บทที่ 1470 – ความพ่ายแพ้ในการประลองแรก ผู้อาวุโสโม่เซี่ย
หลังจากที่ซานยูอ่านจดหมายท้าประลองจบ เขาถึงกับทิ้งมันลงกับพื้น ก่อนจะเหลือบสายตามองดูทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ยและซานยูก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้ามีคำถามอยากจะถามหรือไม่?”
ชิงสุ่ยจึงถามออกมาว่า “นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทว่าอย่างไรบ้าง? พวกนางคือเจ้าของที่แห่งนี้ พวกเรามาที่นี่ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหากปล่อยให้พวกนางตัดสินใจ”
“พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือก็จริง แต่พวกนางได้ตัดสินใจมอบอำนาจในการตัดสินแก่พวกเรา โดยที่พวกนางเองขอเข้าร่วมการประลอง 2 รอบ พวกนางมั่นใจว่าจะต้องชนะอย่างแน่นอนใน 1 รอบ ส่วนอีก 1 รอบพวกนางดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”
“ในการประลอง 5 รอบ มีเพียงแค่ 4 รอบเท่านั้นที่เป็นการประลองตัวต่อ ถ้าหากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทรับประกันว่าพวกนางจะชนะได้แน่ 1 รอบ ก็ถือว่าสร้างโอกาสให้พวกเราชนะมากขึ้น แต่ทุกอย่างย่อมไม่แน่นอน ข้าจึงกังวลว่าสิ่งที่ส่งผลต่อการต่อสู้หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร”
“ผู้ชนะจะเรียกร้องอะไรก็ได้จากผู้แพ้อย่างสมเหตุสมผล และหากผู้แพ้ไม่เห็นด้วย ผู้ชนะก็จะเข้าโจมตีต่อ”ถานท่ายหลิงเยียนอธิบายให้ชิงสุ่ยฟัง
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะยอมรับคำท้า ตราบใดที่นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทมั่นใจว่าจะเอาชนะการแข่งขันได้อย่างแน่นอน 1 รอบ พวกเราจะต้องชนะแน่”ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากคบคิดชั่วครู่หนึ่ง
“ชิงสุ่ย คราวนี้พวกเราจะประมาทไม่ได้ ข้ามั่นใจว่าการประลองตัวต่อตัวในแต่ละรอบ นิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณจะต้องคัดเลือกสุดยอดจอมยุทธมาเข้าแห่งอย่างแน่นอน”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กังวลเล็กน้อย
“ตราบใดที่นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทเอาชนะได้อย่างแน่นอน การประลองครั้งนี้ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว พวกข้าวางแผนเอาไว้แล้วว่า ข้าจะลงประลองและข้าจะต้องได้รับชัยชนะเป็นแน่ เช่นนั้นก็ยังเหลืออีก 2 รอบการประลองซึ่งมันจะเป็นตัวตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจว่าเขาจะต้องชนะในการต่อสู้อย่างแน่นอน
แม้ว่าชิงสุ่ยจะมีความมั่นใจแต่ศัตรูฝ่ายตรงข้ามของเขานั้นเป็นถึงนิกายสาปอสูร อีกทั้งยังเป็นการต่อสู้ที่สามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ นั่นก็ทำให้พวกเขาสามารถเรียกสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามของพวกเขาออกมาได้เช่นกัน
แต่ยังไงซะชิงสุ่ยก็สามารถโต้ตอบได้โดยการใช้ระฆังสะท้านจิต เพื่อเพิ่มความสามารถให้สัตว์อสูรของตัวเอง และสุดท้ายเขาก็จะได้รับชัยชนะ
ถานท่ายหลิงเยียนพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าเชื่อในตัวของเจ้า แต่เจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดี อีกไม่นานนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทก็จะส่งผู้ฝึกตนระดับปรมาจารย์มาหารือการทำงานร่วมกับพวกเรา”
หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง คนจากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทจำนวน 3 คนก็ปรากฏตัวขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือประมุขเฉิน ส่วนอีก 2 คนเป็นหญิงสูงวัย หนึ่งในพวกนางครอบครองความแข็งแกร่งเท่ากับผู้อาวุโสหลู่ ในมือของเธอนั้นถือคทามังกรเกลียวคลื่น รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สงบนิ่งและเมตตา แม้ว่าจะเป็นสัญญาณเล็กๆน้อยๆแต่ก็รับรู้ได้ถึงพลังอันมหาศาลในตัวของเธอ ทันทีที่ชิงสุ่ยเห็นเธอเขามั่นใจทันทีว่าเธอจะต้องชนะการปะลองอย่างแน่นอน
หลังจากทักทายทุกคนก็เริ่มนั่งลง หญิงสาวสูงวัยคนนี้อดีตเคยเป็นถึงประมุขแห่งนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท แต่ตอนนี้เธอเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทอีกแล้ว เธอเลือกที่จะสละตำแหน่งประมุขนิกายเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทแทน
ส่วนผู้อาวุโสอีกคนนึง เธอเองก็เป็นถึงระดับปรมาจารย์อาวุโสแห่งนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท ซึ่งเธอจะเป็นคนทำหน้าที่ในการตัดสินใจต่างๆเกี่ยวกับนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของกันและกันแล้ว ทุกคนก็กลับไปเข้าเรื่องนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณ คะแนนเสียงของคนทั้งหมดต่างยอมรับคำท้าของศัตรู และได้คัดเลือกคนที่จะเข้าทำการประลองจนครบ เหลือแค่เพียงการตัดสินใจว่าใครจะเข้าแข่งก่อนหลังเท่านั้น
ในช่วงบ่าย กลุ่มคนทั้งหมดได้มุ่งหน้าตรงไปยังที่พักของหุบเขากระชากวิญญาณและนิกายสาปอสูรซึ่งอยู่ห่างประมาณ 300 ลี้ ซึ่งทางฝั่งศัตรูมีทหารคุ้มกันโดยประมาณ 5000 คน ส่วนทางฝั่งของพระราชวังจอมอสูรและนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทมีทหารติดตามมาเพียงแค่ 3000 คน
ความสามารถในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของชิงสุ่ยนั้นเป็นเลิศเหนือผู้อื่น ขณะที่เขาเข้าใกล้ศัตรูขึ้นเรื่อยๆ เขารับรู้ถึงกลิ่นอายที่แสนน่ากลัวของบางสิ่งบางอย่างที่ปะปนอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสหญิงที่มาจากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทเลยแม้แต่น้อย ถึงกับอาจเรียกได้ว่าคนเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าเสียอีก
มรดกสืบทอดจากเทพเจ้าสงครามและมรดกแห่งจอมอสูรคือมรดกที่อยู่ในระดับเดียวกันดังนั้นใครที่ครอบครองมันมากกว่าจะกลายเป็นกลุ่มคนที่น่ากลัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ครอบครองมรดกนั้นโดยตรงแต่ก็ไม่มีทางที่คนเหล่านี้จะอ่อนแอ
ทั้งสองฝ่ายห่างกันประมาณ 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นทุ่งโล่ง จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างมองเห็นกันอย่างชัดเจน แล้วทำให้การพูดคุยระหว่างกันเป็นเรื่องง่าย
ชายวัยกลางคนที่มีแผ่นหลังคล้ายกับแผ่นหลังของเสือในขณะที่มีเอลคล้ายกับลิง รอบกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยผืนป่า ดวงตาของเขานั้นจ้องมองราวกับดวงตาของสัตว์ป่าเช่นกัน แม้ว่าจะดูผิดธรรมชาติแต่ภายนอกของเขาช่างดูดีและน่าสนใจ
“พวกเรามาจากนิกายสาปอสูร ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะยอมรับการประลอง ข้าจะมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องกฎกติกา”ชายคนนั้นยิ้มขณะที่เขาเหลือบมองชิงสุ่ยและคนอื่นๆ
ชิงสุ่ยเดินออกมาในฐานะตัวแทนของพระราชวังจอมอสูรนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท
“พ่อหนุ่มน้อย เจ้าโตพอที่จะพูดคุยเรื่องนี้จริงๆหรือ แล้วเจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของทั้งสองนิกาย?”ชายคนนั้นตกใจเมื่อเห็นชิงสุ่ยเป็นฝ่ายเดินออกมา จากนั้นเขาก็เริ่มระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น
“เจ้าอย่าได้สนใจและอย่าได้ออกนอกเรื่องเลย แต่ถ้าหากเจ้าไม่แน่ใจ เช่นนั้นเจ้าก็จงถอดกางเกงให้ข้าดู แล้วข้าจะถอดกางเกงให้เจ้าดูเช่นกัน จะได้รู้ว่าใครสมควรที่จะเป็นผู้ใหญ่กว่ากัน”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
ที่ชิงสุ่ยกล้าพูดเช่นนี้เพราะเขาเองก็เป็นถึงหมอเทวดาย่อมสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของคนภายนอกได้และรู้ดีว่าชายผู้นี้จะต้องไม่กล้าถอดกางเกงต่อหน้าฝูงชนอย่างแน่นอน
ถานท่ายหลิงเยียนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ส่วนฮัวรูเหม่ยกลับมองดูชิงสุ่ยด้วยความตลกขบขัน เธอไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะกล้าหน้าด้านต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้
ชายที่อยู่เบื้องหน้าแม้จะแสดงท่าทางนิ่งสงบแต่ความจริงแล้วเขากลับรู้สึกไม่สบายใจแต่เลือกที่จะแสดงหน้านิ่งปกติเอาไว้ “เนื่องจากเจ้าเป็นตัวแทนของทั้งสองนิกาย ก็ดีข้าจะได้บอกกฎให้เจ้าได้รับรู้ เมื่อเริ่มต้นการประลองทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งคนออกไปทันที ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชะลอประวิงเวลาก็ถือว่าสละสิทธิ์ทันที ทั้ง 5 การแข่งขัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาชนะได้มากกว่า 3 ครั้ง ถือว่าได้รับชัยชนะและการแข่งขันเป็นอันสิ้นสุด เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ก็ถือว่าเอาตามนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกเราจะเริ่มนับ 1 ถึง 3 พร้อมกัน ข้าหวังว่าทุกคนจะยืนครบตามตำแหน่ง” ชายคนนั้นกล่าวเสร็จพร้อมกับเดินหันหลังตรงไปยังกลุ่มสมาชิกที่อยู่ด้านหลังเขา
ชิงสุ่ยเองก็เดินกลับไปยังกลุ่มพันธมิตร เขาคือหนึ่งในคนที่ตัดสินใจลงประลอง สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือการจัดลำดับผู้ประลอง
แม้ว่าการประลองในครั้งที่หนึ่งจะมีความสำคัญอย่างมาก แต่มันก็ไม่ใช่การประลองที่จะชนะเสมอไป แต่ถ้าหากชนะก็ย่อมเป็นการดีแต่ถ้าหากพ่ายแพ้การต่อสู้ในครั้งต่อไปก็จะมีแรงกดดันมากขึ้น และการพ่ายแพ้ครั้งแรกก็เปรียบเสมือนการทำลายขวัญกำลังใจของตนเอง สิ่งดีที่สุดก็คือการเอาชนะเพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบ
“ท่านปรมาจารย์อาวุโส ข้าจะใส่ชื่อท่านลงไปในการประลองครั้งนี้ด้วย ไม่สำคัญว่าท่านจะชนะได้หรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่ท่านต้องทำให้ได้ก็คืออย่าบาดเจ็บกลับมา”ชิงสุ่ยกล่าวกับหญิงชรา
แม้ว่าหญิงชราผู้นี้จะเต็มไปด้วยความงุนงงๆ ตอนแรกเธอคิดว่าชิงสุ่ยจะบอกกับเธอให้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเอาชนะให้ได้ แต่เธอกลับไม่คาดหวังว่าชายผู้นี้จะบอกกับเธอเช่นนั้น
ชิงสุ่ยส่งข้อความบอกกับฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนเอง หลังจากที่ร่วมนับ 1 ถึง 3 พร้อมกัน ร่างของคน 2 คนก็ปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ระบุเอาไว้ในเวลาเดียวกันทันที
แม้จะมองจากระยะไกลแต่ชิงสุ่ยก็สามารถมองเห็นมันอย่างชัดเจน เขารู้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของคนทางฝั่งเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน กลิ่นอายที่พุ่งพล่านออกมาจากตัวของฝั่งตรงข้ามนั้นทำให้ชิงสุ่ยค่อนข้างแปลกใจ ที่สำคัญที่สุดชายชราผู้นี้จะต้องมาจากหุบเขากระชากวิญญาณอย่างแน่นอน
ชายชรารูปร่างผอม สวมเสื้อผ้าหลวมๆซึ่งดูเหมือนตัวของชายชราเป็นเพียงแค่ไม้แขวนที่ใส่เสื้อผ้า แสงตกกระทบสีแดงสามารถมองเห็นได้จากช่องว่างของเสื้อผ้าชายชรา แต่ในสายตาของชิงสุ่ยกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายที่อันตรายจากภายในตัวของชายชราผู้นี้
เมื่อการจับคู่ประลองเกิดขึ้นถึงเวลาที่ผู้ฝึกตนทั้งสองก้าวขึ้นสู่พื้นที่ประลอง บนพื้นที่ประลองไม่มีแม้แต่ผู้ตัดสินซึ่งนั่นก็หมายความว่าผู้ฝึกตนจะต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง
“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกสนุกกับการต่อสู้ครั้งนี้”
“ข้าเองก็เช่นเดียวกัน”
เสียงทักทายของชายชราจากหุบเขากระชากวิญญาณดังขึ้นแต่ก็ได้ยินชัดแม้จะดังมาจากสถานที่ห่างไกล แม้ว่าชิงสุ่ยจะมองไม่เห็นปากที่ขยับของชายชรา ดูเหมือนว่าเขาจะพูดผ่านลำคอเท่านั้น
ทางฝั่งของชิงสุ่ย ปรมาจารย์อาวุโสหญิงก็ค่อยๆเดินขึ้นสู่ลานประลองพร้อมกับศาสตราวุธที่อยู่ในมือ มันคือคันเบ็ดทองคำ โดยที่ส่วนปลายของคันเบ็ดมีลูกทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นจำนวน 3 ลูก
ไม้ตะพดเทวโลก!!
ขณะที่พวกผู้ชายหญิงก้าวขึ้นสู่สนาม เธอก็สะบัดไม้ตะพดของเธอจนก่อให้เกิดแรงดันอากาศขนาดใหญ่ที่พุ่งออกไปกดดันศัตรูของเธอทันที
ฟุบบบบบ!!
เสียงที่ตัดผ่านอากาศแสบแก้วหูดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับกระบี่เขี้ยวหมาป่าทมิฬที่ปรากฏขึ้นบนมือของชายชรา
ตูมมมม!!! ตูมมมม!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งที่ระเบิดดังขึ้นฝุ่นผงจะถูกปัดเป่าฟุ้งกระจายไปทั่วจนกลายเหมือนม่านหมอก แต่ช่างน่าเสียดาย หากนับในแง่ของความเร็วหญิงชราผู้นี้เทียบเท่ากับชายชราจากหุบเขากระชากวิญญาณได้
ไม้ตะพดสะท้านจิตเทวโลก!!
ทันทีที่เธอเหวี่ยงไม้ตะพดทองคำในมือของเธอออกไป ขนาดของมันก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมผู้ออกไปทันที
“อย่าได้คิดใช้เคล็ดวิชาโง่ๆเหล่านี้ออกมาต่อหน้าข้า!!”
วิญญาณราชันทลายสุริยา!!
กระบี่เขี้ยวหมาป่าในมือของชายชราแปรเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่ขนาดยักษ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา แล้วค่อยๆกลายเป็นหมาป่าที่กำลังอ้าปากพร้อมที่จะเขมือบไม้ตะพดทองคำ
ข้าขอยอมแพ้!!
ทันทีที่เห็นว่าศัตรูกำลังเข้าประชิดตัวเธอหมายที่จะปิดฉาก ซึ่งเธอก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนกระบวนท่ามาป้องกันได้ทัน แน่นอนว่าคำพูดของชิงสุ่ยค่อยๆปรากฏขึ้นในสมองของเธอก่อนที่เธอจะพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายชราที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามก็หยุดกระบวนท่าในทันที
ปรมาจารย์อาวุโสหญิงกลับมายังฐานที่มั่นพร้อมกับปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ ” การพ่ายแพ้ของข้าในครั้งนี้ ข้าช่างเป็นหญิงชราที่ไร้ค่าจริงๆ”
“ท่านยาย โปรดอย่าโทษตัวเองเลย มีผู้ชนะก็ย่อมต้องมีผู้แพ้ แท้จริงแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพึ่งท่านอยู่”ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาปลอมโยนจิตใจหญิงชรา
“ขอบคุณมาก หากต้องลงสนามรบอีกคร่า รอบหน้า ข้าจะทุ่มสุดชีวิตแม้ว่าต้องแลกกับชีวิตข้าก็ตาม”หญิงชรากล่าว
ชัยชนะแรกตกเป็นของนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณ ทั้งสองนิกายโห่ร้องอย่างมีความสุข ส่วนทางฝั่งของพระราชวังจอมอสูรและนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทตกอยู่ในความเงียบสงัด
“พวกเจ้าอยากเตรียมตัวก่อนที่ศึกครั้งที่สองจะเริ่มขึ้นหรือไม่?”เสียงเยาะเย้ยจากนิกายสาปอสูรดังขึ้น
“ไม่จำเป็น เริ่มกันเลยเถิด”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
“ท่านยายปรมจารย์สูงสุด สำหรับการประลองครั้งนี้ข้าขอฝากความหวังเป็นที่ท่านด้วย ขอให้ท่านทำมันให้ดีที่สุด”ชิงสุ่ยกล่าวปลุกใจ เพราะถ้าหากพวกเขาแพ้อีกครั้งหนึ่งสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม
“อย่าได้กังวล ข้ามั่นใจว่าข้าจะต้องชนะแน่”หญิงชรากล่าวอย่างห้าวหาญด้วยความมั่นใจ
ชิงสุ่ยเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคุณยายท่านนี้จะได้มั่นใจมากนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอนั้นอยู่ในระดับที่ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว หรือเธอมั่นใจในความสามารถของทักษะสังหารไร้ปราณีขั้นสูงสุดของเธอ?
ทันทีที่จะนับ 1 ถึง 3 คนทั้งสองคนก็ไปปรากฏอยู่ที่ลานประลองพร้อมๆกัน
ครั้งนี้ทางฝั่งศัตรูได้ส่งชายชราร่างกายสูงใหญ่กำยำ ตัวของเขานั้นมีร่างกายคล้ายกับสิงโตยักษ์ที่มีความสูง 2 เมตรครึ่ง มันคือร่างกายที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติ กลิ่นอายที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ภายนอกของเขานั้นช่างดูสง่างามแต่กลับสร้างแรงกดดันอันมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่องได้
ผู้อาวุโสโม่เซี่ยง!!
ประมุขเฉินที่แสนสง่างามเปล่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ