AST
บทที่1843 – กระบี่ร่ายรำ
ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า กระบี่จะตอบสนองต่อหัวใจของผู้ใช้กระบี่ เมื่อผู้ฝึกฝนอุทิศการอุทิศใจให้กับตัวกระบี่ กระบี่ก็จะตอบสนองคืนแก่ตัวผู้ใช้ ฉะนั้นก่อนการฝึกกระบี่ ผู้ฝึกจะต้องฝึกฝนจิตใจของตัวเองให้มั่นคงเสียก่อน เมื่อจิตใจแน่วแน่และตั้งมั่น กระบี่ก็จะนำพาผู้ฝึกไปทั่วทุกทิศทางแล้วแต่ใจผู้ฝึกจะพาไป
แม้ว่าหลักการฝึกฝนจะดูง่ายแต่ก็มีน้อยคนนักที่จะเข้าถึงจิตใจของกระบี่เพราะแม้แต่ยอดฮิตระดับเฉินเจินก็ยังไม่สามารถดึงความสมบูรณ์แบบออกมาได้เลย
การฝึกฝนจะนำไปสู่ความเป็นเลิศ ทุกคนเข้าใจในคำพูดนี้ดีใครก็ตามที่ฝึกฝนสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำบ่อยๆ เวลาจะเป็นตัวนำพาผู้นำเข้าสู่ความเข้าใจและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
เมื่ออุทิศหัวใจให้กับการฝึกฝนร่างกายก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งกระบี่ ทุกท่วงท่าจะประสานเข้ากับร่างกายผู้ฝึกฝน จึงกลายเป็นหนึ่งดินแดนที่ทุกคนฝันหา ดินแดนเป็นหนึ่งผสานกระบี่
ชิงสุ่ยผสานทักษะและเส้นลมปราณทุกเส้นให้ไปในท่วงท่าเดียวกันแน่นอนว่าปัญหาคือจำนวนเส้นลมปราณที่มีมากมาย จึงมีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่บนโลกใบนี้คงไม่มีใครรู้ดีเรื่องเส้นลมปราณเป็นมากกว่าชิงสุ่ย
ข้ามีวิธีแต่ไม่แน่ใจว่าเจ้าจะรังเกียจหรือไม่ ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง
วิธีใดกัน?
ข้ารู้สึกว่าเส้นลมปราณของเจ้าตอนนี้มันได้เชื่อมต่อกันทั้งหมดแล้วอย่างนั้นมันคงง่ายสำหรับเจ้าที่จะเรียนรู้มัน แต่มันคงต้องให้ข้าแสดงผ่านตัวเจ้า ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่เฉินเจินขณะกล่าว
เฉินเจินตกตะลึงเล็กน้อยเธอรู้ว่าชิงสุ่ยกำลังหมายถึงอะไร มันก็คือการจับมือและสอนกระบวนท่าร่ายรำเพื่อชี้นำเส้นทางการฝึกฝน
เอาล่ะถึงแม้ว่าข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าข้าพยายามใช้ประโยชน์จากเจ้า ฉะนั้นข้าจะสอนเจ้าเพียงแค่ครั้งเดียว หากเจ้าทำได้ก็ถือว่าสิ้นสุด แต่ถ้าเจ้ายังทำไม่ได้ ข้าก็จะทำมันซ้ำๆจนกว่าเจ้าจะเข้าใจ ชิงสุ่ยกล่าวเมื่อเห็นท่าทีไม่ค่อยเต็มใจของเฉินเจิน
ข้าไม่ได้จะหมายความเช่นนั้นเอ่อ เจ้า………..ช่วยสอนข้าได้หรือไม่…..? เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น
ในตอนแรกชิงสุ่ยกล่าวออกไปก็แค่ต้องการจะหยอกล้อแต่เมื่อเธอตั้งใจเขาจึงลบเจตนาทั้งหมดทิ้ง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านหลังแล้วจับมือขวาของเธอซึ่งกำลังถือดาบพร้อมจะสอนอย่างตั้งใจ หลับตาลง ประสานจิตใจเข้ากับตัวกระบี่ ไม่ต้องคิดอะไร สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำคือการจดจ่อ
เมื่อชิงสุ่ยเข้าไปยืนด้านหลังของเธอเขาได้กลิ่นหอมจากร่างกายของเธอทันที มันเหมือนกลิ่นหอมจากน้ำหอม แต่เป็นกลิ่นหอมจากผิวหน้าของเธอ
ส่วนทางด้านของเฉินเจินเธอได้ยินเสียงหายใจของชิงสุ่ยอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงหัวใจของชิงสุ่ย มันยิ่งทำให้หัวใจของเธอพลอยเต้นเร็วไปด้วย
ขณะที่ชิงสุ่ยจับมือของเธอเขาพยายามที่จะไม่รู้สึกอะไรแต่ผิวหนังอันแสนนุ่มนวลก็ยังทำให้เขาเกิดอารมณ์ ผิวหนังที่นุ่มนวลเหมือนหยกเนียนค่อยๆกระตุ้นจิตใจของชิงสุ่ยอย่างต่อเนื่อง
เขาพยายามระงับความคิดทั้งหมดแต่คงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ชายเมื่ออยู่ใกล้กับหญิงสาวสมบูรณ์แบบจะสามารถปิดกั้นความรู้สึกและอารมณ์ได้
แม้ว่าทั้งสองคนจะดูเหมือนร่ายรำเพลงกระบี่ไปพร้อมๆกันแต่ความจริงแล้วเป็นเเฉินเจินต่างหากที่กำลังถูกชี้นำโดยชิงสุ่ย ทั้งสองประสานท่าร่ายรำไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบ ร่างกายของเฉินเจินกำลังแนบชิดติดกับตัวชิงสุ่ย การเคลื่อนไหวของทั้งสองเป็นไปอย่างเชื่องช้า เพื่อให้เฉินเจินสามารถจดจ่อและรับรู้ถึงการไหลเวียนของลมปราณและพลังปราณจิตได้อย่างชัดเจน
ร่างกายทั้งสองแนบอิงกันอย่างสมบูรณ์แต่เนื่องด้วยสรีระทางธรรมชาติ ทุกครั้งที่ทั้งสองเคลื่อนไหว รอบเอวและก้นของเธอก็จะเสียดสีกับร่างกายของชิงสุ่ย
การกระตุ้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้สัมผัสกับหญิงสาวมาเลยหลายวัน เขาจึงไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และในไม่ช้าพลังปราณหยางก็ถูกเติมเป็น บริเวณส่วนล่างของเขาจึงเริ่มชูชันแข็งตัวอย่างชัดเจน
ชิงสุ่ยพยายามระงับร่างกายอย่างเงียบๆและเริ่มถอยห่างเล็กน้อย
เฉินเจินร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจหรืออะไร แม้เธอจะดูเหมือนไม่สบายใจก็ตาม ชิงสุ่ยจึงปล่อยเธอ ก่อนจะเริ่มให้คำแนะนำแทน
ชิงสุ่ยรู้สึกอึดอัดอย่างมากแม้เขาจะตีตัวออกห่างเธอแล้วไปบริเวณส่วนล่างของร่างกายยังคงตั้งตรงและไม่มีท่าทีจะอ่อนตัวลง
เฉินเจินสีหน้าแดงก่ำด้วยความเขินเธอไม่ได้โกรธชิงสุ่ย และเธอก็ยังคงมองเขา ก่อนจะหันหน้ากลับ
ชิงสุ่ยลูบมือของตัวเอง ข้านี่มัน… ขนาดร่างกายของตัวเองก็ยังควบคุมไม่ได้
สงสัยว่าข้าคงต้องตัดของเจ้าทิ้งเสียแล้ว เฉินเจินหันหลังกลับมากล่าวพร้อมกับเหวี่ยงกระบี่ในมือ
ชิงสุ่ยถึงกับถอยหลังหญิงสาวคนนี้ช่างเหี้ยมโหดยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ดีว่าเธอเพียงแค่พูดเพื่อปัดป้องความเขินอาย ที่เกิดจากการกระทำก่อนหน้าของเขา
มันอาจเป็นเพราะว่าเธอคงรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเอาเปรียบเธอจึงไม่ได้โทษร่างกายของเขา แต่เนื่องจากนี้คงเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอจึงรู้สึกสับสนเป็นธรรมดา ชิงสุ่ยยังคงสอนช่วงท่าร่ายรำต่อแต่อาศัยวิธีการแสดงท่วงท่าให้ดู จากนั้นก็คอยแนะนำจากด้านข้าง
ชิงสุ่ยปล่อยให้เฉินเจินฝึกฝนท่วงท่ากระบี่ที่เขาสอนในขณะที่ตัวของเขาก็หันกลับไปฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กช่วงเช้าเหมือนที่เคยทำ ปัจจุบันเพลงหมัดไทเก๊กคงมีเพียงแค่ชื่อ ท่วงท่าส่วนใหญ่ได้ถูกดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม จนเหลือเพียงแค่ส่วนน้อย
ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งเฉินเจินที่มุ่งมั่นฝึกฝนก็หยุดการฝึกฝนลง เพราะเธอรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปทั่วร่างกายของเธอ ในขณะที่เธอยืนอยู่เธอรู้สึกราวกับว่าตัวของเธอนั้นได้แปรผันกลายเป็นกระบี่เหมันต์หยกศักดิ์สิทธิ์ มันเหมือนกับว่าตัวของเธอได้กลายเป็นจุดประสานระหว่างพลังแห่งสวรรค์และโลก
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงแต่ก็ไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะเขาปล่อยให้เธอฟื้นสติกลับมาด้วยตัวเอง แม้มันจะไม่ใช่การเข้าถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ให้ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่กว้างใหญ่ในระดับคล้ายคลึงกัน