หยินต่งคงจะเป็นคนที่ตกตะลึงมากกว่าแม้ว่าหัวใจของเขาจะอยู่กับหลินเฟ่ย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโฉมงามที่ครอบครองความงามยิ่งกว่าเทพธิดาบนฟ้า ลักษณะที่ชายทุกคนไม่อาจปฏิเสธความงาม ความงามในระดับที่กระตุ้นตัณหา พร้อมให้ทุกคนคิดเลยเถิดไปไกล
ความคิดที่เป็นไปด้วยความอยากความปรารถนา พุ่งพล่านออกมาจนจินตนาการไปไกลถึงเรื่องบาป
เหลียนหลิงเฟิงและหยินต่งเหมือนหลุดลอยออกจากโลกเมื่อได้เห็นหญิงสาวตรงหน้า พวกเขาก็เชื่อสิ่งที่เคยได้ยินแต่ก่อนอย่างสนิทใจ และหลงมัวเมาไปในการจ้องมองเธอ
หลังจากนั้นทั้งสองก็หันมองหน้ากันก่อนจะยิ้มและจากไป
ชิงสุ่ยที่ยืนอุ้มเด็กน้อยชิงซิ่วรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องมา แต่ไม่คิดว่าจะตามมาติดๆเร็วขนาดนี้
หญิงสาวผู้นั้นแสดงรอยยิ้มแสนอ่อนโยนขณะที่เดินเข้ามาใกล้แล้วอยู่ตรงหน้าชิงสุ่ยเมื่อเธออยู่ใกล้ ชิงสุ่ยก็มองเห็นไปถึงขนตาสีดำยาวสลวย และความยั่วยวนที่ไม่อาจอธิบายได้ แม้แต่จมูกของเธอก็เหมือนภาพแกะสลักฝีมือพระเจ้า
ลูกชายของเจ้าน่ารักน่าชังจริงๆ หญิงสาวผู้นั้นกล่าวพร้อมกับมองชิงซิ่วดวงตาที่งดงาม
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเด็กนี้คือเด็กผู้ชายไม่ใช่เด็กผู้หญิง ชิงสุ่ยกล่าวถามเพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่สัญจรไปมามักคิดว่าชิงซิ่วเป็นเด็กผู้หญิง
จากนั้นชิงสุ่ยก็มองเข้าไปยังนัยน์ตาของหญิงสาวที่กำลังจ้องมองชิงซิ่วแม้เธอจะมีผ้าคลุมทองคำอำพรางหน้า แต่เมื่ออยู่ใกล้ผ้าคลุมก็ไม่อาจปกปิดสายตาของเธอ ข้าแค่ดูก็รู้แล้ว หญิงสาวพยักหน้าตอบ แล้วเมื่อเธอสังเกตเห็นสายตาของชิงสุ่ยใบหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจากนั้นก็พยายามหลีกเลี่ยงสายตาชิงสุ่ย
หลังจากที่หลีกเลี่ยงสายตาเธอก็หันมองดูรอบๆรอคอยจักรพรรดิ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ และทันทีที่เธอมาถึงเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมประตูถึงปิดตาย
เจ้าอยากให้ข้าพาเจ้าเดินชมรอบๆหรือไม่? ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวตอบ
ก็ได้!! หญิงสาวกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้า
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปในสนามหลังบ้านหญิงสาวที่อยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นชิงสุ่ยก็รีบเดินมาทักทายตามธรรมชาติ
และเมื่อหญิงสาวโฉมงามเห็นอีเย่เจี้ยนเก้ออุ้มเด็กน้อยออกจากอ้อมแขนชิงสุ่ยเธอรู้ทันทีเลยว่าหญิงสาวคนนี้คือแม่ของชิงซิ่วและยังหลงใหลในความงามของตัวอีเย่เจี้ยนเก้ออีกด้วย ชิงสุ่ยเจ้าจะไม่แนะนำหญิงสาวโฉมงามผู้นี้ให้ข้ารู้จักหน่อยเหรอ? ฉินชิงกล่าวเชิงแกล้ง
ชิงสุ่ยถูจมูกและกล่าวว่า เท่าที่ข้ารู้ แม่นางผู้นี้ก็คือผู้นำเทวะแห่งมหาจักรพรรดิราชันย์ปราชญ์
จากนั้นชิงสุ่ยก็กล่าวแนะนำหญิงสาวแต่ละคนที่อยู่รอบรอบให้ผู้นำเทวะรู้จัก
เมื่อดูเวลาเขาพบว่าเวลาตอนนี้มันย่างเข้าใกล้เที่ยง แม้บรรดาหญิงสาวจะยังไม่ได้พูดอะไรและชิงสุ่ยก็ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่ชิงสุ่ยก็คาดเดาได้ว่าพวกเธอจะต้องเอ่ยปากชวนผู้นำเทวะให้ร่วมรับประทานอาหารเที่ยง ซึ่งเธอก็ไม่มีทางปฏิเสธ
แต่ทว่าตอนนี้ชิงสุ่ยยังไม่รู้จักชื่อของผู้นำเทวะเลยซึ่งเธอเองก็ไม่ได้บอก และชิงสุ่ยก็ไม่มีความสัมพันธ์เพิ่มเติมอะไรกับเธอ ฉะนั้นชื่อของเธอจึงยังไม่สำคัญ
เจ้ากำลังสนใจนางใช่หรือไม่? อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวขณะที่อุ้มเด็กน้อยชิงซิ่วไว้ในอ้อมอกเธอคือคนสุดท้ายที่กำลังจะเดินออกไป
ชิงสุ่ยเอื้อมมือออกไปจับไหล่ เจ้ากำลังคิดอะไรกันอยู่?
อีเย่เจี้ยนเก้อไม่กล้าพูดแค่ส่งสายตาให้กับชิงสุ่ยก็คงจะเพียงพอแล้ว
ชิงสุ่ยยังคงสนุกไปกับการแสดงออกของอีเย่เจี้ยนเก้อเธอคือผู้หญิงที่มีทัศนคติดีมาก แม่ทั้งสองคนจะแต่งงานกันมานาน และมีลูกด้วยกัน แต่ทัศนคติที่ดีของเธอก็ไม่ได้ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น
เมื่อไม่มีอะไรให้ทำมากนักชิงสุ่ยจึงพยายามล้อเล่น เพราะเขาชอบดูใบหน้าที่เขินอายของเธอ มันเหมือนกับว่าเขาได้รับชัยชนะ สามารถดึงเทพธิดาลงมาสู่โลกมนุษย์ได้
เจ้าคิดว่าข้าชั่วช้าขนาดนั้นเลยเหรอ?
แน่นอนว่าชิงสุ่ยยังไม่สามารถกล่าวล้อเล่นกับผู้นำเทวะได้เพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอยังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น แต่แน่นอนว่าการมีภรรยาหลายคนบนโลกใบนี้คือเรื่องปกติ และเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนยอมรับได้
เจ้าทำตัวตามสบายเถอะข้าเข้าใจดี และจะไม่เข้าไปแทรกแซงเจ้าเด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหาหญิงสาวเพิ่มเติม จงจำไว้ว่าอย่าลืมข้า อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาบางให้ชิงสุ่ยได้ยินแค่คนเดียว
อีเย่เจี้ยนเก้อรู้สึกว่าเธอไม่อาจเหนี่ยวรั้งชิงสุ่ยได้และการเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจึงเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงคนอื่น เธอจึงพยายามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว และรู้สึกว่าเท่าที่มีในวันนี้ก็เพียงพอมากแล้ว
ที่รักของข้าต่อให้ข้าเป็นบ้าสติฟั่นเฟือน ข้าก็ไม่มีวันลืมเจ้า มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ยินคำพูดนี้จากปากชิงสุ่ยแต่มันก็คือเรื่องจริง
อีเย่เจี้ยนเก้ออมยิ้มพร้อมใบหน้าที่มีความสุขก่อนจะเดินจากไป
การหาคู่ครองที่สามารถทำให้หญิงสาวมีความสุขได้จากภายนอกก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วแต่การที่ทำให้พวกเธอรู้สึกมีความสุขจากภายใน โดยเฉพาะความสุขทางวิญญาณและร่างกายคือสิ่งที่หาได้ยาก