AST
บทที่1854 – นิกายสวรรค์ดาราอมตะ บีบบังคับให้ต้องแต่งงาน
”ยะฮู้ข้ากลับมาแล้ว”ชิงสุ่ยทักทายเฉินเจินอย่างเป็นกันเอง
คำพูดของเขาให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังกลับบ้านจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มีสิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือความรู้สึกที่เธอกระทำต่อเขาในฐานะเพื่อน และที่เขากระทำต่อเธอในฐานะเพื่อน ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนั้นก็จะเต็มไปด้วยความอบอุ่น และความอบอุ่นก็ทำให้เขากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
”เจ้าเหมือนจะร่าเริงเป็นพิเศษให้ข้าเดา สิ่งต่างๆคงเป็นไปตามที่เจ้าคิดอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”เฉินเจินกล่าวเชิงยินดี และค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ชิงสุ่ย
แม้เธอจะพูดเช่นนี้แต่คำพูดของเธอก็ไม่ได้มีความหมายมากนักแต่ตัวของชิงสุ่ยถึงกับหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วจักรพรรดินีผีดูดเลือดจะกลายเป็นผู้หญิงของเขา เขาจึงยิ้มแบบคล้ายๆกับการฝืนธรรมชาติและกล่าวว่า “อืม ตอนนี้นางกลายเป็นภรรยาของข้าแล้ว”
ที่ชิงสุ่ยพยายามจะบอกว่าจักรพรรดินีผีดูดเลือดเป็นภรรยาของเขาก็เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีผีดูดเลือดหรือฝ่ายของเฉินเจินมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันในรูปแบบเพื่อนโดยที่มีเขาเป็นตัวกลางเพราะสุดท้ายแล้วภูเขาศักดิ์สิทธิ์และผาราชินีปีศาจดูดเลือดก็ไม่ได้อยู่ห่างกันเลย ถ้าหากมีกองกำลังจากโลกภายนอกเข้ามาบุกรุก หรือเข้ามารุกราน การที่ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกัน ย่อมเป็นผลดีกว่าการต่อสู้แบบตัวใครตัวมัน
”อืมแต่ว่าถ้าไม่สนใจเรื่องของเจ้าหรอกนะ”เฉินเจินกล่าวพร้อมกับเดินหันหลังกลับลงสู่โถงพระราชวังที่อยู่ไม่ห่างไกลจากที่นี่
ชิงสุ่ยลูบจมูกก่อนจะหัวเราะคึกคักพร้อมกับเดินตามเฉินเจินไปที่โถงพระราชวัง
ภายในช่วงเวลาสั้นๆทั้งสองคนก็เดินเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่ชิงสุ่ยเป็นคนแรกที่รับรู้ถึงกลิ่นอายที่แสนเข้มข้นซึ่งกำลังเดินทางใกล้เข้ามา จากนั้นเฉินเจินก็รับรู้ได้ถึงมันก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป สีหน้าของเธอเป็นสีหน้าที่แปลกประหลาดซึ่งชิงสุ่ยพอจะรับรู้ได้จากปฏิกิริยาทั้งหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
”ครอบครัวของข้ามาที่นี่แล้ว”เฉินเจินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ชิงสุ่ยก็เคยได้ยินจากปากของเธอในเรื่องที่เธอหนีการแต่งงานมาเขาจึงกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมเจ้าถึงดูมีสีหน้าผิดปกติเกินไป”
”พวกเขาจะมาที่นี่เดือนละครั้งแต่ข้าก็ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับไปพร้อมพวกเขา ข้าคิดว่าการที่พวกเขามาก่อนกำหนดในวันนี้ก็เพื่อจะพาข้ากลับบ้าน”เฉินเจินเผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่าโศกเศร้า ”คนที่มาในวันนี้น่าจะเป็นคนที่ครอบครัวของข้าได้จับคู่แต่งงานให้กับข้าเมื่อก่อนพ่อแม่ของข้าเป็นหนี้บุญคุณต่อตระกูลของเขา ดังนั้นการหมั้นหมายจึงถูกจัดขึ้นตั้งแต่ข้ากำเนิด”เฉินเจินกล่าวอย่างขมขื่น
”แล้วครอบครัวของเจ้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับเขา”ชิงสุ่ยกล่าวถามแม้จะรู้ว่าหากเป็นครอบครัวที่หลักโบราณ บอกให้ปฏิเสธยังไงมันก็ไม่เป็นผล
”พวกเขารู้แต่คำพูดก็เหมือนศักดิ์ศรี เมื่อพูดออกไปแล้วก็ยากที่จะคืนคำ ที่สำคัญกว่านั้นคือครอบครัวของข้าเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาอย่างมากมาย”
”ถ้าเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแสดงว่าเจ้าเองก็คงคิดหาหนทางแต่สุดท้ายก็คงต้องกลับไปแต่งงานกับเขาดีๆใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวถาม
”เจ้ายิ้มทำไม?เจ้าคงสนุกที่ข้าต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายสินะ?”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก ”เจ้าเลือกที่จะไม่ต่อต้านพวกเขาหรือบางทีเจ้าคงคิดว่าเจ้ามีความสามารถไม่พอใช่หรือไม่”
”ข้าจะไม่ทำอะไรกับพวกเขาทั้งสิ้นความจริงแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา เพราะเขามาจากนิกายสวรรค์ดาราอมตะ”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แทรกไปด้วยความอารมณ์เสียเล็กน้อย
นิกายอมตะอีกแล้วชื่อของนิกายอมตะเอ่ยออกมาอีกคร้้ง
คลื่นพลังอันแข็งแกร่งใกล้เข้ามาเรื่อยเฉินเจินค่อยๆเดินออกมาข้างนอกโดยที่มีชิงสุ่ยเดินตามออกมา
บริเวณเส้นขอบฟ้าปรากฏให้เห็นเป็นสัตว์อสูรลอยฟ้าจำนวนมากมายทั่วท้องฟ้าอสูรเหล่านี้เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว พวกมันมีส่วนหัวที่เหมือนกับอสูรแมมมอธ แต่เมื่อเทียบขนาดแล้วพวกมันมีขนาดเล็กกว่าแต่ความน่ากลัวเทียบชั้นกันไม่ได้ ร่างกายของพวกมันมีลักษณะคล้ายกับอินทรีสยายปีกหิมะขาวคู่ใหญ่ บ่งบอกถึงความน่าเกรงขาม
มันคืออสูรคชสารอินทรีย์เงินปีกขาว!!
นี่คือสัตว์อสูรร่างวิวัฒนาการบนหลังของพวกมันมีคนอยู่ประมาณ 30 คน ประกอบไปด้วยทั้งชายและหญิงรวมถึงเด็ก ในช่วงปิดตาทุกคนก็มาอยู่ในหัวของชิงสุ่ยและเฉินเจิน
”น้องสาวเจิน!!”
ทันทีที่สัตว์อสูรกลายพันธุ์หยุดการเคลื่อนที่เสียงอันแสนสง่างามก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของชายหนุ่มหน้าตาดีที่กระโดดลงมาจากหลังของมัน เขากระโดดลงมายืนตรงหน้าชิงสุ่ยและเฉินเจินแบบไม่ทันตั้งตัว
ชิงสุ่ยอึ้งเล็กน้อยเขาจ้องมองชายผู้นี้และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จากคำบอกเล่าทั้งหมดของเฉินเจิน มีโอกาสสูงมากพี่ชายพรุ่งนี้จะเป็นคนที่เฉินเจินหมั้นหมายเอาไว้
”พี่ชายเหลียนทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”เฉินเจินยิ้มขณะกล่าวถาม เธอตั้งใจถามออกไปแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว 1 เดือนที่ผ่านมาทางฝั่งของคุณชายเหลียนได้ส่งคนมาสอบถามเธอเป็นจำนวนหลายครั้งมากโดยแต่ละครั้งมาเพื่อเร่งการแต่งงาน ฉะนั้นในครั้งนี้เหลียนเฉินเปาคงจะตัดสินใจเดินทางมาสอบถามด้วยตัวเอง
”เจ้าลืมสัญญางานแต่งของพวกเราไปแล้วหรือ?หากวันแต่งงานไม่มีเจ้า ถ้าผมต้องเจอกับปัญหาอีกมากมาย”เหลียนเฉินเปากล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม คำพูดหน้าตาของเขาทำให้คนรอบข้างรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างชัดเจน
”พี่ชายเหลียนพวกเราไม่ได้คิดกันแบบนั้นเลย และข้าก็ปฏิบัติต่อท่านเปรียบดังพี่ชายของข้ามาโดยเสมอ”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เหลียนเฉินเปาหลับตาลงชั่วครู่เหมือนว่าเขากำลังเผชิญกับความลังเลแต่แล้วเขาก็ลืมตา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภและดื้อรั้น มันคือความโลภที่มนุษย์ครอบครอง
”ข้าชอบเจ้าและรอคอยงานแต่งงานของเรามานานมากแล้ว ข้าเชื่อว่าวันเวลาจะทำให้เราพัฒนาความรู้สึกของกันและกัน โปรดเชื่อในตัวข้าเถิด ไม่มีใครบนโลกนี้รักเจ้าไปมากกว่าข้า และไม่มีใครจะดูแลเจ้าดีกว่าข้า”เหลียนเฉินเปากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
”เจินเอ๋อลุงของเจ้าได้ย้ำเตือนเรื่องราวเหล่านี้หลายครั้ง และผู้คนจำนวนมากต่างก็ตระหนักถึงเรื่องงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับเหลียนเฉินเปา”ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความสุภาพ
ชิงสุ่ยมองดูชายผู้นี้พร้อมกับพิจารณาใบหน้าหลายๆอย่างของเขาคล้ายคลึงกับใบหน้าเฉินเจินอย่างมาก ชิงสุ่ยจึงคาดเดาเบื้องต้นว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นพ่อของเฉินเจินอย่างแน่นอน
”ท่านพ่อท่านต้องการบังคับให้ข้าแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ชอบจริงๆหรือ ท่านพ่อ?”เฉินเจินเงยหน้ามองชายที่แสนสุภาพผู้นั้น
��
บทที่1854 – นิกายสวรรค์ดาราอมตะ บีบบังคับให้ต้องแต่งงาน
”ยะฮู้ข้ากลับมาแล้ว”ชิงสุ่ยทักทายเฉินเจินอย่างเป็นกันเอง
คำพูดของเขาให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังกลับบ้านจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ มีสิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือความรู้สึกที่เธอกระทำต่อเขาในฐานะเพื่อน และที่เขากระทำต่อเธอในฐานะเพื่อน ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนั้นก็จะเต็มไปด้วยความอบอุ่น และความอบอุ่นก็ทำให้เขากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
”เจ้าเหมือนจะร่าเริงเป็นพิเศษให้ข้าเดา สิ่งต่างๆคงเป็นไปตามที่เจ้าคิดอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”เฉินเจินกล่าวเชิงยินดี และค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ชิงสุ่ย
แม้เธอจะพูดเช่นนี้แต่คำพูดของเธอก็ไม่ได้มีความหมายมากนักแต่ตัวของชิงสุ่ยถึงกับหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วจักรพรรดินีผีดูดเลือดจะกลายเป็นผู้หญิงของเขา เขาจึงยิ้มแบบคล้ายๆกับการฝืนธรรมชาติและกล่าวว่า “อืม ตอนนี้นางกลายเป็นภรรยาของข้าแล้ว”
ที่ชิงสุ่ยพยายามจะบอกว่าจักรพรรดินีผีดูดเลือดเป็นภรรยาของเขาก็เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีผีดูดเลือดหรือฝ่ายของเฉินเจินมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันในรูปแบบเพื่อนโดยที่มีเขาเป็นตัวกลางเพราะสุดท้ายแล้วภูเขาศักดิ์สิทธิ์และผาราชินีปีศาจดูดเลือดก็ไม่ได้อยู่ห่างกันเลย ถ้าหากมีกองกำลังจากโลกภายนอกเข้ามาบุกรุก หรือเข้ามารุกราน การที่ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกัน ย่อมเป็นผลดีกว่าการต่อสู้แบบตัวใครตัวมัน
”อืมแต่ว่าถ้าไม่สนใจเรื่องของเจ้าหรอกนะ”เฉินเจินกล่าวพร้อมกับเดินหันหลังกลับลงสู่โถงพระราชวังที่อยู่ไม่ห่างไกลจากที่นี่
ชิงสุ่ยลูบจมูกก่อนจะหัวเราะคึกคักพร้อมกับเดินตามเฉินเจินไปที่โถงพระราชวัง
ภายในช่วงเวลาสั้นๆทั้งสองคนก็เดินเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่ชิงสุ่ยเป็นคนแรกที่รับรู้ถึงกลิ่นอายที่แสนเข้มข้นซึ่งกำลังเดินทางใกล้เข้ามา จากนั้นเฉินเจินก็รับรู้ได้ถึงมันก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป สีหน้าของเธอเป็นสีหน้าที่แปลกประหลาดซึ่งชิงสุ่ยพอจะรับรู้ได้จากปฏิกิริยาทั้งหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
”ครอบครัวของข้ามาที่นี่แล้ว”เฉินเจินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ชิงสุ่ยก็เคยได้ยินจากปากของเธอในเรื่องที่เธอหนีการแต่งงานมาเขาจึงกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมเจ้าถึงดูมีสีหน้าผิดปกติเกินไป”
”พวกเขาจะมาที่นี่เดือนละครั้งแต่ข้าก็ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับไปพร้อมพวกเขา ข้าคิดว่าการที่พวกเขามาก่อนกำหนดในวันนี้ก็เพื่อจะพาข้ากลับบ้าน”เฉินเจินเผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่าโศกเศร้า ”คนที่มาในวันนี้น่าจะเป็นคนที่ครอบครัวของข้าได้จับคู่แต่งงานให้กับข้าเมื่อก่อนพ่อแม่ของข้าเป็นหนี้บุญคุณต่อตระกูลของเขา ดังนั้นการหมั้นหมายจึงถูกจัดขึ้นตั้งแต่ข้ากำเนิด”เฉินเจินกล่าวอย่างขมขื่น
”แล้วครอบครัวของเจ้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับเขา”ชิงสุ่ยกล่าวถามแม้จะรู้ว่าหากเป็นครอบครัวที่หลักโบราณ บอกให้ปฏิเสธยังไงมันก็ไม่เป็นผล
”พวกเขารู้แต่คำพูดก็เหมือนศักดิ์ศรี เมื่อพูดออกไปแล้วก็ยากที่จะคืนคำ ที่สำคัญกว่านั้นคือครอบครัวของข้าเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาอย่างมากมาย”
”ถ้าเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแสดงว่าเจ้าเองก็คงคิดหาหนทางแต่สุดท้ายก็คงต้องกลับไปแต่งงานกับเขาดีๆใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวถาม
”เจ้ายิ้มทำไม?เจ้าคงสนุกที่ข้าต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายสินะ?”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก ”เจ้าเลือกที่จะไม่ต่อต้านพวกเขาหรือบางทีเจ้าคงคิดว่าเจ้ามีความสามารถไม่พอใช่หรือไม่”
”ข้าจะไม่ทำอะไรกับพวกเขาทั้งสิ้นความจริงแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา เพราะเขามาจากนิกายสวรรค์ดาราอมตะ”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แทรกไปด้วยความอารมณ์เสียเล็กน้อย
นิกายอมตะอีกแล้วชื่อของนิกายอมตะเอ่ยออกมาอีกคร้้ง
คลื่นพลังอันแข็งแกร่งใกล้เข้ามาเรื่อยเฉินเจินค่อยๆเดินออกมาข้างนอกโดยที่มีชิงสุ่ยเดินตามออกมา
บริเวณเส้นขอบฟ้าปรากฏให้เห็นเป็นสัตว์อสูรลอยฟ้าจำนวนมากมายทั่วท้องฟ้าอสูรเหล่านี้เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว พวกมันมีส่วนหัวที่เหมือนกับอสูรแมมมอธ แต่เมื่อเทียบขนาดแล้วพวกมันมีขนาดเล็กกว่าแต่ความน่ากลัวเทียบชั้นกันไม่ได้ ร่างกายของพวกมันมีลักษณะคล้ายกับอินทรีสยายปีกหิมะขาวคู่ใหญ่ บ่งบอกถึงความน่าเกรงขาม
มันคืออสูรคชสารอินทรีย์เงินปีกขาว!!
นี่คือสัตว์อสูรร่างวิวัฒนาการบนหลังของพวกมันมีคนอยู่ประมาณ 30 คน ประกอบไปด้วยทั้งชายและหญิงรวมถึงเด็ก ในช่วงปิดตาทุกคนก็มาอยู่ในหัวของชิงสุ่ยและเฉินเจิน
”น้องสาวเจิน!!”
ทันทีที่สัตว์อสูรกลายพันธุ์หยุดการเคลื่อนที่เสียงอันแสนสง่างามก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของชายหนุ่มหน้าตาดีที่กระโดดลงมาจากหลังของมัน เขากระโดดลงมายืนตรงหน้าชิงสุ่ยและเฉินเจินแบบไม่ทันตั้งตัว
ชิงสุ่ยอึ้งเล็กน้อยเขาจ้องมองชายผู้นี้และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จากคำบอกเล่าทั้งหมดของเฉินเจิน มีโอกาสสูงมากพี่ชายพรุ่งนี้จะเป็นคนที่เฉินเจินหมั้นหมายเอาไว้
”พี่ชายเหลียนทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”เฉินเจินยิ้มขณะกล่าวถาม เธอตั้งใจถามออกไปแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว 1 เดือนที่ผ่านมาทางฝั่งของคุณชายเหลียนได้ส่งคนมาสอบถามเธอเป็นจำนวนหลายครั้งมากโดยแต่ละครั้งมาเพื่อเร่งการแต่งงาน ฉะนั้นในครั้งนี้เหลียนเฉินเปาคงจะตัดสินใจเดินทางมาสอบถามด้วยตัวเอง
”เจ้าลืมสัญญางานแต่งของพวกเราไปแล้วหรือ?หากวันแต่งงานไม่มีเจ้า ถ้าผมต้องเจอกับปัญหาอีกมากมาย”เหลียนเฉินเปากล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม คำพูดหน้าตาของเขาทำให้คนรอบข้างรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างชัดเจน
”พี่ชายเหลียนพวกเราไม่ได้คิดกันแบบนั้นเลย และข้าก็ปฏิบัติต่อท่านเปรียบดังพี่ชายของข้ามาโดยเสมอ”เฉินเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เหลียนเฉินเปาหลับตาลงชั่วครู่เหมือนว่าเขากำลังเผชิญกับความลังเลแต่แล้วเขาก็ลืมตา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภและดื้อรั้น มันคือความโลภที่มนุษย์ครอบครอง
”ข้าชอบเจ้าและรอคอยงานแต่งงานของเรามานานมากแล้ว ข้าเชื่อว่าวันเวลาจะทำให้เราพัฒนาความรู้สึกของกันและกัน โปรดเชื่อในตัวข้าเถิด ไม่มีใครบนโลกนี้รักเจ้าไปมากกว่าข้า และไม่มีใครจะดูแลเจ้าดีกว่าข้า”เหลียนเฉินเปากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
”เจินเอ๋อลุงของเจ้าได้ย้ำเตือนเรื่องราวเหล่านี้หลายครั้ง และผู้คนจำนวนมากต่างก็ตระหนักถึงเรื่องงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับเหลียนเฉินเปา”ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความสุภาพ
ชิงสุ่ยมองดูชายผู้นี้พร้อมกับพิจารณาใบหน้าหลายๆอย่างของเขาคล้ายคลึงกับใบหน้าเฉินเจินอย่างมาก ชิงสุ่ยจึงคาดเดาเบื้องต้นว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นพ่อของเฉินเจินอย่างแน่นอน
”ท่านพ่อท่านต้องการบังคับให้ข้าแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ชอบจริงๆหรือ ท่านพ่อ?”เฉินเจินเงยหน้ามองชายที่แสนสุภาพผู้นั้น
��