ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลหลางเป็นคนอย่างไร แต่ตอนนี้เขาอดทนอดกลั้นจนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ในเมื่อไรก็ตามกล้าทำลายทรัพย์สินของเขา คนผู้นั้นจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ
ชิงสุ่ยยังสัมผัสได้ถึงพลังจากตัวผู้นำตระกูลหลาง เขามีพลังอยู่ในระดับขั้นกลางของพลังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7 ซึ่งถือว่าเกือบเทียบเท่ากับชิงสุ่ย
เพียงแต่ผู้นำตระกูลหลางไม่มีทางรู้ว่าเขาสามารถระเบิดพลังสูงสุดได้มากกว่าเขาหรือเหนือกว่าระดับ 500 ล้านเต๋า
แม้ว่าตัวผู้นำตระกูลหลางจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็เลือกรวมกับกลุ่มอื่นโดยอาศัยวิธีการแต่งงาน มันทำให้ชิงสุ่ยต้องครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นทั้งสถานะและพลัง ถ้าเขาเอาชนะผู้นำตระกูลหลาง ทหารจำนวนมากก็คงมาไล่ล่าเขา ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนในโลกภายนอกได้อย่างปลอดภัยอีก
แต่ทันใดนั้น ความคิดมากมายก็เข้ามาในสมองของชิงสุ่ย เมื่อพิจารณาว่าตอนนี้เขายืนอยู่บนดินแดนอุดรเหมันต์ ทุกอย่างมันคงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา ชิงสุ่ยจำคำพูดเป่ยหมิงเสวี่ยได้ ความแข็งแกร่งของเธอเรียกได้ว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนอุดรเหมันต์ ชิงสุ่ยจึงเริ่มรู้สึกว่าการเอาชนะชายผู้นี้ ไม่มีทางสร้างปัญหามากมายให้กับเขาได้
ตัวผู้นำตระกูลหลางที่ยืนอยู่ใกล้ทางเข้า เขามองดูรอบตัวก่อนจะเดินออกไปข้างนอก ชิงสุ่ยจึงเดินตามออกไปเพราะรู้ดีว่าหากต่อสู้กันจริง อาคารคงถูกทำลาย และตัวตึกรามบ้านช่องที่อยู่ใกล้เคียงก็คงจะกลายเป็นเพียงแค่เถ้าธุรี พื้นที่ใต้เมืองก็คงจะกลายเป็นหลุมดินที่แสนว่างเปล่า
ชิงสุ่ยลอยขึ้นไปบนอากาศตามผู้นำตระกูลหลาง จากนั้นก็หันหน้ามาประจันหน้ากันตัวต่อตัว ในตอนนี้ผู้นำตระกูลหลาง ไม่พูดอะไรมาก เขาหยิบกระบี่ที่ดูผิดแปลกออกมา กระบี่ของเขาดูหมองคล้ำและสะท้อนแสงสีเอาเงิน แต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ กระบี่ของเขาค่อนข้างสั้น มันมีความยาวน้อยกว่า 1.5 ฟุต และบางเฉียบเหมือนมีดสั้น ปลายดาบเหมือนสร้างจากวัตถุทรงกลมที่ทำขึ้นจากโลหะ
ทักษะเบิกเนตรสวรรค์!!
ชิงสุ่ยชำเลืองมองกระบี่สั้นที่ศัตรูถืออยู่บนมือเป็นอันดับแรกตามคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ชิงสุ่ยได้แต่มองดูมันด้วยสายตาแปลกประหลาด เขาก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้าสู่กระดูกสันหลัง เขาไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะได้เจอกับศัตรูที่ใช้สิ่งของแบบนี้
กระบี่อัมพาต!!
คุณสมบัติพิเศษจะซ่อนอยู่ภายในทรงกลมแห่งความอัมพาตที่อยู่ปลายยอดกระบี่ ทันทีที่โจมตีศัตรู ศัตรูจะกลายเป็นอัมพาต มีเพียงผู้ชายที่ถือครองหัวใจอสูรอัมพาตเท่านั้นที่จะไม่รับผลกระทบจากมัน
ชิงสุ่ยนำง้าวทองทะลวงศัตรูออกมาแล้วอ่ะมันก็อาจจะไม่สามารถป้องกันทักษะแฝงอัมพาตของศัตรูได้
เจ้าพร้อมหรือไม่? ข้าให้เจ้าโจมตีก่อน เพราะข้ากลัวว่าถ้าข้าเริ่มก่อนเจ้าอาจจะไม่มีสิทธิ์ได้โจมตีอีกเลย ผู้นำตระกูลหลางยิ้ม
ชิงสุ่ยจึงไม่เกรงใจ โบกสะบัดง้าวทองทะลวงศัตรู พร้อมกับปลดปล่อยทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึก
ผู้นำตระกูลหลางเหมือนจะไม่ใส่ใจกระบวนท่าชิงสุ่ย ราวกับว่ากระบวนท่าที่ปลดปล่อยออกมานั้นย่ำแย่ในสายตาของเขา เขาหลบหลีกการโจมตีของชิงสุ่ยด้วยทักษะที่ดูเรียบง่าย จากนั้นก็ใช้กระบี่ในมือปัดการโจมตี
ปังงงง!!
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องถอยหลังก็ไปถึง 3 ก้าว
ชิงสุ่ยค่อนข้างตกใจ เพราะทันทีที่ทั้งสองคนเข้าปะทะกัน ความเร็วของศัตรูดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าในชั่วพริบตา แล้วตอนแรกชิงสุ่ยไม่ได้ตั้งใจจะเข้าโจมตีผู้นำตระกูลหลางด้วยเจตนาตั้งใจจริง แต่เมื่อทำการปะทะ ชิงสุ่ยก็เริ่มรับรู้ถึงอาการชา ขณะที่เขาโดนผลักให้ถอยหลัง
ในขณะเดียวกันผู้นำตระกูลหลางก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาพยายามแสดงสีหน้านิ่งเฉยๆเพื่อปกปิดความรู้สึก และพยายามทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นราชสีห์ที่กำลังจะกินหนู
อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยก็มีวิธีการรับมือ ตัวอย่างเช่นเพียงแค่เขาใช้ภูเขา 9 เทวา พลังของมันก็มากพอจะล้มศัตรูของเขาได้
ชิงสุ่ยลังเลที่จะใช้มัน เขาอยากเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตายเพื่อใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น
ตัวของผู้นำตระกูลหลางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเหลือไว้เพียงแค่ภาพเงาติดตา
เรื่องเหล่านี้พอจะบอกได้เลยว่าผู้นำตระกูลหลาง เดินอยู่บนเส้นทางนักฆ่า แต่โชคร้ายที่คู่ต่อสู้ของเขานั้นมีทักษะเบิกเนตรสวรรค์ต่อให้มีร่างมากมายกระจายไปทั่วท้องฟ้า ดวงตาของชิงสุ่ยก็สามารถระบุตัวตนได้อย่างชัดเจน และยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดดูช้าลงไปในทันตาเห็น
ง้าวทองทะลวงศัตรูของชิงสุ่ยพุ่งทะยานไล่ตามหลังผู้นำตระกูลหลางมาอย่างกระชั้นชิด ในเมื่อชิงสุ่ยสามารถตรวจจับร่างที่แท้จริงได้ สิ่งที่ผู้นำตระกูลหลางทำได้เพียงอย่างเดียวคือหลบหลีกให้รวดเร็ว และพยายามใช้ทักษะที่แตกต่างกัน
ผู้นำตระกูลหลางเคลื่อนไหวด้วยลักษณะแปลกประหลาด และการโจมตีแต่ละครั้งของเขาก็มีแรงจูงใจที่หนักแน่น เหมือนว่าเป้าหมายของเขานั้นคือการเข้าปะทะกับง้าวทองทะลวงศัตรูในมือของชิงสุ่ย
ส่วนความคิดของชิงสุ่ยคือการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ปะทะกับอาวุธของศัตรูโดยตรง สิ่งที่เขาทำได้คือการหาวิธีโจมตีล่างสตูลโดยตรง
ทั้งคู่ต่างพยายามโจมตีเพื่อให้เข้าเป้าหมายของตัวเอง ผู้นำตระกูลหลางเคลื่อนไหวเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ จนดวงตาของชิงสุ่ยเห็นการเคลื่อนไหวของเขาเป็นเพียงแค่แสงวาบ
ตัวชุดเกราะทองคำวชิระบนร่างกายชิงสุ่ยก็ยังไม่แสดงศักยภาพของตน แม้ว่าการโจมตีของศัตรูที่ถาโถมเข้าใส่ร่างกายชิงสุ่ย จะไม่สามารถเจาะทะลุผ่านชุดเกราะของเขาไปได้ แต่อาการที่เขาเริ่มรู้สึกมันก็คืออาการชาไปทั้งตัว และผู้นำตระกูลหลางก็ไม่มีทีท่าจะหยุดโจมตี เขายังคงกระหน่ำแทงกระบี่สั้นเข้าใส่ชิงสุ่ยอย่างต่อเนื่อง
ครั้งนี้ชิงสุ่ยพยายามสุดกำลังเพื่อหลบหลีกการโจมตีจากศัตรู แต่โชคร้ายที่อาการชาได้ขยายผลไปทั่วร่างกาย จนเขาเคลื่อนไหวได้ช้า ในที่สุดการโจมตีครั้งนี้ก็ทะลวงผ่านสร้างบาดแผลให้กับหน้าอกชิงสุ่ย แม้ว่าจะเป็นบาดแผลทั่วไป แต่สิ่งที่น่ากลัวก็ยังคงเป็นอาการชาที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเมืองกระบี่ ชิงสุ่ยจึงทำได้เพียงแค่ถอยหลัง
เมื่ออยู่ในจุดที่ได้เปรียบ ผู้นำตระกูลหลางก็ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ เขาทะลวงลูกกลมที่ปลายดาบหมายเจาะทะลวงล่างชิงสุ่ย
แต่ทว่าชิงสุ่ยกลับยังคงแสดงสีหน้าสงบ หากเขาไม่ได้ใช้ทักษะความเร็วของเขาจะช้ากว่าศัตรู แต่ทันทีที่เขาใช้ทักษะการเคลื่อนไหว เขาจะสามารถเพิ่มพูนความเร็วได้หลายเท่าตัว ยิ่งทักษะการฟื้นฟู ถ้าหากเขาได้ปลดปล่อยพลังปราณรักษา เขาจะสามารถควบคุมอาการบาดเจ็บ และผลกระทบของอาการชาได้แทบจะทันที
ในขณะที่ผู้นำตระกูลหลางปลดปล่อยกระบวนท่าหมายจะสังหารชิงสุ่ย ในใจของเขาก็ได้แต่ประหลาดใจว่าทำไมการโจมตีของเขากลับดูไร้ประโยชน์ ทั้งๆที่มันควรจะสังหารศัตรูได้โดยอาศัยเพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่า
เมื่อร่างของผู้นำตระกูลหลางเข้าประชิดตัวชิงสุ่ย ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายรอบตัว ซึ่งจะทำให้เขารู้ทันทีว่าศัตรูคนนี้กำลังจะใช้กระบวนท่าเดิม แต่ชิงสุ่ยจะไม่อ่อนข้อให้เหมือนแต่ก่อนแล้ว เขาจึงเริ่มปลดปล่อยทักษะวิชาไล่ล่าเงาสังหาร
ทักษะวิชาไล่ล่าเงาสังหาร!!
ทักษะเบิกเนตรสวรรค์!!
ในที่สุดผู้นำตระกูลหลางก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองนั้นสูญเสียความได้เปรียบทางด้านความเร็ว แม้จะเป็นความเร็วที่ลดลงเล็กน้อย แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป เพียงแค่เขาไม่ได้รู้เลยว่าชิงสุ่ยกำลังใช้ทักษะเบิกเนตรสวรรค์สะกดทุกการเคลื่อนไหวของเขา
��