บทที่ 1623 – เรื่องของถานท่ายหลิงเยียน ภูเขาอสูรรัตติกาล
ความคิดเหล่านี้ทําให้ถานท่ายหลิงเยียนยิ่งหน้าแดงขึ้น เมื่อเธอเดินออกมาหลังจากแต่งตัว ท้องฟ้านั้นมืดสนิท เธอนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ทานอะไรเช่นเดียวกับชิงสุ่ย เธอเปิดประตูห้องและเดินออกมา
ในเวลาเดียวกันชิงสุ่ยก็อาบน้ําเสร็จแล้ว ความเร่าร้อนในตัวเขามลายหายไป เมื่อชิงสุ่ยได้ยินเสียงเคาะประตู เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เขาระบุตัวผู้ที่มาเยือนได้และเกิดความประหลาดใจ
เมื่อเปิดประตู เขาเห็นถานท่ายหลิงเยียนยืนอยู่ข้างนอกด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อ ชิงสุ่ยรู้โดยธรรมชาติว่าสีหน้าของเธอแตกต่างไปจากเมื่อก่อน เขายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นเธอ ”เข้ามานั่งสิ!”
ถานท่ายหลิงเยียนเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร กลิ่นหอมจางๆล่องลอยคลุ้งไปในอากาศ มันทําให้ชิงสุ่ยเคลิบเคลิ้ม
“เจ้าทําให้ข้าประหลาดใจ” เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและหัวเราะเบาๆ
ชิงสุ่ยทําเช่นนั้นโดยตั้งใจ เนื่องจากถานท่ายหลิงเยียนมาที่นี่ ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้จะพูดอะไร แต่เขาก็จําเป็นต้องทํา มันทําเพื่อให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกัน
“ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวเบาๆ
เขายิ้มและถาม”เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะทํามันให้เจ้า”
บางครั้งชิงสุ่ยเป็นพวกที่ยึดมั่นในอุดมการณ์มากเช่นกัน แต่เขาจะมีความแตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย เขาจะเผชิญกับมันด้วยตัวเองและไม่ยอมให้ผู้หญิงของเขาต้องลงมือ แม้กระทั่งเป็นเรื่องการทําอาหารก็ตาม
เขาไม่คิดว่าการทําอาหารเป็นเรื่องน่าอายสําหรับผู้ชาย ผู้ชายส่วนใหญ่ในโลก 9 มหาทวีปมักไม่ทําอาหาร แม้ว่าพวกเขาจะทํามันได้ดีหรือไม่
ผู้ชายที่ประสบความสําเร็จในการทําอาหารนั้นค่อนข้างต่ํา เพราะพวกเขาจะมีผู้อื่นคอยทําให้เสมอ การทําอาหารเป็นหน้าที่ของผู้หญิง การซักผ้าก็เป็นงานที่ผู้หญิงต้องทําเช่นกันตั้งแต่สมัยโบราณ
ชิงสุ่ยเป็นแบบนี้อยู่แล้วในช่วงชีวิตก่อนหน้า ตอนนั้นผู้หญิงที่เข้มแข็งหลายคนสนับสนุนความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง คู่สามีภรรยา และอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ แต่ความแตกต่างในช่วงชีวิตนั้นมีมากกว่า ผู้ชายหลายคนมักทําอาหารทานเอง
ถานท่ายหลิงเยียนมองดูชิงสุ่ยขณะที่เขาเข้าไปในห้องครัวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เธอเป็นผู้หญิง แต่เธอไม่รู้วิธีทําอาหาร เธอเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังซึ่งสามารถดําเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่กินอะไรเป็นเวลานาน
ชิงสุ่ยรู้สึกยินดีที่ถานท่ายหลิงเยียนมาหาและบอกว่าเธอยังไม่ได้กินอาหาร มันเป็นข้อแก้ตัวที่เห็นได้ชัดเจน ด้วยระดับการฝึกฝนที่มี พวกเขาสามารถอยู่ได้โดยไม่กินอาหารเป็นเวลาถึงครึ่งเดือน จากที่กล่าวมาการกินอาหารมีข้อดีในการเสริมสร้างพลังของส่วนต่างๆภายในร่างกาย ดังนั้นหากพวกเขาจึงยังคงต้องกินอะไรอย่างน้อย 3 มื้อต่อวัน
ยิ่งไปกว่านั้นเป็นความจริงที่ว่าการกินทําให้เกิดความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง ความต้องการอาหารและเพศเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่มนุษย์ พวกเขามีอาหารอันโอชะทั้งบนบกและในทะเล สําหรับมื้ออาหารใดๆ
มีหลายคนที่เป็นเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่ธุรกิจด้านอาหารในโลกนี้ยังคงพัฒนา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม อาหารก็ถือเป็นสิ่งที่ต้องการสูง
ชิงสุ่ยนวัตถุดิบมากมายจากในดินแดนหยกยุพราชอมตะออกมาและเริ่มทําอาหาร เขามีทักษะที่ยอดเยี่ยมและมีความสุขที่ได้ทํามัน ทุกคนสามารถทําได้ดีในสิ่งที่พวกเขาสนใจ การทําอาหารก็ไม่ใช่เรื่องยกเว้น นอกจากนี้ชิงสุ่ยถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทําอาหารอยู่แล้ว ทักษะการทําอาหารและทักษะการแพทย์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร และอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่พบใครที่เทียบเคียงได้
ในดินแดนหยกยุพราชอมตะมีเครื่องเทศสะสมไว้อย่างมหาศาล พวกมันมีอยู่มากกว่า 1 โหลตามแต่ละอย่าง
ชิงสุ่ยรู้ว่าถานท่ายหลิงเยียนไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินอาหาร แต่เขาก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้ อย่างน้อยเขาก็บอกได้ว่าเธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินอาหารค่ํา แต่เขาก็ยังคงต้องทําอาหารออกมาให้ดี
ไม่นานนักกลิ่นหอมยั่วยวนก็เริ่มแผ่กระจาย เธอมองดูจานอาหารที่ประณีตและน่าพอใจ กลิ่นของมันนั้นหอมหวล เธอแทบไม่เชื่อว่าอาหารมื้อนี้จะออกมาดีอย่างนี้
ชิงสุ่ยเห็นถานท่ายหลิงเยียนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องครัวและหัวเราะ “เจ้าอยากลองทําอาหารหรือไม่?”
“ข้าไม่รู้วิธีทํา ดังนั้นอย่าเลยดีกว่า” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวอย่างเร็ว แต่ชิงสุ่ยบอกได้เลยว่าเธอต้องการที่จะลองหรือแม้แต่เรียนรู้
“มาเถอะ ลองดู อันที่จริงส่วนผสมมีความสําคัญมากที่จะช่วยให้อาหารของเจ้าหอมน่ากิน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถานท่ายหลิงเยียนพยักหน้าและยิ้ม หลังจากคิด ชิงสุ่ยเริ่มสอนเธอเรื่องลําดับ ของส่วนผสมและอาหารพื้นฐาน
ด้วยส่วนผสมของชิงสุ่ยและคําแนะนําของเขา การปรุงอาหารของเธอจึงคล้ายกับเขาทําเอง สิ่งที่ยากที่สุดเกี่ยวกับการทําอาหารคือการควบเปลวไฟ ชิงสุ่ยได้คอยควบคุมมันให้เธอแล้ว
ถานท่ายหลิงเยียนไม่อยากจะเชื่อเมื่อเธอได้กลิ่นอันหอมหวล เธอเคยลองทําอาหารมาก่อน แต่เธอก็ทําออกมาได้ไม่ดีเลย ดังนั้นเธอจึงไม่เคยทํามันอีกเลย เธอเชื่อว่ามันต้องมีบางอย่างที่ผิดพ ลาดเกี่ยวกับส่วนผสมด้วย ท้ายที่สุดแล้วบางครั้งมันก็อาจไม่สามารถบรรลุความตั้งใจของตัวเองได้ หากขาดวัตถุที่จําเป็น ถึงกระนั้นเธอก็รู้ว่าเหตุผลหลักที่ทําสําเร็จในครั้งนี้เป็นเพราะชิงสุ่ย ที่คอยบอกว่าต้องทําอะไร
หลังจากนําอาหารมาตั้งโต๊ะ ชิงสุ่ยน้ําเหล้าดอกบ๊วยผลิบานออกมาพร้อมกับจอกเหล้า
ถานท่ายหลิงเยียนมองดูพวกมัน เหล้าดอกบัวยผลิบานนั้นใสเหมือนน้ําในฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นของมันไม่ได้ถูกกลบโดยอาหารบนโต๊ะ เธอยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นของตัวเหล้าดอกบ๊วยผลิบาน ชิงสุ่ยเคยมอบมันเป็นของขวัญให้กับเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ดื่มมันบ่อยนัก
“ดื่ม! พวกเราดื่มฉลองเรื่องอะไรกันดี?” ชิงสุ่ยยิ้มและยกจอกเหล้าขึ้น
“เจ้าเลือกเลย” ถานท่ายหลิงเยียนยิ้มและมองดูชิงสุ่ยอย่างผ่อนคลาย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอดูเหมือนจะมีมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว
“เช่นนั้นก็มาดื่มฉลองให้กับการพบปะกันในครั้งนี้” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
ใบหน้าของถานท่ายหลิงเยียนนั้นแดงระเรื่อ โชคชะตาเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ถ้าไม่ใช่เพราะชิงสุ่ย เธออาจจะยังคงหลับไหลอยู่ หากพวกเขามีโชคชะตาต้องกันไม่มากพอ เขาคงยังจมปลักอยู่ที่มหาทวีปเมฆามรกตไปอีกหลายร้อยปีจนกระทั่งแก่ชรา ปานนั้นชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร?
ถานท่ายหลิงเยียนนึกถึงความเป็นไปได้มากมายและหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ชิงสุ่ยยื่นมือออกมาและส่ายไปมาต่อหน้าเธอ ”เจ้ากําลังคิดเรื่องอะไร? เจ้ากําลังวางแผนจัดการข้าอยู่หรือเปล่า?”
หลังจากใคร่ครวญ ถานท่ายหลิงเยียนคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่เป็นอยู่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสําหรับพวกเขา เธอขยับจอกเหล้าของตัวเองไปชนกับเขา “ดื่ม!”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มดื่มต่ําไปกับมื้ออาหาร ชิงสุ่ยกินอาหารที่ถานท่ายหลิงเยียน ทําและกล่าวว่ารสชาติของอาหารขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนทํา สําหรับคนที่ชอบ แม้ว่าอาหารนั้นจะจืดชืด มันก็ยังรู้สึกว่าอาหารอร่อย ในทํานองเดียวกันกับคนที่ไม่ชอบ ต่อให้เป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด มันก็จะไร้รสและกินไม่ลง
ถานท่ายหลิงเยียนลังเลก่อนที่จะหยิบตะเกียบของเธอเพื่อกินอาหารที่ตัวเองปรุง เมื่อเธอยืนยันแล้วว่ามันอร่อยเหมือนกับจานอื่นๆ ท่าทางของเธอก็ผ่อนคลายลง เธอกลัวว่าอาหารของตัวเองจะไม่อร่อย
“เจ้าอย่ามาแย่งอาหารของข้าสิ พวกเราไม่รู้ว่าครั้งต่อไปเจ้าจะปรุงอาหารให้ข้าเช่นนี้อีกหรือไม่” ชิงสุ่ยเปลี่ยนตําแหน่งของจานอาหาร
ถานท่ายหลิงเยียนยิ้ม แต่เธอไม่พูดอะไร เธอสามารถคาดเดาคําตอบของชิงสุ่ยได้หากเธอตอบกลับ
“ดังนั้นเหยียนเหยียน พรุ่งนี้ข้าจะไปกินอาหารเช้าที่ห้องเจ้า ตกลงหรือไม่?” ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ
ถานท่ายหลิงเยียนรู้สึกไม่สบอารมณ์กับชื่อเล่นใหม่ที่ชิงสุ่ยเรียกเธอและไม่รู้จะพูดอย่างไร
ในไม่ช้ามันก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทาง ฮัวรูเหม่ยนั้นมีความเข้าใจในรูปแบบที่ยอดเยี่ยม ชิงสุ่ยได้มอบรูปแบบที่คิดค้นให้กับเธอ ณ ตอนนี้ รูปแบบภายในพระราชวังจอมอสูรมาจากฝีมือของเธอ
ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนขึ้นไปบนหลังของวิหคเพลิงนรกานต์ พวกเขาบินไปทาง ที่เธอบอก มันน่าจะอยู่ใกล้กับมหาทวีปอุดรเทวา ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนของทวีปทั้งสามเช่นกัน เขารู้ว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขาอสูรรัตติกาล
กล่าวกันว่าภูเขาอสูรรัตติกาลคงอยู่มานานแล้ว แม้มันจะอยู่ที่เส้นแบ่งเขตแดนเขตแดนของท วีปทั้งสาม แต่ที่นั่นก็ไม่มีอะไร มันเป็นที่ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่น้อยนิดและมีนิกายที่ซ่อนเร้น ในบรร ดาคนเหล่านี้มีทั้งคนที่ดีและไม่ดี
ถานท่ายหลิงเขียนบอกว่ามีผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรกําลังเรียกหาเธอ เป็นไปได้มากว่า เหล่าอสูรรัตติกาลจะปรากฏตัวขึ้นที่นั่น ไม่มีคําอธิบายใดดีกว่านี้
เหล่าอสูรรัตติกาลเป็นเหมือนผู้ที่ได้รับมรดกแห่งจอมอสูรคนอื่นๆ แต่ความแปลกของพวกเขา คือพลังอํานาจที่มีจะลดลง 20% ในตอนกลางวัน จากนั้นพลังจะเพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเป็ นตอนกลางคืน ทุกสิ่งมีข้อดีและข้อเสีย ตอนนี้เป็นช่วงกลางวัน ชิงสุ่ยคิดว่าทุกอย่างคงดําเนินไป ได้ด้วยดี อีกฝ่ายจะออกมาพบพวกเขาในเวลากลางคืน
เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลนี้ ชิงสุ่ยไม่รีบเร่งในการใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวา เขาเพียงแค่เดินทาง ไปด้วยวิหคเพลิงนรกานต์ ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถสนทนากับถานท่ายหลิงเยียนได้ ส่วนใหญ่ชิงสุ่ย จะเป็นคนพูดและเธอจะคอยรับฟัง
ชิงสุ่ยคิดบางอย่างด้วยตัวเอง ถานท่ายหลิงเยียนเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร ดังนั้นในส ถานการณ์ปกติจะต้องมีผู้สืบทอดคนอื่นที่กําลังตามหาเธออยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่ต้อง การให้เธอติดต่อกับผู้สืบทอดคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงต้องจัดการกับปัญหาในครั้ง ถ้าเป็นไปได้ เขาอา จต้องสังหารผู้อื่น
ภูเขารัตติกาลนั้นมีสภาพอากาศที่หนาวเย็น มันราวกับว่าแสงอาทิตย์ไม่สามารถสาดส่อง เข้าไปได้ มีเมฆหนาแน่นและแสงแดดแค่บางส่วน
“หลิงเยียน เจ้าสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้หรือไม่?” นี่คือชื่อทางการที่สุดที่ชิงสุ่ยใช้เรียกเธอ
“ข้ารู้สึกได้ว่าอยู่ในภูเขานี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาหรือเธอไม่ต้องการพบพวกเราตอนนี้ ข้า คิดว่าพวกเราทําได้เพียงแค่รอ” ถานท่ายหลิงเยียนมองดูท้องฟ้าที่ค่อนข้างมืด
ที่นี่ไม่มีแสงแดดและมันเต็มไปด้วยเมฆทึบ แต่ดวงจันทร์บนท้องฟ้านั้นใหญ่โตและกลม แม้ ว่ามันจะถูกบดบังด้วยเมฆเป็นครั้งคราว
ทั้งสองยืนอยู่บนภูเขาและรออย่างเงียบๆ เนื่องจากอีกฝ่ายเรียกหาถานท่ายหลิงเยียน พวก เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาไปตามหา
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียน เมื่อมองออกไปไกล ร่างเงาที่เห มือนนกปรากฏขึ้นจากที่ห่างไกล