AST
บทที่1859 – รอยตบ ตลอดชีวิตจนถึงวัยชรา ทุกย่างก้าวมีแต่ความเจ็บปวด
ชิงสุ่ยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ตั้งแต่จะทำเช่นนี้แต่มือของเขายังคงฝังลึกอยู่ไหนรอยแยกภูเขาอันแสนนุ่มนวล มันจึงทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว
ทันทีที่เฉินเจินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดแปลกเธอมองดูชิงสุ่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะตบชิงสุ่ยอย่างจัง
ปังงง!!
เสียงฝ่ามือปะทะใบหน้าดังสนั่นเฉินเจินได้แต่รู้สึกตกใจ ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะหันหน้าหลบ ใครจะไปคิดว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เธอสำนึกผิดขณะมองดูรอยฝ่ามือบนใบหน้า แต่เมื่อเธอคิดทบทวน เขาก็สมควรโดน ชิงสุ่ยปล่อยมือของเธอพร้อมกับรอยยิ้มอันไร้ประโยชน์”ข้าไม่ได้ตั้งใจ และเจ้าก็อาจจะไม่เชื่อข้า ไหนๆเจ้าก็ตบข้าแล้ว ฉะนั้นหยุดโกรธข้าเถอะ”
ชิงสุ่ยไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นครั้งที่2 แล้วครั้งที่ 3 ที่เขาถูกเธอตบ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกละอาย แม้ความตั้งใจของเขาคือการสอน แต่เผอิญว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ควร และเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะดูหมิ่นผู้หญิง
เขาจึงไม่โกรธโทษเฉินเจินในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้ถูกต้องฉะนั้นสิ่งที่เธอทำจึงสมควร
”ทำไมเจ้าไม่หลบ?”เฉินเจินสำนึกผิดอย่างมากที่เธอตบเขา
”เพราะว่าข้าสมควรโดนและข้ายังรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานภายใต้ฝ่ามือของเจ้าด้วย”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างข่มขืนขณะจ้องมองหญิงสาวแสนงดงาม
เฉินเจินก้มหน้าเธอรู้สึกสับสนอย่างมาก แต่การสัมผัสระหว่างร่างกายของทั้งสองมันทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก มันคือความรู้สึกของหัวใจที่เธอพยายามสะกดมัน
เฉินเจินไม่ได้ชอบชิงสุ่ยเพราะคนที่เธอต้องการคือคนที่มีรักเดียวใจเดียว แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอไม่ได้เกลียดเขา เธอพยายามปฏิบัติต่อเขาในฐานะเพื่อนสนิท เพื่อนที่เธอไว้ใจและวางใจ
แม้ว่าเธอจะทราบว่าความรู้สึกของเธอนั้นกำลังเปลี่ยนไปเธอพยายามหาเหตุผลต่างๆนานา แต่ถ้าถึงขีดสุดแล้วเธอก็จะไม่ต่อต้านมัน
ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่ไม่ปรารถนาความรักทุกคนหวังว่าวันหนึ่งตัวของตนเองจะได้พบเจอกับชายที่โดดเด่น ชายที่เป็นที่พึ่ง
ในจิตใต้สำนึกของทุกคนมีความสมดุลเป็นของตนเองจิตใจของคนเราจะทำการชั่งน้ำหนักเหตุผลต่างๆนานา ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างภายนอก
อย่างไรก็ตามมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องเผชิญโชคร้ายแทบตลอดทั้งชีวิตไม่มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะถือว่าเป็นโชคดี ชีวิตมนุษย์จึงกลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยเส้นทางแห่งความยากลำบาก ยิ่งเส้นทางยาวไกลอายุมากขึ้นพวกเขาก็จะเริ่มเจ็บปวด แล้วจะยิ่งเจ็บปวดเป็นทวีคูณเมื่อเข้าใกล้ความตาย ความตายของตนจะเป็นสื่อกลางนำพาความเจ็บปวดสู่บุคคลที่พวกเขารัก ความแค้นก็จะนำมาซึ่งความเจ็บปวด ความโลภก็จะนำมาซึ่งความเจ็บปวดเช่นกัน สุดท้ายแล้วความเจ็บปวดจะเป็นตัวสอนมนุษย์ให้รู้จักขันธ์ 5
การใช้ชีวิตคือสิ่งที่เจ็บปวดความเจ็บปวดที่ได้เห็นโลกแห่งความจริง ความเจ็บปวดที่อยู่ภายในตัวเราทั้งทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่
และยิ่งแก่ชราความทุกข์ทรมานก็จะยิ่งหนักหนาสาหัสมนุษย์ไม่อาจต้านทานบัญชาสวรรค์ นอกจากยอมแพ้ไปอย่างช้าๆ
ความตายไม่ใช่กระบวนการที่เจ็บปวดที่สุดแต่การที่เราต้องลาจากสิ่งที่เรารัก มันทำให้ความเจ็บปวดภายในใจนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกาย ยิ่งผู้ใดตระหนักถึงความตายของตน ความรู้สึกเจ็บปวดก็จะยิ่งเจ็บกว่าผู้ไม่รู้
มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอารมณ์มากมายการเป็นมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพื้นฐานการกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว มนุษย์ต้องการความรัก ความรักไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว จากคนรักหรือจากมิตรภาพ แต่เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสกับความรัก พวกเขาก็ต้องรับมือกับความเจ็บปวดที่สูญเสียคนรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสูญเสียคนที่เรารักลึกซึ้งจับใจ
ความเจ็บปวดต่างๆไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดจากโรคภัย
ความเจ็บปวดจากความตาย
ความเจ็บปวดจากความโศกเศร้า
ความเจ็บปวดจากความเสียใจ
แม้กระทั่งความแค้นที่ผันแปรให้เกิดความเจ็บปวด สิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกตีแผ่ให้เป็นคำสอนในรูปประธรรมของความเจ็บปวดภายใต้ขันธ์5
”ข้าจะไม่โทษเจ้าและจะไม่ยอมให้เจ้าโทษตัวเอง ข้าคือคนผิด ข้าไม่ควรตบหน้าเจ้า จริงๆแล้วข้าคิดเสมอว่าเจ้าจะต้องหลบมัน”เธอยังคงจ้องมองร่องรอยฝ่ามือที่ประทับตราอยู่บนใบหน้าชิงสุ่ย
”ในอนาคตข้าจะไม่ทำมันอีกและข้าจะพยายามควบคุมตนเองให้ดี ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะว่าข้าเสียสมาธิ แต่ตัวข้าก็ไม่ได้คาดหวังจะทำอะไรแบบนั้นเลยจริงๆ คำพูดของข้าอาจดูเหมือนคำแก้ตัว แต่ตอนนั้นข้าคงจะหลงเสน่ห์ในตัวเจ้า”ชิงสุ่ยลูบจมูกของตน คำพูดของเขายังคงดูไร้ยางอายไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อได้ยินคำพูดและเหตุผลของชิงสุ่ยเฉินเจินรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ไม่เคยมีผู้ชายคนใดกล้าทำอะไรกับเธอเช่นนี้ ซึ่งชิงสุ่ยก็เป็นคนแรก แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ อาจเป็นเพราะผู้หญิงทุกคนหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้ชายกล้าเข้ามาจีบ
”เอาล่ะหยุดพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้เถิด ไปหาสุราดื่มกัน ข้ารู้สึกอยากดื่มสุรา”เฉินเจินเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นรอยยิ้ม ขณะมองดูชิงสุ่ย
ตลอดเวลาชิงสุ่ยรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวของเฉินเจิน แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อพูดถึงสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้คิด เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เขารู้สิทธิ์ได้คือเขาและเธอไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เธอมีความชอบธรรมและทรงสง่าศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความมืดมนและชั่วร้าย
”อืมได้สิ!!”ชิงสุ่ยตอบกลับโดยเป็นธรรมชาติ
อาหารรสเลิศสุราชั้นยอดย่อมคู่กับสาวงาม เฉินเจินมีความกระหายในสุรามากเป็นพิเศษ ซึ่งชิงสุ่ยก็รู้ว่าคนที่แข็งแกร่งระดับเธอแทบไม่ต้องกังวลเรื่องเมาเลย
การดื่มสุราครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการปรับสภาพอารมณ์และใช้ฉลองที่เธอสามารถขับไล่คนที่จะพาเธอกลับไปแต่งงานได้ ผู้คนมักจะใช้การดื่มสุราในการเฉลิมฉลองปลดปล่อยความทุกข์ ในบางครั้งผู้คนที่เต็มไปด้วยความเครียดก็จะใช้สุราเป็นตัวปลดปล่อยความเครียดเช่นกัน
”เจ้าพอจะบอกเรื่องราวของนิกายสวรรค์ดาราอมตะให้ข้าฟังได้หรือไม่”ชิงสุ่ยเปิดประเด็นหัวข้อในการกล่าวถามเฉินเจิน
เฉินเจินรู้อยู่แล้วว่าชิงสุ่ยจะต้องกล่าวถามเรื่องราวเหล่านี้เธอจึงวางจอกสุราลง และมองดูชิงสุ่ยดวงตาที่สุกสกาวเหมือนดวงจันทร์กลางท้องฟ้า
”พ่อของข้าก็มาจากนิกายอมตะเช่นกันไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นถึงเจ้านิกายของนิกายพวกเรา แน่นอนว่านิกายอมตะแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มอ่อนแอ กลุ่มพลังระดับกลาง และกลุ่มแข็งแกร่ง ตระกูลของพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของนิกายรากฐานสวรรค์อมตะ แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงนิกายที่อ่อนแอกว่านิกายสวรรค์ดาราอมตะ”เฉินเจินเริ่มบอกเล่าเรื่องราวของคนในตระกูล มันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอกำลังไว้วางใจในตัวชิงสุ่ย
บทที่1859 – รอยตบ ตลอดชีวิตจนถึงวัยชรา ทุกย่างก้าวมีแต่ความเจ็บปวด
ชิงสุ่ยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ตั้งแต่จะทำเช่นนี้แต่มือของเขายังคงฝังลึกอยู่ไหนรอยแยกภูเขาอันแสนนุ่มนวล มันจึงทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว
ทันทีที่เฉินเจินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดแปลกเธอมองดูชิงสุ่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะตบชิงสุ่ยอย่างจัง
ปังงง!!
เสียงฝ่ามือปะทะใบหน้าดังสนั่นเฉินเจินได้แต่รู้สึกตกใจ ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะหันหน้าหลบ ใครจะไปคิดว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เธอสำนึกผิดขณะมองดูรอยฝ่ามือบนใบหน้า แต่เมื่อเธอคิดทบทวน เขาก็สมควรโดน ชิงสุ่ยปล่อยมือของเธอพร้อมกับรอยยิ้มอันไร้ประโยชน์”ข้าไม่ได้ตั้งใจ และเจ้าก็อาจจะไม่เชื่อข้า ไหนๆเจ้าก็ตบข้าแล้ว ฉะนั้นหยุดโกรธข้าเถอะ”
ชิงสุ่ยไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นครั้งที่2 แล้วครั้งที่ 3 ที่เขาถูกเธอตบ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกละอาย แม้ความตั้งใจของเขาคือการสอน แต่เผอิญว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ควร และเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะดูหมิ่นผู้หญิง
เขาจึงไม่โกรธโทษเฉินเจินในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้ถูกต้องฉะนั้นสิ่งที่เธอทำจึงสมควร
”ทำไมเจ้าไม่หลบ?”เฉินเจินสำนึกผิดอย่างมากที่เธอตบเขา
”เพราะว่าข้าสมควรโดนและข้ายังรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานภายใต้ฝ่ามือของเจ้าด้วย”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างข่มขืนขณะจ้องมองหญิงสาวแสนงดงาม
เฉินเจินก้มหน้าเธอรู้สึกสับสนอย่างมาก แต่การสัมผัสระหว่างร่างกายของทั้งสองมันทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก มันคือความรู้สึกของหัวใจที่เธอพยายามสะกดมัน
เฉินเจินไม่ได้ชอบชิงสุ่ยเพราะคนที่เธอต้องการคือคนที่มีรักเดียวใจเดียว แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอไม่ได้เกลียดเขา เธอพยายามปฏิบัติต่อเขาในฐานะเพื่อนสนิท เพื่อนที่เธอไว้ใจและวางใจ
แม้ว่าเธอจะทราบว่าความรู้สึกของเธอนั้นกำลังเปลี่ยนไปเธอพยายามหาเหตุผลต่างๆนานา แต่ถ้าถึงขีดสุดแล้วเธอก็จะไม่ต่อต้านมัน
ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่ไม่ปรารถนาความรักทุกคนหวังว่าวันหนึ่งตัวของตนเองจะได้พบเจอกับชายที่โดดเด่น ชายที่เป็นที่พึ่ง
ในจิตใต้สำนึกของทุกคนมีความสมดุลเป็นของตนเองจิตใจของคนเราจะทำการชั่งน้ำหนักเหตุผลต่างๆนานา ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างภายนอก
อย่างไรก็ตามมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องเผชิญโชคร้ายแทบตลอดทั้งชีวิตไม่มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะถือว่าเป็นโชคดี ชีวิตมนุษย์จึงกลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยเส้นทางแห่งความยากลำบาก ยิ่งเส้นทางยาวไกลอายุมากขึ้นพวกเขาก็จะเริ่มเจ็บปวด แล้วจะยิ่งเจ็บปวดเป็นทวีคูณเมื่อเข้าใกล้ความตาย ความตายของตนจะเป็นสื่อกลางนำพาความเจ็บปวดสู่บุคคลที่พวกเขารัก ความแค้นก็จะนำมาซึ่งความเจ็บปวด ความโลภก็จะนำมาซึ่งความเจ็บปวดเช่นกัน สุดท้ายแล้วความเจ็บปวดจะเป็นตัวสอนมนุษย์ให้รู้จักขันธ์ 5
การใช้ชีวิตคือสิ่งที่เจ็บปวดความเจ็บปวดที่ได้เห็นโลกแห่งความจริง ความเจ็บปวดที่อยู่ภายในตัวเราทั้งทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่
และยิ่งแก่ชราความทุกข์ทรมานก็จะยิ่งหนักหนาสาหัสมนุษย์ไม่อาจต้านทานบัญชาสวรรค์ นอกจากยอมแพ้ไปอย่างช้าๆ
ความตายไม่ใช่กระบวนการที่เจ็บปวดที่สุดแต่การที่เราต้องลาจากสิ่งที่เรารัก มันทำให้ความเจ็บปวดภายในใจนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกาย ยิ่งผู้ใดตระหนักถึงความตายของตน ความรู้สึกเจ็บปวดก็จะยิ่งเจ็บกว่าผู้ไม่รู้
มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอารมณ์มากมายการเป็นมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพื้นฐานการกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว มนุษย์ต้องการความรัก ความรักไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว จากคนรักหรือจากมิตรภาพ แต่เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสกับความรัก พวกเขาก็ต้องรับมือกับความเจ็บปวดที่สูญเสียคนรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสูญเสียคนที่เรารักลึกซึ้งจับใจ
ความเจ็บปวดต่างๆไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดจากโรคภัย
ความเจ็บปวดจากความตาย
ความเจ็บปวดจากความโศกเศร้า
ความเจ็บปวดจากความเสียใจ
แม้กระทั่งความแค้นที่ผันแปรให้เกิดความเจ็บปวด สิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกตีแผ่ให้เป็นคำสอนในรูปประธรรมของความเจ็บปวดภายใต้ขันธ์5
”ข้าจะไม่โทษเจ้าและจะไม่ยอมให้เจ้าโทษตัวเอง ข้าคือคนผิด ข้าไม่ควรตบหน้าเจ้า จริงๆแล้วข้าคิดเสมอว่าเจ้าจะต้องหลบมัน”เธอยังคงจ้องมองร่องรอยฝ่ามือที่ประทับตราอยู่บนใบหน้าชิงสุ่ย
”ในอนาคตข้าจะไม่ทำมันอีกและข้าจะพยายามควบคุมตนเองให้ดี ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะว่าข้าเสียสมาธิ แต่ตัวข้าก็ไม่ได้คาดหวังจะทำอะไรแบบนั้นเลยจริงๆ คำพูดของข้าอาจดูเหมือนคำแก้ตัว แต่ตอนนั้นข้าคงจะหลงเสน่ห์ในตัวเจ้า”ชิงสุ่ยลูบจมูกของตน คำพูดของเขายังคงดูไร้ยางอายไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อได้ยินคำพูดและเหตุผลของชิงสุ่ยเฉินเจินรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ไม่เคยมีผู้ชายคนใดกล้าทำอะไรกับเธอเช่นนี้ ซึ่งชิงสุ่ยก็เป็นคนแรก แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ อาจเป็นเพราะผู้หญิงทุกคนหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้ชายกล้าเข้ามาจีบ
”เอาล่ะหยุดพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้เถิด ไปหาสุราดื่มกัน ข้ารู้สึกอยากดื่มสุรา”เฉินเจินเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นรอยยิ้ม ขณะมองดูชิงสุ่ย
ตลอดเวลาชิงสุ่ยรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวของเฉินเจิน แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อพูดถึงสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้คิด เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เขารู้สิทธิ์ได้คือเขาและเธอไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เธอมีความชอบธรรมและทรงสง่าศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความมืดมนและชั่วร้าย
”อืมได้สิ!!”ชิงสุ่ยตอบกลับโดยเป็นธรรมชาติ
อาหารรสเลิศสุราชั้นยอดย่อมคู่กับสาวงาม เฉินเจินมีความกระหายในสุรามากเป็นพิเศษ ซึ่งชิงสุ่ยก็รู้ว่าคนที่แข็งแกร่งระดับเธอแทบไม่ต้องกังวลเรื่องเมาเลย
การดื่มสุราครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการปรับสภาพอารมณ์และใช้ฉลองที่เธอสามารถขับไล่คนที่จะพาเธอกลับไปแต่งงานได้ ผู้คนมักจะใช้การดื่มสุราในการเฉลิมฉลองปลดปล่อยความทุกข์ ในบางครั้งผู้คนที่เต็มไปด้วยความเครียดก็จะใช้สุราเป็นตัวปลดปล่อยความเครียดเช่นกัน
”เจ้าพอจะบอกเรื่องราวของนิกายสวรรค์ดาราอมตะให้ข้าฟังได้หรือไม่”ชิงสุ่ยเปิดประเด็นหัวข้อในการกล่าวถามเฉินเจิน
เฉินเจินรู้อยู่แล้วว่าชิงสุ่ยจะต้องกล่าวถามเรื่องราวเหล่านี้เธอจึงวางจอกสุราลง และมองดูชิงสุ่ยดวงตาที่สุกสกาวเหมือนดวงจันทร์กลางท้องฟ้า
”พ่อของข้าก็มาจากนิกายอมตะเช่นกันไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นถึงเจ้านิกายของนิกายพวกเรา แน่นอนว่านิกายอมตะแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มอ่อนแอ กลุ่มพลังระดับกลาง และกลุ่มแข็งแกร่ง ตระกูลของพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของนิกายรากฐานสวรรค์อมตะ แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงนิกายที่อ่อนแอกว่านิกายสวรรค์ดาราอมตะ”เฉินเจินเริ่มบอกเล่าเรื่องราวของคนในตระกูล มันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอกำลังไว้วางใจในตัวชิงสุ่ย