไม่แน่นอนว่าเจ้าจะสังหารพวกข้าได้หรือไม่ พวกเราจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก” ถานท่าย หลิงเยียนเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับชิงสุ่ยหลังจากที่นางกล่าวจบ พวกเขากำลังรอคอยที่กลางอากาศ
ชิงสุ่ยโคจรพลังของเขาถึงจุดสูงสุดและใช้รัศมีปีกพยัคฆ์ซึ่งทำให้พวกเขาทั้ง 2 คนนั้นทรงพลังมากขึ้น เดิมทีตำแหน่งที่ชิงสุ่ยยืนอยู่นั้นเพิ่มพลังให้กับเขาได้ 25% ขณะที่ตำแหน่งที่หญิงสาวยืนอยู่นั้นเพิ่มพลังให้กับนางได้ 10% แต่ชิงสุ่ยยังคงเลือกใช้มันเพราะอย่างแรกคทอเขาสามารถสลับตำแหน่งกับคนอื่นๆได้และยังสามารถเพิ่มพลังให้แก่คนอื่นๆได้
หลังจากที่คิดในตอนนี้ชิงสุ่ยก็ตัดสินใจสลับตำแหน่งของเขากับหญิงสาวเพื่อเพิ่มพลังให้กับนาง 25% ไม่ว่ายังไงหญิงสาวผู้นี้ก็มีพลังมากกว่าเขาอยู่แล้ว เขายังเคล็ดวิชาอื่นๆออกมาและเพิ่มพลังของนางขึ้นเป็น 45% ด้วยหงส์ทองประลองพินิจและเครื่องรางแห่งสวรรค์ของเขา
ถานท่าย หลิงเยียนมองมายังชิงสุ่ยด้วยความไม่เชื่อ ชายผู้นี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นทุกครั้ง ความประหลาดใจที่นางได้รับจากเขานั้นยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
“มีอะไรหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าดูหล่อเหลามากกว่าก่อนหน้านี้?” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่ถานท่าย หลิงเยียน
“ไม่ เจ้าดูอัปลักษณ์ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ชิงสุ่ยไม่คิดว่านางจะกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง กลับกันเขากลับรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้เริ่มเปิดใจให้เขาทีละน้อย ที่จริงหญิงสาวตั้งใจจะล้อเล่นเท่านั้น แต่ด้วยสีหน้าของนางและน้ำเสียงของนางทำให้สิ่งที่นางกล่าวออกมานั้นดูจริงจังเสมอ ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนาง
“หลิงเยียน ข้าอยากจะถามเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้านั้นงดงามหรือไม่?”
ถานท่าย หลิงเยียนตกตะลึง “ข้าไม่รู้ ไม่เคยมีใครพูดกับข้าแบบนี้มาก่อน”
ชิงสุ่ยคิดและรู้ว่ามันคงสมเหตุสมผลแล้ว ใครกันจะกล้าถามนางเช่นนี้? นางอาจไม่เคยได้พูดคุยกับผู้ชายมากนัก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้ยังคงมองมาที่เขา เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าเย็นชายิ่งนักแต่ก็เป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่ง เจ้าดูงดงามราวกับเทพธิดาแต่ในขณะเดียวกันก็ดูเย็นชาดุจน้ำแข็ง”
ในตอนนี้ชายชราปรากฏตัวที่เบื้องล่างและจากนั้นเขาก็พุ่งตายขึ้นมา
“พวกเจ้าบังคับให้ข้าทำแบบนี้เอง ข้าไม่อยากที่จะสังหารผู้ใดอีกแล้ว แต่พวกเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าได้กลับตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ต้องสังหารพวกเจ้าทุกคน” กลิ่นอายของชายชราเปลี่ยนไปทันทีทันใดเมื่อพูดเสร็จ
ชายชราที่ดูเหมือนกับซานตาคลอสก่อนหน้านี้ เขาดูชาญฉลาดมากจนไม่น่าเชื่อว่ามือเขาจะเคยเปื้อนเลือดมาก่อน แต่ในตอนนี้ทันทีที่กลิ่นอายของชายชราเปลี่ยนไป กลิ่นอายของโลหิตจางๆก็เริ่มแผ่กระจายออกไปรอบบริเวณนี้
เขามีชื่อเสียงอย่างยิ่งในมหาทวีปมังกรอหังกาล นักชำแหละกระหายเลือด เฉินหยวนหัว
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างช้าๆ เขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่อันตรายออกมาราวกับสัตว์อสูรบรรพกาล
ชิงสุ่ยไม่กล้าที่จะลดการป้องกันของเขาลงไปแม้แต่สักวินาทีเดียว ชายชราผู้นี้อันตรายอย่างยิ่ง กลิ่นอายที่ชายชราปลดปล่อยออกมานั้นราวกับว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา เขารีบเรียกอสูรสยบมังกรออกมาทันทีและใช้ปราณจักรพรรดิของเขาหลังจากนั้น
เขากลัวว่าเขาเรียกมันออกมาไม่ทันเวลา
ศัตรูตกตะลึงทันทีเมื่อได้เห็นปราณจักรพรรดิ จากนั้นชิงสุ่ยก็ใช้โอกาสนี้โยนเครื่องรางแห่งสวรรค์ออกไป
“ลงมือได้แล้ว!”
หุบเขา 9 เทวา!
ชิงสุ่ยสั่งให้หุบเขา 9 เทวาออกไปป้องกันและบดบังการมองเห็นของศัตรู หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้อสูรสยบมังกรรอคอยอยู่ที่นี่เพื่อรอโอกาส
ตราประทับซวนเทียน!
เป้ง!
ชายชราโจมตีหุบเขา 9 เทวาให้กระเด็นไป ดวงตาทั้ง 2 ข้างของเขาแดงฉานราวกับว่ามันสามารถยิงลำแสงออกไปได้
“เขาเป็นผู้สืบทอดของจอมอสูรโลหิตแต่เขาไม่ได้สืบทอดมรดกมา อย่างไรก็ตามพรสวรรค์ของเขานั้นสูงยิ่งนักและการสืบทอดมรดกอาจจะไม่ได้ทำให้เขาทรงพลังมากยิ่งขึ้น” ถานท่าย หลิงเยียนถืออาวุธอสูรของนางและพุ่งออกไปทันทีหลังจากที่นางกล่าวจบ
ปราณจักรพรรดิ!
ชิงสุ่ยใช้งานปราณจักรพรรดิของเขาอีกครั้งและลดพลังของศัตรูลงไป 20% เครื่องรางแห่งสวรรค์สามารถลดพลังของศัตรูได้เพียง 10% เท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากพลังของชายชราอยู่ที่ 100 หลังจากเขาใช้งานเครื่องรางแห่งสวรรค์พลังของชายชราจะเหลือเพียง 90 เท่านั้น แต่ปราณจักรพรรดิไม่ได้ลดพลังทั้งหมดของศัตรูแต่ลดพลังในตอนนี้ของศัตรู ดังนั้นหลังจากได้รับผลของเครื่องรางแห่งสวรรค์ไปแล้ว ปราณจักรพรรดิจะทำงานต่อและลดพลังของศัตรูลงไปอีก 20% ของค่าพลัง 90 ที่เหลือ
นอกจากนี้ถ้าเขาใช้ปราณจักรพรรดิในตอนนี้ มันจะหักล้างกับปราณจักรพรรดิที่เขาใช้ไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้เครื่องรางแห่งสวรรค์ไปก่อนเมื่อลดพลังของศัตรูไปก่อน นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยได้ค้นพบหลังจากที่เขาได้ลองใช้เคล็ดวิชาต่างๆของเขา
ทันใดนั้นอสูรสยบมังกรก็เจาะทะลุผ่านหุบเขา 9 เทวาและกระโจนเข้าไปหาชายชรา
นักชำแหละกระหายเลือดหรี่ตาลงทันทีเมื่อเขาได้เห็นอสูรสยบมังกร เขาส่งฝามือของตนเองออกไปปะทะกับอสูรสยบมังกรที่กระโจนเข้ามา
“เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างโชคดียิ่งนักที่ได้ครอบครองสัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนี้”
“ข้ายอมรับว่าพลังของเจ้านั้นน่ากลัวจริงๆ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นโชคชะตาที่เจ้าจะต้องตายในวันนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
ในตอนนี้เมื่อชิงสุ่ยกล่าวจบ เขาก็พุ่งออกไปหาชายชราพร้อมกับง้าวทองทะลวงศัตรูในมือของเขา
ทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึก!
“เจ้าคือผู้สืบทอดแห่งเทพสงครามทองคำ!?” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ ในตอนที่เขากล่าวขึ้นนั้นเขาก็กวัดแกว่งกระบี่ขนาดใหญ่ของตนเองไปปะทะกับง้าวทองทะลวงศัตรูของชิงสุ่ย