บทที่ 1473 – สังหาร หลอมสัตว์อสูร กลั่นหลอมอสูร อสูรนรกรัตติกาล
เมื่ออีกฝ่ายคิดจะใช้วิธีสกปรก ชิงสุ่ยก็ไม่คิดจะออมแรงเช่นกัน
อัสนีจู่โจม! อัสนีจู่โจม!
ชิงสุ่ยสั่งอสูรอัสรีให้ปล่อยอัสนีจู่โจม ชิงสุ่ยพิจารณาการโจมตีทุกครั้งอย่างถี่ถ้วน เพราะนี่คือหนึ่งในทักษะสังหารไร้ปรานีของชิงสุ่ย ตอนนี้อสูรสยบมังกรเองก็เตรียมพร้อมโจมตีเช่นกัน
ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นซีดเซียว แม้ว่าเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เขาก็ยังมีสติ เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ชายชรารู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นน่ากลัวมาก
แม้อสูรเกราะเหล็กมหากาฬจะอยู่ใกล้ชายชรา แต่เพราะพลังความเร็วของพวกมันลดลงมาก มันจึงเข้ามาช่วยเหลือช่วยเหลือชายชราไม่ทัน
น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ท่าไม้ตายอีกอย่าง..
ตึง!
หัวของชายชราหายไปด้วยฝีมือของอสูรสยบมังกร ชิงสุ่ยใช้อัสนีจู่โจมติดต่อกันเพียงเท่านั้น ซึ่งความจริงเขายังมีทักษะอื่น ๆ ที่น่ากลัวกว่านี้อีกมากมาย แต่ชิงสุ่ยก็เลือกที่จะสังหารศัตรูร่วมกับอสูรสยบมังกร ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะป้องกันตัว
หากผสานพลังต่อสู้ร่วมกันเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ต้องตายสถานเดียว และนี้ก็เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้แผนการของเขาก็สำเร็จแล้ว
ระหว่างนั้นสมาชิกนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณเองก็เริ่มเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับพระราชวังจอมอสูรและ นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท พวกเขาเองก็ไม่มีทางยอมอีกฝ่ายแน่นอน เพราะสถานการณ์ในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็พร้อมจะต่อสู้โดยไม่ต้องรีรออะไรอีก
ทันใดนั้น ชิงสุ่ยจัดการคนนับสิบคนด้วยวงแหวนเทพสงครามและสร้างรูปแบบผสานจตุรทิศ โดยที่แต่ละตำแหน่งนั้น ชิงสุ่ยได้จัดการให้ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งยืนประจำตำแหน่งนั้น ๆ ซึ่งนี้ถือเป็นการดัดแปลงรูปแบบด้วยตัวของชิงสุ่ยเอง
สถานการณ์บนพื้นดินนั้น ทั้งตึงเครียดและเต็มไปด้วยทะเลเลือด อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรปล่อยใยแมงมุมพิษกัดกร่อนจากด้านบน อีกทั้งมันยังเรียกฝูงแมงมุมออกมาเสริมทัพ ซึ่งพลังของแมงมุมอสูรที่กลายพันธุ์ก็แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะพิษของมันที่มีความสามารถเฉพาะตัว
วชิระสยบอสูร!
เคล็ดวิชาเปลวเพลิงแห่งนรก!
อสรพิษเพลิงบรรพกาล พ่นลมหายใจออกมาเป็นไฟร้อนระอุ
ทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึก!
ปราณจักรพรรดิ!
ทำลายให้สิ้น!
ชิงสุ่ยและถานท่าย หลิงเยียน รวมถึงสมาชิกเก่งกาจจากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทสร้างรูปแบบและเริ่มจัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลังเล
แม้ศัตรูจะสร้างรูปแบบ แต่ชิงสุ่ยก็มีทักษะผสานพลังพระราชวัง 9 เทวา และท่าไม้ตายอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ เขาจึงสามารถทำลายรูปแบบของอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ เมื่อผสานพลังร่วมต่อสู้กับอสูรสยบมังกร เขาจึงทำลายรูปแบบของศัตรูได้อย่างง่ายดายและชิงสุ่ยก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก เขาสามารถทำลายรูปแบบของอีกฝ่ายโดยที่อีกฝ่ายแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
การต่อสู้ที่เข้มข้นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ทั้งสองฝั่งต่างบาดเจ็บสาหัส แต่จำนวนผู้บาดเจ็บของพระราชวังจอมอสูรและนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทนั้นน้อยกว่า ฝ่ายของชิงสุ่ยนั้นน่ากลัวมาก เมื่อรวมตัวกันพวกเขาแข็งแกร่งดุจกระบี่ที่คมเฉียบ ใครที่ถูกกระบี่โจมตี ย่อมตายอย่างไม่ต้องสงสัย
การระเบิดครั้งใหญ่ทำให้ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วท้องฟ้า ในตอนนั้นเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ท่ามกลางหมอกควัน และในช่องว่างนั้นสามารถมองเห็นท้องฟ้ากลางคืนได้ แต่ก็เป็นท้องฟ้าที่แปลกตา..ราวกับว่ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างของอีกพิภพ ภาพตรงหน้านี้อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกได้ว่าตัวเขาเป็นแค่เพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ บนโลกนี้เท่านั้น
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จำนวนคนบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าพรรคพวกและสัตว์อสูรของชิงสุ่ยยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นเคย
อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยนำระฆังสะท้านจิตและเตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มออกมา ด้วยผลของมันทำให้สัตว์อสูรของฝ่ายตรงข้ามพลังลดลง 50% แม้กระทั่งสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็ไม่เว้น บางตัวหนีออกไปจากสนามรบแล้ว ดังนั้นสถานการณ์ของอีกฝ่ายจึงแย่ลงเรื่อย ๆ ฝ่ายชิงสุ่ยจัดการสมาชิกนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณจนบาดเจ็บจำนวนมาก
เพียงเท่านี้ก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว อีกฝ่ายเริ่มหนีไประหว่างการต่อสู้ ครั้งนี้พวกเขาต้องพ่ายแพ้เพราะดูหมิ่นพระราชวังจอมอสูรและนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท ซึ่งความพ่ายแพ้ครั้งนี้คงใช้เวลานานเกือบ 500 ปีเพื่อกู้สถานการณ์ให้กลับมาเป็นดังเดิม
ชิงสุ่ยยังคงไล่บดขยี้ศัตรูต่อไป เขาไล่ตามคนพวกนั้นไปเกือบพันลี้ โดยผู้ฝึกตนที่เก่ง ๆ นั้นส่วนมากก็ตายกันไปหมดแล้ว มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้ทักษะบางอย่างหลบหนีไป
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้นิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณแทบจะล่มสลายไปเกือบทั้งหมด แม้พระราชวังจอมอสูร หรือนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทจะไม่ได้ลงมือจัดการพวกเขาให้สิ้นซาก ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ยอมให้พวกที่เหลือรอดนั้นมีชีวิตอยู่ พวกเขารอเวลาล้างแค้นเช่นนี้มานานมากแล้ว
ในตอนที่ชิงสุ่ยกำลังจะจากไป อสูรเกราะเหล็กมหากาฬทั้งสองก็ยังอยู่ที่นั่น ตอนนี้เจ้านายของพวกมันตายแล้ว ดังนั้นชิงสุ่ยก็ไม่คิดจะทิ้งพวกมันไว้ที่นี้
ในเมื่อพวกมันไม่จากไปไหน ชิงสุ่ยก็จะพาพวกมันไปเลี้ยงเสียเอง สัตว์อสูรชนิดนี้เป็นของล้ำค่า มันอาจจะช่วยเขาพัฒนาทักษะอื่น ๆ อีกก็ได้
เขาพยายามสื่อสารกับสัตว์อสูรทั้งสองแต่ก็ไร้ความหมาย พวกมันไม่เคลื่อนไหวและไม่โจมตีอะไรแต่อย่างใด
“ชิงสุ่ย.. ไร้ประโยชน์น่า เจ้านายของมันตายแล้ว พวกมันก็คงจะจบชีวิตลงที่นี้เช่นกัน เพราะครั้งหนึ่งที่อสูรเกราะเหล็กมหากาฬมีเจ้านาย มันก็จะจงรักภักดีต่อเจ้านายของมันเพียงคนเดียว และถ้าเจ้านายของพวกมันตาย พวกมันก็ไม่มีทางรอดอีกแล้ว” ถานท่าย หลิงเยียนเข้ามาใกล้ชิงสุ่ยและบอกเขา
“เฮ้อ..ข้าแค่อยากลองเสี่ยงโชคเท่านั้นเอง ..เผื่อจะโชคดีกับขาบ้าง น่าเสียดายที่พวกมันต้องมาตายไปทั้ง ๆ อย่างนี้”
ชิงสุ่ยเคยอ่านเรื่องราวของอสูรเกราะเหล็กมหากาฬมาก่อน แต่เขาไม่เคยเชื่อว่ามันจะจงรักภักดีต่อเจ้าของมากขนาดนี้..
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางอื่น ชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะหลอมรวมพวกมันแทน..
กระบวนการหลอมรวมอสูรนั้นมีสองประเภท หนึ่งคือการสร้างสัตว์อสูรชนิดใหม่ หรือ แค่เพิ่มความสามารถบางอย่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งให้สัตว์อสูรอีกตัว ดังนั้นร่างของอสูรตัวหนึ่งจะหายไป และผลลัพธ์ที่ได้คือจะเกิดพลังของสัตว์อสูรสองตัวในหนึ่งเดียว โดยที่สัตว์อสูรเจ้าของร่างนั้นอาจได้รับความทรงจำของสัตว์อสูรอีกตัวเข้าไปด้วย
การหลอมรวมอสูรประเภทนี้มีโอกาสผิดพลาดสูง แต่ถ้าสำเร็จก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเช่นกัน นอกจากนี้สัตว์อสูรของชิงสุ่ยอาจได้รับพลังที่พิเศษด้วย ชิงสุ่ยจะใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อเขาไม่มีทางเลือกเท่านั้น การหลอมรวมอสูรสายพันธุ์เดียวกันนั้นมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า แต่ความสามารถของพวกมันนั้นเหมือนกัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องหลอมรวมพวกมันแต่อย่างใด
ชิงสุ่ยมอง ราชันย์หนูวชิระทมิฬทั้งสองก่อนจะมองไปที่ อสูรเกราะเหล็กมหากาฬอีกสองตัว และใส่พวกมันเข้าไปใน เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่ม เขาตั้งใจจะหลอมรวมพวกมันในครั้งเดียว แม้อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแบบนั้นก็ขอให้การหลอมรวมพลังสำเร็จก็พอ ทว่าหากหลอมรวมได้แค่ อสูรเกราะเหล็กมหากาฬ 2 ตัวก็ถือว่าผลลัพธ์นั้นล้มเหลว
แต่เดิมชิงสุ่ยอยากจะลองหลอมรวมสองครั้ง ดังนั้นเขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า แต่เมื่อเขาคิดดูอีกครั้ง คงจะดีกว่าถ้าหลอมรวมพวกมันทีเดียวพร้อมกัน เพราะพลังที่ต่างกันระหว่างสัตว์อสูรเจ้าของร่างและสัตว์อสูรเจ้าของความสามารถนั้นจะลดลง โดย 1 ใน อสูรเกราะเหล็กมหากาฬจะเป็นเจ้าของร่าง และสัตว์อสูรที่เหลือจะให้พลังแก่มัน เนื่องจากมีอสูรเกราะเหล็กมหากาฬเหลืออีกหนึ่งตัว ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกัน โอกาสสำเร็จก็น่าจะสูงขึ้น
ทันทีที่ชิงสุ่ยหลอมรวมสัตว์อสูร เขาก็เข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ โดยบอกให้คนอื่น ๆ รอเขาที่สวนของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท ก่อนจะไป ชิงสุ่ยสวมแหวนศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของตนใส่ในนิ้วของถานท่าย หลิงเยียน เขาทำให้แหวนจดจำว่าเธอเป็นเจ้าของ โดยลบการรับรู้ทางจิตวิญญาณออกจากแหวนไป
ชิงสุ่ยให้ตำราสำหรับใช้งานแหวนกับเธอ แหวนวงนี้เป็นเหมือนอาวุธเลียนแบบอาวุธสวรรค์ ชิงสุ่ยไม่คิดว่ามันจำเป็นกับเขามากนักเพราะเขามีกฏแห่งพระราชวังเก้าเทวา
ถานท่าย หลิงเยียนรู้สึกตกใจที่เห็นแหวนศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์บนนิ้ว ความจริงเธอไม่ได้ตกใจในพลังของแหวนหรืออะไร แต่สิ่งที่เธอตกใจก็คือทำไมเธอถึงปล่อยให้ชิงสุ่ยสวมแหวนให้ตน..
ทวีปต่าง ๆ นั้นมีเรื่องที่ชายให้แหวนแก่หญิงสาวเช่นกัน แต่นั้นเป็นกรณีที่ชายหนุ่มและหญิงสาวรักกัน แต่แหวนที่เธอได้รับนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด.. ดังนั้นแหวนนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงความรู้สึกโรแมนติกอะไรทำนองนั้น
ทั้งที่ความจริงแล้ว..ชิงสุ่ยไม่ได้ตั้งใจจะสื่ออะไรเลยสักนิด..
….
ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยพยายามควบคุมเตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มจากด้านนอก เขาพยายามผสานพลังของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลและพลังของเทพสงครามเข้าไปในเตา จริง ๆ แล้วกระบวนการหลอมรวมสัตว์อสูรนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันเป็นการรวมของสองสิ่งให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้โอกาสล้มเหลวนั้นสูงมาก แต่หากทำสำเร็จครั้งหนึ่งก็มีโอกาสได้รับสัตว์อสูรกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งมาก
ซ่า..ซ่า..ซ่า โฮกกกกกกก!
ในเวลานั้นเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังออกมาจากหม้อ หม้อใบใหญ่นั้นสั่นช้า ๆ ก่อนหน้านั้นมันพยายามขยายขนาดตัวเพื่อกลืนอสูรเกราะเหล็กมหากาฬ ทั้งสองเข้าไป ส่วนราชันย์หนูวชิระทมิฬ นั้นมีขนาดเล็ก จึงไม่มีปัญหาอะไร
เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มยังคงสั่นเรื่อยๆ ชิงสุ่ยปิดตาและสร้างตราประทับบนมือก่อนจะปล่อยมันไปที่ เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่ม
โฮกกกกกกก ซ่า..ซ่า…
เสียงนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเดียวกัน เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มเองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชิงสุ่ยใช้มือทั้งสองสร้างตราประทับที่ซับซ้อนขึ้น ความเร็วของเขาเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจทำให้ทั้งกระบวนการล้มเหลม..
เหงื่อไหลย้อยออกมาจากหน้าผากของชิงสุ่ย เวลาค่อยๆ ผ่านไปเรื่อย ๆ ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจเรื่องนั้นนัก ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเจ็บจนอยากจะจบกระบวนการนี้เร็ว ๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มค่อย ๆ สั่นช้าลง ช้าลงเรื่อย ๆ..ก่อนจะค่อย ๆ หยุด แต่ทว่า เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มยังคงมีขนาดใหญ่อยู่ แม้มันจะหดตัวแล้วก็ตาม แต่ขนาดของมันก็ใหญ่กว่าปกติสามเท่า ..ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่รู้เลยว่าเขาทำสำเร็จไหม
เขาไม่กล้าประมาท เพราะสิ่งที่อยู่ข้างในอาจเป็นสัตว์อสูรที่ดุร้าย แต่ชิงสุ่ยก็ไม่คิดจะปล่อยมันไปแน่ อย่างไรก็ตามความประมาทเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ทุกอย่างพังลงได้ และถ้าครั้งนี้เขาทำพลาด เขาอาจจะบาดเจ็บปางตายก็ได้
ทันใดนั้น เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มประกายแสงสว่างจ้า ก่อนเสียงทุ้มจะดังขึ้น มันเป็นเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่สั่นโสตประสาททุกคนที่ได้ยิน ไม่นานนักแสงนั้นก็หายไป ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก..
เจ็ดวันผ่านไป โดยชิงสุ่ยไม่ยอมให้อะไรมารบกวนเขาเด็ดขาด และสิ่งที่เขารอคอยนั้น..ก็คุ้มค่า… เพราะชิงสุ่ยทำสำเร็จ!
เขาหลอมรวมสัตว์อสูรสำเร็จ และตอนนี้มันก็กลายเป็นของเขาแล้ว เพราะชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ครอบครอง อสูรเกราะเหล็กมหากาฬ ดังนั้นวิธีนี้แม้จะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่าที่จะลอง..
ชิงสุ่ยเข้าไปใกล้เตาหลอมกลั่นอสูรขั้นแรกเริ่มหัวใจของเขาเต้นระรัวเพราะเขาอยากรู้ว่าสัตว์อสูรข้างในนั้นจะเป็นอย่างไร และในตอนที่เปิดมันออก ชิงสุ่ยก็ตะลึงไปชั่วขณะ..
อสูรนรกรัตติกาล!
สัตว์อสูรตัวนี้คล้ายกับอสูรเกราะเหล็กมหากาฬประมาณ 80% มันมีขนาดใหญ่และหนัก กรงเล็บและกะโหลกของมันคล้าย ราชันย์หนูวชิระทมิฬอยู่บ้าง แต่ต่างกันก็ตรงที่อสูรนรกรัตติกาลดูทรงพลังกว่า มันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแรงพอ ๆ กับ อสูรสยบมังกร
เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขมากจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก..