ชิงสุ่ยจากบ้านไปได้สักพักใหญ่แม้ว่าหนูทุกคนจะเติบโตแต่ ชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณลูกๆของทุกคน ส่วนในสายตาของเด็กๆ เขาก็ยังคงเป็นชายที่น่าภาคภูมิใจ และวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนพร้อมจะก้าวขา
ชิงอวี้มองดูชิงสุ่ยมอบมังกรทองให้กับชิงเหยียนด้วยสายตาที่มีความสุขปราศจากความอิจฉา
ชิงสุ่ยยิ้มและจ้องมองชิงอวี้”เมื่อไหร่ที่เจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ พ่อจะมอบสัตว์อสูรที่เชื่อฟังและแข็งแกร่งให้กับเจ้า”
……………………
ในวันที่2 ชิงสุ่ยไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มพลังบรรดาลูกหลานของเขา แต่เขาก็แบ่งเวลาไปช่วยเหลือบรรดาภรรยาของเขาทุกครั้งเท่าที่ทำได้ 1สัปดาห์ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตลอดเวลา 1 สัปดาห์ชิงสุ่ยช่วยเหลือทุกคนอย่างขยันขันแข็ง มันมีเรื่องที่เขาจะต้องจัดการมากมายทับถมเป็นภูเขา เขาจำเป็นต้องสอนธีรพลอย่างละเอียด มันจะทำให้ความรู้ของแต่ละคนแตกต่างแต่ก็ยังไม่หยั่งลึก
ในวันนี้มีใครบางคนมาที่ตระกูลชิง
แม้ว่าคนจำนวนมากจะรู้ว่าตระกูลชิงแข็งแกร่งแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งในระดับใด ซึ่งมันก็เหมือนกับการที่ชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้ว่ามหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำมีตระกูลใดบ้างที่ซ่อนเร้นยอดยุทธผู้แข็งแกร่งเอาไว้
สิ่งที่ผู้คนมองเห็นตัวตนผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลชิง คืออี่หวง กู่หวู๋อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตัวของชิงสุ่ยแทบจะไม่ได้อยู่ในตระกูลชิงเลย พยัคฆ์ขาวทั้ง 8 ตัวของอี่หวง กู่หวู๋จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แสดงความแข็งแกร่งในตระกูลชิง
ชิงสุ่ยเป็นคนแรกที่ได้เห็นชายผู้นี้เขามีใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลาร่างกายสูงผอมเพียว เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูสบายแต่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดูนุ่มนวลพริ้วไหวไปตามสายลม ไม่น่าแปลกใจเลยพี่เป่ยเอ๋อจะชอบชายหนุ่มคนนี้
ชิงสุ่ยคาดเดาได้ตั้งแต่แรกพบว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นเฉิงหยวน
ชายหนุ่มมีพลังอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่5 ชิงสุ่ยเองก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งจากตัวชายหนุ่มคนนี้ สำหรับคนอื่นอาจจะรับรู้พลังได้เพียงแค่ในระดับแรกเท่านั้น
”ยินดีที่ได้พบท่านคงจะเป็นพี่ชายชิงสุ่ยสินะ!!”เมื่อชายหนุ่มได้พบเจอกับชิงสุ่ย เขาก็เดินตรงเข้ามาหาชิงสุ่ยพร้อมใบหน้าอันมีความสุข
ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเลยเพราะชิงเป่ยได้บอกว่าเธอพูดถึงเขาให้ชายหนุ่มคนนี้ฟังหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงแสดงภาพวาดชิงสุ่ยให้ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
”เจ้าของจะเป็นเฉิงหยวนเจ้ามาที่นี่เพื่อเจอกับน้องเป่ยอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวถาม
หลังจากได้กล่าวทักทายชิงสุ่ยเฉิงหยวนก็เริ่มประเมินตัวชิงสุ่ย เขาเคยได้ยินจากชิงเป่ยว่าตระกูลชิงมาอยู่ในจุดสูงขนาดนี้ได้ก็เพราะตัวตนของชายที่อยู่เบื้องหน้า มันคือความพยายามของชายคนนี้ และเขายังครอบครองบรรดาหญิงสาวโฉมงามอันไร้ที่ติ
”สวัสดีพี่ชายชิงสุ่ยข้าเฉิงหยวน น้องเป่ยมักจะเล่าเรื่องของท่านให้ข้าได้ฟัง ข้ารู้สึกชื่นชมในตัวท่านเป็นอย่างมาก”เฉิงหยวนกล่าว
ชิงสุ่ยไม่ค่อยสนใจคำเยินย่อของเฉิงหยวนคนฉลาดมักจะรู้วิธีการพูดกับคนที่มีอำนาจในตระกูล ดังนั้นหากเขาต้องการใกล้ชิดกับชิงเป่ย สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการสร้างสัมพันธ์อันดีกับชิงสุ่ย
”เข้ามาเถอะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านกัน ข้าชักอยากรู้อยากเห็นแล้วว่าตระกูลใดจึงสามารถสร้างยอดยุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 5 ได้ตั้งแต่อายุเยาว์วัย”ชิงสุ่ยยิ้มกล่าว
เฉิงหยวนรู้สึกประหลาดใจมากที่ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ถึงระดับพลังของเขาได้อย่างรวดเร็วตัวเขารู้ว่าชายคนนี้ไม่อาจหยั่งรู้ความเห็นความนึกคิดได้ จากคำพูดของชิงเป่ย มันทำให้รู้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อ่อนกว่าชิงสุ่ยมากกนัก
”พี่ชายชิงสุ่ยไม่ทราบว่าระดับพลังของท่านอยู่ในระดับใดแล้ว? เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกเลย”เฉิงหยวนกล่าวถามด้วยความซื่อ
แต่ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าคนระดับนี้ที่มีพรสวรรค์สูงๆจะต้องไม่ได้ถามด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์เขาจึงยิ้มและกล่าวว่า “คงไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากเจ้ารู้ถึงระดับพลังของข้า และการฝึกฝนของข้าก็แตกแขนงไปหลายเส้นทาง ข้ารู้สึกสนใจในตระกูลของเจ้า ตระกูลของเจ้าพอจะเทียบเคียงพระราชวังอมตะได้หรือไม่?”
”มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านเปรียบเทียบกับพระราชวังอมตะประเภทใด?พี่ชายชิงสุ่ย น้องเป่ยบอกว่าท่านเองคงอยากจะรู้จักในความสัมพันธ์ของเรา ท่านคิดว่าพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
”เจ้าเข้าใจในตัวน้องเป่ยมากเพียงใด?”ชิงสุ่ยเชิญชวนเฉิงหยวนเข้าไปนั่งในศาลา
ช่วงนี้คือฤดูใบไม้ร่วงอากาศจึงเต็มไปด้วยความสดชื่นใบไม้ร่วงหล่นไปทั่วทั้งพื้นดินทำให้ทุกอย่างดูมืดครึ้มแต่ก็อบอุ่น
”ข้าไม่สามารถจะบอกว่าข้ารู้จักนางดีข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับนางเพียงแค่เล็กน้อย ข้ารู้ว่าพี่ชายชิงสุ่ยเป็นกังวล ข้าชอบชิงเป่ยจริงๆ และข้าก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์วางแผนชั่ว ข้าขอยืนยัน”เฉิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
”ช่างน่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้สืบทอดมรดกราชาปีศาจเกศาเงินขาว”ชิงสุ่ยเงยหน้ามองมันทำให้ดวงตาของเฉิงหยวนเปลี่ยนไป
แม้แต่คนในตระกูลของเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวตนของเขาเขาได้รับมรดกสืบทอดมาโดยบังเอิญ โดยทั่วไปแล้วผมของเขาจะเป็นสีดำ แต่เมื่อได้รับพลังผมของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีขาวสะท้อนแวววาวเมืองหิมะ
สีผมที่เปลี่ยนไปเป็นเรื่องทั่วไปของคนบนโลกใบนี้บางคนเมื่อฝนอย่างหนักความสูงก็เพิ่มพูนอย่างน่าแปลก เมื่อตระกูลของเขาถาม เขาก็ได้แต่บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทักษะการฝึกฝนที่เขาใช้ ซึ่งตระกูลของเขาก็ให้ความเคารพกับเขาเพราะพลังเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาจึงไม่รู้จักสภาพร่างกายที่แท้จริง
เขาจึงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าตัวเองได้รับสืบทอดมรดกราชาปีศาจเกศาเงินขาวเขาถึงกับจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ “แล้วท่าน?”
หลังจากดูดซับรากฐานเต๋าเทวาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แม้แต่หยินต่งหรือคนอื่นๆก็ไม่อาจมองเห็นพลังผู้สืบทอดเทพสงครามในตัวชิงสุ่ย
”ข้าคือผู้สืบทอดเทพสงครามเราสองคนอยู่คนละฝั่งกัน”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเชื่องช้า
เฉิงหยวนยืนพิงเสาอยู่ภายในศาลา”แล้วท่านจะฆ่าข้าหรือไม่? ข้ารู้ว่าเราอยู่คนละฟากฝั่งกัน แม้ว่าชิ้นส่วนความทรงจำของราชาปีศาจเกศาเงินขาวจะยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของข้า มันทำให้ข้ารู้สึกหนาวเหน็บทุกครั้งที่นึกคิด แม้ว่าจะได้รับมรดกมา แต่มันก็ไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของข้าได้ ตัวข้าก็ไม่ต้องการต่อสู้กับผู้สืบทอดมรดกแห่งเทพสงคราม”
”แต่เจ้าจะให้ค่อยสูญเสียตัวตนไปอย่างช้าๆเมื่อถึงตอนนั้น บุคลิกของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดตอนนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป”
ชิงอวี้มองดูชิงสุ่ยมอบมังกรทองให้กับชิงเหยียนด้วยสายตาที่มีความสุขปราศจากความอิจฉา
ชิงสุ่ยยิ้มและจ้องมองชิงอวี้”เมื่อไหร่ที่เจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ พ่อจะมอบสัตว์อสูรที่เชื่อฟังและแข็งแกร่งให้กับเจ้า”
……………………
ในวันที่2 ชิงสุ่ยไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มพลังบรรดาลูกหลานของเขา แต่เขาก็แบ่งเวลาไปช่วยเหลือบรรดาภรรยาของเขาทุกครั้งเท่าที่ทำได้ 1สัปดาห์ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตลอดเวลา 1 สัปดาห์ชิงสุ่ยช่วยเหลือทุกคนอย่างขยันขันแข็ง มันมีเรื่องที่เขาจะต้องจัดการมากมายทับถมเป็นภูเขา เขาจำเป็นต้องสอนธีรพลอย่างละเอียด มันจะทำให้ความรู้ของแต่ละคนแตกต่างแต่ก็ยังไม่หยั่งลึก
ในวันนี้มีใครบางคนมาที่ตระกูลชิง
แม้ว่าคนจำนวนมากจะรู้ว่าตระกูลชิงแข็งแกร่งแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งในระดับใด ซึ่งมันก็เหมือนกับการที่ชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้ว่ามหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำมีตระกูลใดบ้างที่ซ่อนเร้นยอดยุทธผู้แข็งแกร่งเอาไว้
สิ่งที่ผู้คนมองเห็นตัวตนผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลชิง คืออี่หวง กู่หวู๋อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตัวของชิงสุ่ยแทบจะไม่ได้อยู่ในตระกูลชิงเลย พยัคฆ์ขาวทั้ง 8 ตัวของอี่หวง กู่หวู๋จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แสดงความแข็งแกร่งในตระกูลชิง
ชิงสุ่ยเป็นคนแรกที่ได้เห็นชายผู้นี้เขามีใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลาร่างกายสูงผอมเพียว เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูสบายแต่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดูนุ่มนวลพริ้วไหวไปตามสายลม ไม่น่าแปลกใจเลยพี่เป่ยเอ๋อจะชอบชายหนุ่มคนนี้
ชิงสุ่ยคาดเดาได้ตั้งแต่แรกพบว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นเฉิงหยวน
ชายหนุ่มมีพลังอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่5 ชิงสุ่ยเองก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งจากตัวชายหนุ่มคนนี้ สำหรับคนอื่นอาจจะรับรู้พลังได้เพียงแค่ในระดับแรกเท่านั้น
”ยินดีที่ได้พบท่านคงจะเป็นพี่ชายชิงสุ่ยสินะ!!”เมื่อชายหนุ่มได้พบเจอกับชิงสุ่ย เขาก็เดินตรงเข้ามาหาชิงสุ่ยพร้อมใบหน้าอันมีความสุข
ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเลยเพราะชิงเป่ยได้บอกว่าเธอพูดถึงเขาให้ชายหนุ่มคนนี้ฟังหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงแสดงภาพวาดชิงสุ่ยให้ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
”เจ้าของจะเป็นเฉิงหยวนเจ้ามาที่นี่เพื่อเจอกับน้องเป่ยอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวถาม
หลังจากได้กล่าวทักทายชิงสุ่ยเฉิงหยวนก็เริ่มประเมินตัวชิงสุ่ย เขาเคยได้ยินจากชิงเป่ยว่าตระกูลชิงมาอยู่ในจุดสูงขนาดนี้ได้ก็เพราะตัวตนของชายที่อยู่เบื้องหน้า มันคือความพยายามของชายคนนี้ และเขายังครอบครองบรรดาหญิงสาวโฉมงามอันไร้ที่ติ
”สวัสดีพี่ชายชิงสุ่ยข้าเฉิงหยวน น้องเป่ยมักจะเล่าเรื่องของท่านให้ข้าได้ฟัง ข้ารู้สึกชื่นชมในตัวท่านเป็นอย่างมาก”เฉิงหยวนกล่าว
ชิงสุ่ยไม่ค่อยสนใจคำเยินย่อของเฉิงหยวนคนฉลาดมักจะรู้วิธีการพูดกับคนที่มีอำนาจในตระกูล ดังนั้นหากเขาต้องการใกล้ชิดกับชิงเป่ย สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการสร้างสัมพันธ์อันดีกับชิงสุ่ย
”เข้ามาเถอะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านกัน ข้าชักอยากรู้อยากเห็นแล้วว่าตระกูลใดจึงสามารถสร้างยอดยุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 5 ได้ตั้งแต่อายุเยาว์วัย”ชิงสุ่ยยิ้มกล่าว
เฉิงหยวนรู้สึกประหลาดใจมากที่ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ถึงระดับพลังของเขาได้อย่างรวดเร็วตัวเขารู้ว่าชายคนนี้ไม่อาจหยั่งรู้ความเห็นความนึกคิดได้ จากคำพูดของชิงเป่ย มันทำให้รู้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อ่อนกว่าชิงสุ่ยมากกนัก
”พี่ชายชิงสุ่ยไม่ทราบว่าระดับพลังของท่านอยู่ในระดับใดแล้ว? เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกเลย”เฉิงหยวนกล่าวถามด้วยความซื่อ
แต่ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าคนระดับนี้ที่มีพรสวรรค์สูงๆจะต้องไม่ได้ถามด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์เขาจึงยิ้มและกล่าวว่า “คงไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากเจ้ารู้ถึงระดับพลังของข้า และการฝึกฝนของข้าก็แตกแขนงไปหลายเส้นทาง ข้ารู้สึกสนใจในตระกูลของเจ้า ตระกูลของเจ้าพอจะเทียบเคียงพระราชวังอมตะได้หรือไม่?”
”มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านเปรียบเทียบกับพระราชวังอมตะประเภทใด?พี่ชายชิงสุ่ย น้องเป่ยบอกว่าท่านเองคงอยากจะรู้จักในความสัมพันธ์ของเรา ท่านคิดว่าพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
”เจ้าเข้าใจในตัวน้องเป่ยมากเพียงใด?”ชิงสุ่ยเชิญชวนเฉิงหยวนเข้าไปนั่งในศาลา
ช่วงนี้คือฤดูใบไม้ร่วงอากาศจึงเต็มไปด้วยความสดชื่นใบไม้ร่วงหล่นไปทั่วทั้งพื้นดินทำให้ทุกอย่างดูมืดครึ้มแต่ก็อบอุ่น
”ข้าไม่สามารถจะบอกว่าข้ารู้จักนางดีข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับนางเพียงแค่เล็กน้อย ข้ารู้ว่าพี่ชายชิงสุ่ยเป็นกังวล ข้าชอบชิงเป่ยจริงๆ และข้าก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์วางแผนชั่ว ข้าขอยืนยัน”เฉิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
”ช่างน่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้สืบทอดมรดกราชาปีศาจเกศาเงินขาว”ชิงสุ่ยเงยหน้ามองมันทำให้ดวงตาของเฉิงหยวนเปลี่ยนไป
แม้แต่คนในตระกูลของเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวตนของเขาเขาได้รับมรดกสืบทอดมาโดยบังเอิญ โดยทั่วไปแล้วผมของเขาจะเป็นสีดำ แต่เมื่อได้รับพลังผมของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีขาวสะท้อนแวววาวเมืองหิมะ
สีผมที่เปลี่ยนไปเป็นเรื่องทั่วไปของคนบนโลกใบนี้บางคนเมื่อฝนอย่างหนักความสูงก็เพิ่มพูนอย่างน่าแปลก เมื่อตระกูลของเขาถาม เขาก็ได้แต่บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทักษะการฝึกฝนที่เขาใช้ ซึ่งตระกูลของเขาก็ให้ความเคารพกับเขาเพราะพลังเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาจึงไม่รู้จักสภาพร่างกายที่แท้จริง
เขาจึงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าตัวเองได้รับสืบทอดมรดกราชาปีศาจเกศาเงินขาวเขาถึงกับจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ “แล้วท่าน?”
หลังจากดูดซับรากฐานเต๋าเทวาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แม้แต่หยินต่งหรือคนอื่นๆก็ไม่อาจมองเห็นพลังผู้สืบทอดเทพสงครามในตัวชิงสุ่ย
”ข้าคือผู้สืบทอดเทพสงครามเราสองคนอยู่คนละฝั่งกัน”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเชื่องช้า
เฉิงหยวนยืนพิงเสาอยู่ภายในศาลา”แล้วท่านจะฆ่าข้าหรือไม่? ข้ารู้ว่าเราอยู่คนละฟากฝั่งกัน แม้ว่าชิ้นส่วนความทรงจำของราชาปีศาจเกศาเงินขาวจะยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของข้า มันทำให้ข้ารู้สึกหนาวเหน็บทุกครั้งที่นึกคิด แม้ว่าจะได้รับมรดกมา แต่มันก็ไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของข้าได้ ตัวข้าก็ไม่ต้องการต่อสู้กับผู้สืบทอดมรดกแห่งเทพสงคราม”
”แต่เจ้าจะให้ค่อยสูญเสียตัวตนไปอย่างช้าๆเมื่อถึงตอนนั้น บุคลิกของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดตอนนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป”