ชิงสุ่ยอาศัยอยู่ในเมืองฉางมานานกว่าครึ่งปีและเห็นการพัฒนาของชิงซีที่ก้าวหน้าอย่างยิ่งยวด เธอไม่เพียงแต่จะใช้ทักษะรักษาห่วงวิญญาณได้อย่างแม่นยำ เธอยังมีความเข้าใจในการใช้สมุนไพรขั้นสูง ชิงสุ่ยยังไม่ใช้วิธีการเพิ่มพูนพลังและวิธีการรักษาต่างๆเพื่อเสริมสร้างความสามารถให้กับนิ้วมือหยินหยางของเธอ
นอกจากเขาจะช่วยเพิ่มพลังทักษะนิ้วหยินหยาง เขายังได้สอนทักษะการต่อสู้บางอย่างให้กับเธอ มันเป็นทักษะที่อาศัยการฝังเข็มก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บที่โหดเหี้ยม ถ้าหากเธอโจมตีศัตรู ศัตรูจะต้องบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ถึงตาย
การโจมตีเข้าจุดชีพจรจะต้องมีความเข้าใจในจุดชีพจรทุกส่วนของร่างกายเป็นอย่างดี ร่างกายมนุษย์เต็มไปด้วยจุดชีพจรมากมายที่ใครหลายต่อหลายคนไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ แล้วคนที่เรียนรู้เรื่องจุดชีพจรในโลกใบนี้เองก็มีไม่มาก จะมีเพียงแค่คนส่วนน้อยและชิงสุ่ยเท่านั้นที่รู้จุดซ่อนเร้นภายในร่างกายมนุษย์
องค์จักรพรรดิคลั่ง เหลียนหลิงเฟิง หยิงตงและกลุ่มคนของชิงสุ่ยเป็นเพียงคนแค่ไม่กี่กลุ่มที่ได้เรียนรู้จุดชีพจรสำคัญ การพัฒนาเส้นทางการต่อสู้ของพวกเขาจึงเปรียบเสมือนการเพิ่มพลังทักษะสังหารโดยการโจมตีเข้าใส่จุดชีพจร แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าแต่หากสามารถโจมตีเข้าจุดสังหารได้ ความแข็งแกร่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ในโลกใบก่อนของชิงสุ่ย ก็มีคนกลุ่มนึงสามารถควบคุมพลังซ่อนเร้นภายในร่างกายเพื่อปลดปล่อยออกมาในรูปแบบเพลงหมัด เพียงแต่รูปแบบพลังในโลกใบก่อนเบาบางจนไม่สามารถดึงศักยภาพของมันออกมาใช้งานจริงได้
ในขณะที่พลังซ่อนเร้นในโลกใบใหม่ เต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพแฝงมากมาย ถ้าหากผู้คนสามารถดึงเอาพลังที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายออกมาได้ พวกเขาจะได้รับพลังที่เพิ่มพูนจนน่าทึ่ง ชิงสุ่ยรู้สึกว่าพลังเหล่านี้มันมีประโยชน์ เขาจึงพยายามสอนให้เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ทั้งหมดเข้าถึงพลังซ่อนเร้น
หลังจากครึ่งปีที่ชิงสุ่ยได้ฝึกสอนเหล่าเด็กกลุ่มใหม่ เขาก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองหลินห่ายเพื่อเจอบรรดาหญิงสาวของเขา เมื่อพิจารณาตามช่วงเวลา ชิงห่านอี้น่าจะใกล้คลอดเต็มทน เขาจึงฝากฝังให้อวี้ซีหยวน คอยดูแลหอคอยจักรพรรดิ
ชิงสุ่ยรู้ศักยภาพของอวี้ซีหยวนว่าพลังในตัวของเธอปัจจุบันนั้นบรรลุอยู่ในขั้นสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ชั้นที่ 7 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าทำไมจางเหมาหยุนถึงได้บอกว่าภูมิหลังของอวี้ซีหยวนไม่ใช่ธรรมดา นั่นจึงทำให้การจะคอยดูแลหอคอยจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องยากลำบาก และเธอก็ไม่มีปัญหากับคําขอของเขาและตอบตกลงรับคำขอทันที ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าด้วยชื่อเสียงของเขามันยิ่งทำให้หอคอยจักรพรรดิปลอดภัยมากขึ้น และเบื้องหลังของหอคอยจักรพรรดิแห่งนี้ก็ยังคงมีองค์จักรพรรดิครั้ง เหลียนหลินเฟิงและคนอื่นๆคอยสนับสนุน
…………………….
ชิงสุ่ยใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุเพื่อไปยังถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังรอคอยจักรพรรดิที่อยู่ภายในเมืองหลินห่าย ตราบใดที่มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ยังคงเป็นใหญ่ เมืองแห่งนี้จะไม่มีใครกล้ารุกราน ยิ่งกว่านั้นตระกูลเหลียนก็ยังเป็นตระกูลที่โดดเด่น และตั้งอยู่ไม่ไกลจากหอคอยจักรพรรดิ ผนวกกับการคอยสอดส่องดูแลจากตระกูลซีฉี หอคอยจักรพรรดิจะยิ่งปลอดภัย
ภายในหอคอยจักรพรรดิตอนนี้มีเพียงแค่เทียนยี่ อวี้เหนียงและบรรดาลูกๆของพวกเขา ย้อนกลับไปหอคอยจักรพรรดิแห่งนี้เคยเป็นของชิงสุ่ย แต่ตอนนี้อำนาจทั้งหมดได้ตกอยู่ในมือของเทียนยี่ อวี้เหนียงแล้ว
อวี้เนียงและทุกคนดีใจที่ได้เห็นชิงสุ่ยกลับมา อวี้เนียงเห็นชิงสุ่ยเปรียบเสมือนพี่ชายในสายเลือด นอกจากนี้เขาเองก็ยังเป็นผู้มีพระคุณของผู้อาวุโสเทียนยี่ ชายผู้ให้ชีวิตใหม่ ทำให้เทียนยี่กลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด
ชิงสุ่ยมีเป้าหมายของตัวเอง อย่างแรกคือการก่อตั้งหอคอยจักรพรรดิทั่วทุกหนแห่ง เขาต้องการให้หอคอยจักรพรรดิเติบโตกลายเป็นเหมือนปราการที่แข็งแกร่งทั่วทั้งโลก อย่างไรก็ตามการก่อตั้งมันง่าย แต่การจะทำให้มันคงอยู่ต้องใช้โชคชะตาอย่างสูง และดูเหมือนโชคชะตาจะเป็นใจทำให้เขาเจอคนที่ต้องการทั่วทุกพื้นที่ แม้กระทั่งในเมืองฉาง เขาก็ได้เจอกับชิงซี
ชิงสุ่ยพักอยู่ในหอคอยจักรพรรดิประมาณครึ่งวันก่อนจะออกเดินทางไปยังมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์เพื่อพบกับชายชราแห่งมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์และเหวินเจี้ยน
แม้ว่าชายชราทั้งสองคนจะมีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่กี่สิบปี แต่หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจากชิงสุ่ย ทั้งสองคนมีชีวิตยาวนานขึ้นอย่างน้อยที่สุดก็มากกว่า 50 ปีแต่ไม่ถึง 100 ปี สำหรับการฝึกฝน ทั้งสองคนไม่เห็นความสำคัญอีกแล้ว ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง พวกเขาจึงไม่หวังจะก้าวหน้าต่อ พวกเขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการดื่มชาเพลินกับอาหารหรือเล่นหมากรุก
หลังจากไปพบกับชายชราบรรพบุรุษแห่งตระกูลเซี่ย เขาก็ได้รู้ว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นในพระราชวังอาทิตย์อัสดง เขาจึงไม่ได้อยู่ที่จักรวรรดิต่อและรีบตรงไปยังพระราชวังอาทิตย์อัสดงเพื่อจะได้พบกับข่าวดี
เมื่อไปถึงพระราชวังอาทิตย์อัสดง ชิงสุ่ยก็รับรู้ถึงคลื่นพลังสายใย ใจของชิงสุ่ยก็เริ่มอยู่ไม่สุข
ชิงสุ่ย!! อีเย่เจี้ยนเก้อรีบเข้ามาขวางทางชิงสุ่ย
เขามาถึงหน้าประตูห้อง และเขาก็รับรู้ได้ว่าชิงห่านอี้ใกล้จะให้กำเนิดบุตรแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? ชิงสุ่ยกล่าวถาม ด้านข้างของเขาเองก็มีคนยืนรออยู่มากมายรวมไปถึงมูหยุนชิงเก้อ
ไม่ต้องเป็นกังวล หมอกำลังทำคลอดอยู่ หลัวชิงเฉินกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว
อุแว๊
เสียงทารกร้องดังมาจากภายในห้อง
ชิงสุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่นานนัก หมอหญิงก็ออกมาจากห้อง จากนั้นก็เล่าวิธีการดูแลชิงห่านอี้และลูกให้ทุกคนฟังก่อนจะบอกให้ทุกคนเข้าไปข้างในได้
หลังจากได้ยินเสียงทารกร้อง ชิงสุ่ยก็รีบตรงไปยังห้องครัวเพื่อทำซุปสรรพสิ่งเตรียมต้อนรับ
ชิงห่านอี้เอนกายพิงเตียงมองดูลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน โดยมีบรรดาหญิงสาวล้อมรอบ ขณะเดียวกันชิงสุ่ยก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารซุปจานร้อน ทันทีที่ชิงห่านอี้เห็นชิงสุ่ย เธอถึงกับตกใจเพราะไม่มีใครบอกเธอเลยว่าชิงสุ่ยมา
เมื่อชิงสุ่ยมาถึง บรรดาหญิงสาวคนอื่นๆก็ทยอยจากไป ปล่อยให้ชิงสุ่ยได้ดูลูกน้อย ลูกของเขาคนนี้เป็นเด็กผู้ชาย ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีดำสนิท เด็กน้อยกำลังมองดูโลกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชิงสุ่ยอุ้มลูกน้อยของตนสักพักใหญ่ ก่อนจะเริ่มป้อนอาหารชิงห่านอี้
ชิงห่านอี้จ้องมองชิงสุ่ยอย่างมีความสุข ตอนนี้ข้ามีลูกแล้ว
ชิงสุ่ยยิ้มกว้าง ข้าเป็นคนมอบเมล็ดพันธุ์
ชิงห่านอี้เขอะเขิล ่ท่านพูดอะไรสักอย่างที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลยเหรอ?
ดูลูกของเราสิ ร่างกายเด็กน้อยคนนี้แข็งแรงดีมาก
ชิงสุ่ยสัมผัสผิวกายของเด็กน้อย เขาและชิงห่านอี้ต่างก็ครอบครองร่างกายเก้าหยางและเก้าหยินดังนั้นเด็กน้อยที่เกิดมาจึงมีร่างกายเก้าหยางไปโดยธรรมชาติ เพียงแต่ร่างกายเก้าหยางของเด็กน้อยไม่ได้แข็งแกร่งเท่าชิงสุ่ย เนื่องจากได้รับพลังต้านมาจากร่างกายเก้าหยินของผู้เป็นแม่
แต่แม้ว่าร่างกายจะไม่ดีกว่าชิงสุ่ย ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าร่างกายของเจ้าตัวเล็กคนนี้ไม่ธรรมดา
ข้ารู้สึกว่ามีชีวิตในตอนนี้มีความหมายมากขึ้น ชิงห่านอี้มองดูใบหน้าลูกชายของเธอด้วยประกายแห่งความสุข ��