ตอนที่ 313 จักรพรรดิสอนบุตร
“นายท่านเรียกหลิวอิ๋งนั่นมาทำนายให้ท่านดีหรือไม่ ความสามารถในการทำนายของนังหนูคนนั้นใช้ได้ทีเดียว เวลาพี่น้องในตำหนักออกไปปฏิบัติภารกิจก็ชอบให้นางทำนายให้ จนถึงวันนี้ยังไม่เคยทำนายผิดมาก่อน เรียกนางมาแล้วให้นางช่วยทำให้ฝ่าบาทสบายใจขึ้นดีหรือไม่” ขุนนางเซียนแนะนำ
“ย่อมได้” เยี่ยมชิงขวงพยักหน้า เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน หญิงโง่นี่ก็มีประโยชน์อยู่เพียงเท่านี้แหละ
“ยินดีกับนายท่านที่บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนเจ้าค่ะ” หลิวอิ๋งตื่นเต้นเล็กน้อย ใครจะไปคิดว่านายท่านจะอยากพบตนทันทีที่ออกจากฌาน เห็นได้ชัดว่าภายในใจเขานั้นมีตนอยู่ เช่นนั้นแล้วในใจเขานางแตกต่างจากคนอื่นใช่หรือไม่หลิวอิ๋งกำลังจินตนาการเรื่องเพ้อฝัน
“เอาล่ะ การที่ข้าบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผล ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าทำนายว่าในอนาคตข้าจะมีศัตรูหรือไม่” เยี่ยชิงขวงเข้าประเด็นทันที
“เจ้าค่ะ” ศัตรูในอนาคตของนายท่าน นางจะต้องหาให้เจอ เพื่อขจัดขวากหนามให้นายท่าน น่าเสียดายที่นางใช้การทำนายธรรมดา อนาคตของเขาจึงว่างเปล่า ต้องใช้ของสิ่งนั้นอีกหรือ ครั้งก่อนที่สูญเสียพลังเซียนและพลังชีวิตหนึ่งในสามส่วนยังฟื้นฟูได้ไม่เท่าไหร่ หากครั้งนี้ใช้อีกล่ะก็ อย่างเบาก็คงบาดเจ็บจนสลบไป อย่างหนักตนก็คงได้กลับสู่อ้อมกอดของพื้นดิน แต่นานๆทีนายท่านจะเรียกหา นางสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจใช้วิชาต้องห้าม แล้วเผาผลาญพลังเซียนหนึ่งในสามส่วนและพลังชีวิตอีกหนึ่งในสามส่วนไป ผมของหลิวอิ๋งกลายเป็นสีขาว ใบหน้าปรากฎรอยเหี่ยวย่นที่ไม่ควรมี นางดูแก่ลงไปมาก อั๊ก นางกระอักเลือดออกมา นางทำนายได้แล้ว
“นายท่าน มังกรหงส์” หลิวอิ๋วพูดจบแค่สี่คำก็สลบไป
“ให้คนมายกนางออกไป” เยี่ยชิงขวงมองหลิวอิ๋งอย่างรังเกียจแล้วออกคำสั่ง
“นายท่าน คราวนี้ท่านน่าจะสบายใจได้แล้ว ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าหลิวอิ๋งจะใช้พลังชีวิต ไม่น่าทำนายผิด” ขุนนางเซียนพูด เห็นได้ชัดว่าสามีภรรยาคู่นั้นจะไม่กลายเป็นภัย
“ข้าคงคิดมากไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ระวังดินแดงอสูรเทพไว้แล้วกัน เอาล่ะ ข้าต้องเข้าฌานแล้ว ออกจากฌานมาคราวหน้าจะเป็นวันที่เผ่ามารรัตติกาลเราได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งหนึ่ง” เยี่ยชิงขวงกล่าว
“ยินดีนายท่านด้วย” ขุนนางเซียนพูดและตัดสินใจรีบไปสังเกตการณ์ที่ดินแดนอสูรเทพ
แต่เยี่ยชิงขวงกลับไม่ล่วงรู้เลยว่า เป็นเพราะความตาบอดของตน ยังมีคำพูดที่หลิงอิ๋งพูดไม่จบ ข้อผิดพลาดนี้ ก่อให้เกิดความล้มเหลวขึ้นในอนาคต
หลิวหลีไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนรอดพ้นจากหายนะ นางส่งเสียงบอกจักรพรรดิเพื่อแจ้งการตัดสินใจของตน ถูกต้อง การตัดสินใจ เมื่อนางบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนซึ่งอยู่สูงกว่าตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว ต่อให้จักรพรรดิเจอนาง ก็ยังต้องทำความเคารพนาง ถือเป็นตำแหน่งที่เก่งที่สุดในโลกเซียน ไม่นาน ทั่วทั้งวังนภาเพลิงก็ได้ทราบว่าเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนเปลี่ยนเป็นอวิ๋นเฟยแล้ว
“เสด็จพ่อ หลิวหลี เหตุใดจักรพรรดิเซียนหลิวหลีต้องสละตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนด้วย” หงซวี่และมู่หยางมาพบ หงซวี่ถามอย่างงุนงง เรื่องนี้ขัดแย้งกันด้วยหรือ
“นังหนู เจ้าควรจะดีใจ จักรพรรดิเซียนหลิวหลีเป็นคนใจกว้างนึกถึงคนของตนอยู่เสมอ” จักรพรรดิมองบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองพลางเอ่ยอย่างถอนใจ แต่ก่อนเขาคิดว่าบุตรชายและบุตรสาวสองคนยังพอใช้ได้ ทว่าตั้งแต่ที่หลิวหลีปรากฎตัวขึ้น จักรพรรดิก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่าง
“เสด็จพ่อ ข้าไม่เข้าใจ” หงซวี่งุนงง
“มู่หยาง เจ้าล่ะ” จักรพรรดิมองบุตรชายที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดและเปิดปากถาม
“เสด็จพ่อ ท่านหมายความว่าจักรพรรดิเซียนหลิวหลีทำเพื่อพวกข้า” มู่หยางได้สติ ใช่แล้ว ทำเพื่อเจ้าตำหนักทั้งสิบเช่นกัน โดยไม่นับเหลยจ้านที่สืบทอดตำแหน่งรัชทายาทและตำหนักเวิ่นเทียนก็เป็นข้อยกเว้น อย่างไรเสียจักรพรรดิเซียนหลิวหลีก็กลายเป็นราชาเซียนก่อนพวกเขา ความแตกต่างไม่ใช่น้อยๆ หากหลิวหลียังเป็นเจ้าตำหนักอยู่ พวกเขาที่เป็นเจ้าตำหนักเหมือนกับนางคงจะเป็นเหมือนเรื่องตลก หากจิตใจของพวกเขาไม่แข็งแกร่งก็อาจเกิดจิตมารขึ้นได้ ภายหน้าคงจะลำบากทีเดียว
“ใช่ จักรพรรดิเซียนหลิวหลีไม่ใช่คนโลกเดียวกันกับพวกเจ้า พัฒนาการของนางเร็วเกินไป เร็วจนทำให้ผู้อื่นฝังใจว่ายังเยาว์เช่นนี้เป็นราชาเซียน แต่ความเป็นจริงกลับบรรลุขั้นพลังที่ทุกคนต้องใช้เวลาทั้งชีวิตถึงจะได้สัมผัสมัน” จักรพรรดิจะไม่เข้าใจความกังวลของหลิวหลีได้อย่างไร นังหนูเป็นเด็กดี ไม่แน่ว่านางอาจบรรลุได้ในหมื่นปีอาจไม่ใช่เพียงความฝัน
“เสด็จพ่อ เรื่องนี้ข้าเข้าใจ เพียงแต่เหตุใดขุนนางเซียนของจักรพรรดิเซียนหลิวหลีถึงได้ปกครองตำหนักเวิ่นเทียนล่ะ” หงซวี่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ที่สุด เพื่อเรื่องนี้ เสด็จพ่อของนางถึงขนาดตั้งตำแหน่งรองเจ้าตำหนักที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้น
“พวกเจ้ายังมีหน้ามาพูด พวกเจ้าไม่เห็นแก่หน้าข้าจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้าสองพี่น้องมีใครรู้สึกได้ถึงขั้นพลังเซียนนภานพเก้าบ้างหรือยัง” จักรพรรดิมองบุตรชายและบุตรสาวแล้วถอนหายใจ แค่เห็นทั้งคู่ก็รู้สึกอับอายแล้ว
“ขุนนางเซียนของจักรพรรดิเซียนหลิวหลีผู้นั้นดูแลงานต่างๆในตำหนักเวิ่นเทียน ไม่เคยผลัดวันประกันพรุ่งเลยสักครั้ง พวกเจ้าดูเถอะ ทรัพยากรตำหนักเวิ่นเทียนเป็นเรื่องหนึ่ง ความขยันของตนเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าส่วนใหญ่เอาแต่หาความสบายจากการเป็นเจ้าตำหนัก วันนี้จัดงานเลี้ยง วันพรุ่งจัดงานฉลอง ไม่เคยสงบจิตใจแล้วฝึกฝนบำเพ็ญเพียร อย่าบอกว่าเป็นสิ่งจำเป็น เคยออกไปตามหาโชคชะตาของตัวเองกันบ้างไหม จะรอให้บุญวาสนาตกลงมาจากฟ้าหรืออย่างไร” ไม่บ่อยนักที่จักรพรรดิจะกล่าวกับบุตรชายและบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดเช่นนี้ ทำเอาสองพี่น้องก้มหน้าลงไปด้วยความอับอาย
“เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว” สองพี่น้องประสานเสียง
“หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจกันจริงๆ ใจของพวกเจ้าไม่ได้กว้างขวางเท่าจักรพรรดิเซียนหลิวหลี” จักรพรรดิส่ายศีรษะพลางกล่าว
“เสด็จพ่อ ลูกจะพยายาม เดี๋ยวข้าจะกลับไปเข้าฌาน หากไม่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าจะไม่ออกจากฌานเด็ดขาด” หงซวี่กล่าว
“มู่หยาง ข้าขอพูดกับเจ้าสักหน่อย เจ้าเป็นเซียนนักปรุงยา เคยไปหานักปรุงยาเจียงที่ตำหนักเวิ่นเทียนบ้างหรือไม่ อย่าได้มองว่าพลังของนักปรุงยาเจียงท่านนี้ไก่กา มีศิษย์เป็นจักรพรรดิเซียนหลิวหลี ไม่ว่าใครก็ให้เกียรติเขา ลูกข้า เจ้าควรไปไถ่ถามเรื่องวิชาปรุงยากับเขาบ้าง เจ้าจะได้รับความรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว ความสำเร็จในการปรุงยาของนักปรุงยาเจียงท่านนั้นจะต้องมีมากกว่าลูกแน่” จักรพรรดิพูดกับมู่หยางบุตรชายของตน
“เสด็จพ่อ ลูกจะไปเยี่ยมเยียนเขา” เสด็จพ่อพูดขนาดนี้แล้ว ไปพบเขาไม่แน่ว่าอาจได้ความรู้กลับมาบ้าง
“ผู้คนมากมายในโลกล้วนเป็นอาจารย์ได้ หงซวี่ มู่หยาง การเรียนรู้นั้นไร้ที่สิ้นสุด” จักรพรรดิพูดประโยคสุดท้ายออกมาจากใจ
หลังจากพูดคุยกันแล้ว มู่หยางไปเข้าพบเจียงหรูชวนด้วยความจริงใจ เจียงหรูชวนยังคงระมัดระวังในตอนแรก แต่หลังจากที่คุยเรื่องปรุงยาก็เริ่มสบายๆ และไม่ปิดบังอะไร โดยเฉพาะความรู้เรื่องการแบ่งจิตที่ศิษย์มาบอกเขานั้นถือเป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดที่มู่หยางได้รู้ และเข้าใจว่าหนี่งจิตสามารถทำเรื่องอะไรหลายๆอย่างได้ หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก มู่หยางได้รับความรู้ไปอย่างท่วมท้นและยังเข้าใจอีกว่าเรื่องที่ดูเป็นไปไม่ได้มากมาย ทำได้เพียงลองดูด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะยืนยันได้ว่าสิ่งใดทำได้และไม่ได้ ไม่ควรปฏิเสธมันเพียงเพราะผู้อื่นบอกว่าทำไม่ได้ เขาขอบคุณเจียงหรูชวนอย่างเป็นหลักเป็นการแล้วกลับไปเข้าฌาน หลังจากนั้นไม่นานวังนภาเพลิงก็มีเจ้าตำหนักที่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าคนที่สามถือกำเนิดขึ้น จักรพรรดิพอพระทัยกับเรื่องนี้มาก หงซวี่กลับตำหนักไปมอบหมายงานให้ขุนนางเซียนแล้วจึงเข้าฌาน และก็ทำได้จริงๆ หากไม่บรรลุขั้นเซียนนภานพเก้าก็จะไม่ออกฌาน
จักรพรรดิพอพระทัยกับการเปลี่ยนแปลงของบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองมาก อย่างไรเสียตนเองก็ช่วยเหลือได้ไม่มากนัก ที่สำคัญคือเด็กทั้งสองต้องเข้าใจด้วยตัวเองถึงจะเป็นของตนเองได้