ชิงสุ่ยรู้ว่าวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องสู้ แม้ว่าเขาจะยืมการเช่นนั้นแต่เมื่อเห็นความลังเลในสายตาของนายหนุ่มหลาง เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไป
นายน้อยหนุ่มหลางนิ่งเงียบ เขากัดฟันหลายต่อหลายครั้งก่อนจะคลายกำหมัดและรีบวิ่งตามชิงสุ่ย “คุณชายชิง โปรดรอก่อน!!”
ชิงสุ่ยยิ้มและหันหลังกลับไปมอง “หรือว่าท่านตัดสินใจที่จะต่อสู้?”
“ไม่….ไม่ มันไม่ได้หมายความเช่นนั้น คุณชายชิง ได้โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย”นายหนุ่มหลางโค้งคำนับถามชิงสุ่ยด้วยความจริงใจ
ชิงสุ่ยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรกับชายคนนี้ ชายที่มักใหญ่ใฝ่สูงที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยการตามใจ เมื่อสูญเสียความมั่นใจไปจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนแปลงนิสัยอย่างฉับพลัน เขาไม่กลัว
บทที่ 1988 – หญิงสาวจากตระกูลฉาง
ชิงสุ่ยรู้ว่าวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องสู้ แม้ว่าเขาจะยืมการเช่นนั้นแต่เมื่อเห็นความลังเลในสายตาของนายหนุ่มหลาง เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไป
นายน้อยหนุ่มหลางนิ่งเงียบ เขากัดฟันหลายต่อหลายครั้งก่อนจะคลายกำหมัดและรีบวิ่งตามชิงสุ่ย “คุณชายชิง โปรดรอก่อน!!”
ชิงสุ่ยยิ้มและหันหลังกลับไปมอง “หรือว่าท่านตัดสินใจที่จะต่อสู้?”
“ไม่….ไม่ มันไม่ได้หมายความเช่นนั้น คุณชายชิง ได้โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย”นายหนุ่มหลางโค้งคำนับถามชิงสุ่ยด้วยความจริงใจ
ชิงสุ่ยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรกับชายคนนี้ ชายที่มักใหญ่ใฝ่สูงที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยการตามใจ เมื่อสูญเสียความมั่นใจไปจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนแปลงนิสัยอย่างฉับพลัน เขาไม่กลัวความผิดพลาด แต่เขากลัวการทำผิดซ้ำรอยซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียชีวิต
“ข้าช่วยท่านไม่ได้ กลับบ้านไปค้นหาตัวเองเถอะ”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
นายน้อยหนุ่มหลางถอนหายใจและโค้งคำนับชิงสุ่ยก่อนจะจากไปด้วยความเงียบ
ชิงสุ่ยไม่เชื่อว่าคนคนนึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ใช่อะไรที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นคงไม่มีคำพูดที่บอกว่า การเปลี่ยนกระแสน้ำง่ายกว่าเปลี่ยนใจคน แม้ว่าตอนนี้นายน้อยหนุ่มหลางจะเป็นเหมือนคนถ่อมตัว แต่ที่เกิดขึ้นมันเกิดจากสถานการณ์ที่บังคับ ในอนาคตอีกไม่นาน เขาก็คงจะเผยธาตุแท้ของตนเองอีก
ชิงสุ่ยไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับตระกูลหลาง นอกเหนือจากเรื่องของผู้นำตระกูลหลางแล้ว เขาก็ไม่สนใจใคร
สำหรับตระกูลฉาง ที่เป็นตระกูลโดดเด่นซึ่งเน้นไปในการทำธุรกิจการค้า ชิงสุ่ยยังไม่มีโอกาสได้ตอบโต้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องไปสนทนาใดๆ เพราะกองกำลังของกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถคุกคามเขาได้
ความตั้งใจหลักของชิงสุ่ยคือการสร้างหอคอยจักรพรรดิ และสร้างขุมกำลังภายใต้องค์กรเล็กๆ ชิงสุ่ยตัดสินใจแล้วว่าเขาจะอยู่ในเมืองแห่งนี้ เพียงแต่เขายังไม่ได้ชื่ออย่างเป็นทางการ
พระราชวังเทพสงคราม!!
อีกไม่นานชิงสุ่ยว่าจะเปิดเผยตัวตน แล้วทำให้ตัวของเขานั้นเป็นเป้าหมายของผู้สืบทอดมรดกจ้าวอสูร แต่เขาก็ยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย ปัญหาอีกประการหนึ่งคือแม้ว่าเขาจะก่อร่างกลุ่มกองกำลังของตนเอง แต่เขาก็คงอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้เหมือนกัน
สำหรับหยินตงและคนอื่นๆ เขาพร้อมจะกางแขนรับทุกคน แต่สำหรับบรรดาภรรยา ชิงสุ่ยยังไม่คิดจะให้พวกเธอเข้าร่วมกลุ่มของเขา แต่ถ้าหากพวกเธอต้องการเขาก็พร้อมจะต้อนรับเช่นกัน
แม้ว่าการสร้างกองกำลังอาจจะดูเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ กองกำลังย่อมต้องการยอดยุทธที่มีความสามารถ หากเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับธรรมดา เขาคงไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีความภักดี ซึ่งอาจทำให้ปัจจัยแปรผัน แต่สุดท้าย นักรบระดับธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถเป็นประโยชน์กับเขาได้ในท้ายที่สุด
ชิงสุ่ยไม่อยากจะรบกวนใครนอกเสียจากทุกคนเต็มใจทำ และเมื่อเห็นว่าแม้แต่ชื่อของกลุ่มก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาจึงพยายามเลิกสนใจ และมุ่งมั่นอยู่เพียงแค่อย่างเดียวคือการทำรากฐานที่มั่นคงเตรียมพร้อมสำหรับเมืองฉาง
…………………
ในตอนกลางวันเขาจะใช้เวลาดำเนินงานในหอคอยจักรพรรดิ และใช้เวลากลางคืนในดินแดนยกยุพราชอมตะฝึกฝนวรยุทธ ในปัจจุบันหอคอยจักรพรรดิยังขาดกำลังคน แต่ก็โชคดีที่มันกำลังจะกลายเป็นที่รู้จักทั่วทั้งเมือง
การจะทำให้หอคอยจักรพรรดิรุ่งเรืองใช้เวลาไม่นานนัก เพียงแค่ว่าชิงสุ่ยมุ่งเน้นไปในทางรักษาคน ยังไม่ได้ดำเนินงานเกี่ยวกับอาหาร
หลังจากหลายวันผ่านไป หอคอยจักรพรรดิก็เริ่มอยู่ตัว ชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้โด่งดังไปทีละก้าว แม้ว่าจะยังไม่เพียงพอที่จะสร้างฐานความมั่นใจให้กับบรรดาลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ แต่ทุกคนก็ยังพอให้ความมั่นใจ และในวันนี้แขกที่มาเยือนหอคอยจักรพรรดิแห่งใหม่ได้ทำให้ชิงสุ่ยถึงกับประหลาดใจ
องค์จักรพรรดิคลั่ง!!
ชิงสุ่ยยิ้มแล้วรีบเดินตรงไปต้อนรับ “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจมาก ก่อนที่เขาจะจากมา เขาได้บอกแผนการว่าเขากำลังจะเดินทางเข้าสู่โลกเก้ามหาทวีปที่แท้จริง แล้วก็ถูกหยุดเอาไว้เพราะองค์จักรพรรดิคลั่งเชื่อว่าความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยยังไม่เสถียรและเป็นอันตราย
“น้องชาย เจ้าไม่รักษาสัญญาเลย โชคดีที่ความสามารถในการเดินทางของข้าสูงส่ง ข้าจึงมาที่นี่ได้ และโชคดีกว่าคือถ้ามีความสามารถพิเศษ จึงตรวจจับตำแหน่งของเจ้าได้”
ชิงสุ่ยมีความสุขมากที่ได้เห็นองค์จักรพรรดิคลั่ง!! เขายื่นมือออกไปตบบ่าชายร่างกำยำที่อยู่เบื้องหน้า
ชิงสุ่ยคือผู้ช่วยให้องค์จักรพรรดิคลั่งรอดชีวิต และในตอนนี้ องค์จักรพรรดิคลั่งก็ได้ทิ้งทุกอย่างจากมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยชื่นชอบคนแบบนี้มาก คนที่พร้อมจะร่วมแบ่งปันโชคชะตา อย่างน้อยที่สุดจะได้เจอคนแบบนี้ถือเป็นโชคที่เข้าข้างเขา
องค์จักรพรรดิคลั่งคือนักรบที่ฝึกฝนวรยุทธร่างกายอย่างแท้จริง ทักษะที่เขาใช้คือทักษะหมัดมหาสุริยะศักดิ์สิทธิ์ มันคือเพลงหมัดที่อัดแน่นไปด้วยกำลังแล้วยังครอบครองมรดกพิเศษที่มีเพียงแต่เขาผู้เดียว วรยุทธที่เขาใช้เป็นที่รู้จักกันในนามปราณยุพราชประจิม
ชิงสุ่ยจัดเตรียมอาหารสุราเพื่อต้อนรับองค์จักรพรรดิคลั่งและดื่มกินกันจนกระทั่งท้องฟ้ามืด องค์จักรพรรดิคลั่งอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก ปัญหาเพียงอย่างเดียวของเขาคือความตรงไปตรงมาที่มากเกินไป
“ในตอนนี้ ข้าไม่ต่างอะไรจากคนไร้บ้านเลย สงสัยว่าวันนี้เจ้าคงจะต้องจัดหาที่นอนให้กับข้าแล้วล่ะ”องค์จักรพรรดิคลั่งยิ้มขณะกล่าว
แม้ว่าองค์จักรพรรดิคลั่งจะพูดด้วยคำพูดที่ดูสนุกสนาน แต่สายตาของเขาก็บอกว่าเขาได้ทุ่มเทเงินทุกอย่างออกตามหาชิงสุ่ย
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าย่อมต้องช่วยเหลือท่าน จริงๆแล้ว แม้ว่าท่านจะไม่ได้มาหาข้า เมื่อเสร็จธุระข้าก็จะไปหาท่านเอง ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นท่านที่นี่”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
“ก็อย่างที่เจ้าพูดออกมา พวกเราคือพี่น้องกัน เจ้าไม่ต้องพูดอย่างเป็นทางการเลย ในอนาคต ข้าพร้อมจะอุทิศชีวิตของข้าเพื่อช่วยเหลือเจ้า!! แม้ว่าเจ้าต้องการให้ข้าไปเผชิญหน้ากับฝูงกระบี่นับล้านหรือภูเขาไฟไร้จุดจบ ข้าก็พร้อมช่วยเหลือเจ้าสุดกำลัง”องค์จักรพรรดิคลั่งกล่าว
“ได้เลย”
ชิงสุ่ยเข้าใจความหมายขององค์จักรพรรดิคลั่ง
……………..
คนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้ามาที่หอคอยจักรพรรดิ จากการพิจารณาแล้ว เมื่อเห็นผู้คนของตระกูลฉางที่นำหน้ามาโดยหญิงสาวคนหนึ่ง ชิงสุ่ยก็พอจะอนุมานได้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้จะต้องเป็นหญิงสาวที่แต่งงานกับผู้นำตระกูลหลาง เธอมีรูปลักษณ์ที่ดูดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับชิงซี เพียงแค่เธอยังขาดความงามบางส่วน รอบกายของเธอเป็นชายฉกรรจ์นับ 10 คน และในหมู่คนเหล่านั้นก็มีชายชรา 2 คน ชายชรา 2 คนเดินแต่ละก้าวอย่างมั่นคง บริเวณจุดลมปราณไทหยางของพวกเขาดูแข็งแกร่งและปูดโปน ร่างกายของพวกเขาดูเล็กแต่อัดแน่นไปด้วยกล้าม
หญิงสาวสวมชุดคลุมหรูหราไม่อาจปกปิดรูปลักษณ์ภายใน บั้นท้ายที่เต่งตึง หน้าอกที่โค้งนูน แต่สีผิวของเธอดูซีดมากเกินไป หางตาของเธอโค้งแหลมทำให้เธอดูดุร้าย เมื่อเธอเห็นชิงซีรักษาผู้คน สีหน้าของเธอก็ตกใจและกลายเป็นสีหน้าแห่งความรังเกียจ
“ว้าว หญิงบำเรอคนนี้รักษาอาการบาดเจ็บให้กับผู้อื่นได้ด้วยหรือนี้”