เมื่อแน่ใจว่าเยี่ยชิงขวงตายจนฟื้นคืนชีพไม่ได้อีก หลิวหลีก็เก็บแผนผัง 8 ทิศกับวงกลมหยินหยางกลับเข้าไป เพลิงเซียนทั้ง 10 ชนิดจึงกลับเข้าไปในร่างกายหลิวหลีอีกครั้ง
“รายงาน จักรพรรดิ ไม่รู้ว่ามีอะไรกัดกร่อนดินแดนเรา ถึงได้เกิดความแห้งแล้งขึ้น”
“จักรพรรดิ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดอยู่ๆจึงมีพื้นที่แห้งแล้งปรากฏขึ้น ไม่มีใครกล้าสัมผัส หากสัมผัสโดนก็จะตายในทันที”
“ไม่ต้องรีบร้อน” หลิวหลีกล่าว เจ้าคนแซ่เยี่ยชอบมาไม้นี้ เจ้าทำให้ข้าตาย ข้าก็จะให้พวกเจ้าทุกคนลงหลุมไปด้วยกัน เฮ้อ นางฉีกมิติของนางเพื่อช่วยโลกเบื้องล่าง ครั้งนี้ต้องเสียสละอะไรอีกแล้ว นางเข้าใจแล้วว่านางกับคนแซ่เยี่ยดวงข่มกันจริงๆ
“ท่านพี่” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียน แววตาเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
“ข้าเข้าใจ” ทำไมหนานกงเวิ่นเทียนจะไม่เข้าใจแววตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายของหลิวหลีว่านางหมายความว่าอะไร ชะตาของเขาสองคนต้องไม่ถูกกับคนแซ่เยี่ยแน่
หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนหลับตาลง ร่างกายเริ่มทอประกาย ปราณกำเนิดเซียนภายในร่างกายของนางและนหานกงเวิ่นเทียนปรากฏขึ้นข้างนอก ปราณก่อนกำเนิดเซียนส่องแสงสีทองประกายจนน่ากลัว ทันใดนั้นเองปราณก่อนกำเนิดเซียนก็ลืมตาขึ้น กลายเป็นมังกรกับหงส์ตัวน้อย บินขึ้นไปบนฟ้า แล้วแสงสีทองบนร่างกายโปรยปรายลงบนพื้น ทุกบริเวณที่แสงตกกระทบลงไปก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“นี่คือพลังเทพหรือ?” จักรพรรดินภาพสุธายื่นมือออกมา พวกเขาต่างก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างเยี่ยชิงขวงกับหลิวหลี นึกไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปแค่ร้อยปี สองสามีภรรยาคู่จะกลายเป็นร่างครึ่งเทพและยังมองออกด้วยว่าปราณก่อนกำเนิดเซียนของพวกเขาสามารถเรียกว่าเป็นปราณก่อนกำเนิดเทพได้แล้ว แถมยังกลับเป็นปราณก่อนกำเนิดเซียนได้อีก ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ
“ใช่ น่าจะใช่ เยี่ยชิงขวงบอกไว้แล้ว นอกจากมีมหาเทพ ไม่เช่นนั้นพวกเราทุกคนจะต้องลงหลุมตามไปกับเขา ข้าเริ่มเจ้าใจแล้วว่ามังกรหงส์มงคลนั้นหมายถึงอะไร” จักรพรรดินภาเพลิงกล่าว
เมื่อมองมังกรสีรุ้งกับหงส์เหมันต์ในอากาศ ก็เข้าใจทันทีว่าสัญลักษณ์มลคลที่ว่าคืออะไร แค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงความมงคลในใจ
“รายงาน ฝ่าบาท มีมังกรสีรุ้งกับหงส์เหมันต์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แสงสีทองที่ไม่รู้ว่าคืออะไรโปรยปรายลงมา ทำให้พื้นที่แห้งแล้งพวกนั้นกลับมามีชีวิตเช่นเดิม หรืออาจจะอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ” คนรายงานใบหน้าตื่นเต้น
“รู้แล้ว เป็นผลงานของจักรพรรดิเทพเซียนหลิวหลีกับจักรพรรดิเทพเซียนเวิ่นเทียน” จักรพรรดิโบกมือน้อยๆ
“จักรพรรดินภาเพลิง ทหารสวรรค์ในตำหนักเวิ่นเทียนของท่านสามัคคีกันจริงๆ เมื่อรวมตัวกันแล้วทำให้ทรงพลังอย่างประหลาด” จักรพรรดินีนภาธาราพูดอย่างชื่นชม
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก อวิ๋นเฟย เจ้าช่วยอธิบายให้จักรพรรดิทุกท่านได้ทราบหน่อย” จักรพรรดินภาเพลิงเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน นางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับจักรพรรดิท่านอื่นๆ
“ขอรับ ตอนที่เจ้าตำหนักหลิวหลียังอยู่ เคยมาประลองฝีมือพร้อมให้คำแนะนำแก่พวกข้า กล่าวว่าหากพวกเรารวมกัน ก็จะเปี่ยมพลังไม่สิ้นสุด และได้ให้พวกเราจับกลุ่มกันได้อย่างอิสระ และวางใจในตัวสหายเซียนรุ่นหลังถึงได้มีกลุ่มที่ท่านเห็นในตอนนี้” อวิ๋นเฟยอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่เป็นสิ่งที่นายท่านสร้างขึ้น และก็พิสูจน์แล้วว่านี่สามารถรักษาชีวิตกันไว้ได้
“เจ้าตำหนักของข้าเหมือนจะไม่เคยประลองฝีมือกับขุนนางเซียนและทหารสวรรค์ภายในตำหนักมาก่อน” จักรพรรดินภาพสุธากล่าว
“ดูท่าแล้วควรตั้งกฎระเบียบในวังขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเจ้าตำหนัก อนาคตอาจกลายเป็นจักรพรรดิ แต่ขุนนางเซียนกับทหารสวรรค์ล้วนขึ้นตรงกับพวกเขา ก็ควรจะได้รับคำแนะนำและคำสั่งสอน เจ้าตำหนักอวิ๋นเฟย เคยเป็นขุนนางเซียนแล้วเป็นเจ้าตำหนัก คาดว่าส่วนหนึ่งคงเพราะหลิวหลี” ประโยคสุดท้ายของจักรพรรดินภาสุวรรณพูดกับอวิ๋นเฟย
“จักรพรรดินภาสุวรรณทรงพูดถูก แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนายท่านของข้า ขุนนางเซียนกับทหารสวรรค์ในตำหนักเวิ่นเทียนชอบประลองฝีมือกับนาง แม้ว่าทุกครั้งจะโดนโจมตีจนเละเทะแต่ก็ได้อะไรกลับมา ขุนนางเซียนจื่อจู่ในตำหนักเวิ่นเทียนของข้า มีพลังบำเพ็ญเพียรก็อยู่ในขั้นเทพเซียนนภานพเก้า ชิงหลิ่วกับสวี่เซินเองก็เริ่มสัมผัสได้ขอบเขตพลังได้แล้ว เหลือแค่กลับไปเข้าฌาน ก็จะบรรลุขั้นเทพเซียนนภานพเก้า ทหารสวรรค์ 5 คนก็สัมผัสได้ถึงขอบเขตพลังขั้นเทพเซียนนภานพเก้า” อวิ๋นเฟยพูดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งภูมิใจมากขึ้น ตำหนักเวิ่นเทียนของพวกเขาเพียงตำหนักเดียว เทียบได้เท่ากับทั้งวังนภาเพลิง
“จักรพรรดิเทพเซียนหลิวหลีแววตากว้างไกล พวกข้าละอายใจจริงๆ” ราชินีนภาพฤกษากล่าว
มังกรกับหงส์ตัวน้อยทำภารกิจของตัวเองเสร็จแล้ว ก็กลับเข้าร่างหลิวหลีกับเวิ่นเทียน ปราณก่อนกำเนิดเซียนที่เดิมมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ก็แห้งเหี่ยวลงไปเล็กน้อย จนปรากฏร่องรอยนั้นบนใบหน้าคนทั้งสอง
ทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็เกิดเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน แสงสีทองลอยเข้าปกคลุม ก่อนจะค่อยๆร่วงลงสู่พื้นดิน ทุกคนตรงนั้นต่างก็ได้รับไปไม่มากก็น้อย
“นี่คือแสงแห่งบารมี” จักรพรรดิมารเสียงสั่นพร่า นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีวันที่จะได้รับแสงแห่งบารมีด้วย
“ท่านน้าหลิวหลี ท่านน้าเขย” เสียงของปิงเซียวกับเหลยรุ่ยทำให้ทุกคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสามีภรรยาคู่นี้ แสงแห่งบารมีคลุมร่าง จนพวกเขาไมาอาจลืมตา หลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่าแสงแห่งบารมีบนตัวหลิวหลีกับเวิ่นเทียนหนาแน่นที่สุด รองลงมาคือเหลยรุ่ยกับปิงเซียว
“สมแล้วที่เป็นผู้เปี่ยมบารมี”
“อาศัยแสงแห่งบารมีนี้ เดิมพวกข้าเป็นจักรพรรดิเทพเซียนได้เพราะยาศักดิ์สิทธิ์ จะต้องอยู่ในขั้นจักรพรรดิเทพเซียนเป็นเวลายาวนาน แต่ตอนนี้ขอแค่บำเพ็ญเพียรไปตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถบรรลุได้เอง” จักรพรรดินภาพสุธาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย เหมือนมีของบางอย่างหายไปถูกแสงแห่งบารมีเข้า ส่งผลให้รู้สึกเบาสบายขึ้นมาก จักรพรรดิที่เหลือก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน
มังกรน้อยภายในร่างหลิวหลีเมื่อกลับเข้าไปในร่างของนางแล้วก็หม่นหมองไม่กระฉับกระเฉง ปราณก่อนกำเนิดเซียนที่คุ้นชินกับพลังเทพ รู้สึกไม่คุ้นชินกับพลังเซียนที่เพิ่มขึ้นของนาง หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นเดียวกัน หงส์น้อยตัวเล็กลงไปมาก ทำให้คนอดรู้สึกสงสารไม่ได้ แสงแห่งบารมีสาดส่องลงมา ถึงแม้จะคลุมทั่วตัวหลิวหลี แต่ส่วนมากก็ถูกปราณก่อนกำเนิดเซียนของทั้งสองคนดูดซึมเข้าไป และเพราะด้านในมีพลังเทพ ปราณก่อนกำเนิดเซียนน้อยทั้งสองดูดซึมแสงแห่งบารมีอย่างหิวโหย
ในเวลานี้เองหลิวหลีกับเวิ่นเทียนสัมผัสอะไรได้บางอย่าง หลังจากดูดซึมแสงแห่งบารมีแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็จะบรรลุเป็นเทพแล้ว อีกทั้งยังเป็นการบรรลุที่ไม่ต้องผ่านวิบากเคราะห์เสียด้วย
“น้องพี่ ครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน ข้าก็จะหาเจ้าให้เจอ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์ในโลกเซียนจะเป็นอย่างไร จากโลกบำเพ็ญมาสู่โลกเซียน ทั้งที่ในตอนบรรลุเป็นเซียนพวกเขาสองคนจับมือกันไว้ แต่สุดท้ายกลับถูกแยกออกจากกัน ครั้งนี้ไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ก็จะต้องหาอีกคนให้เจอ
“ท่านพี่วางใจ ข้าจะตามหาท่านจนเจอแน่” หลิวหลีเองคิดอะไรออก ทั้งสองยิ้มให้กันขณะสบตา ความรู้สึกทั้งหมดที่ฉายชัดในดวงตา
“ปิงเซียว เหลยรุ่ย วังเซียนของข้า ข้ามอบให้กับพวกเจ้า 2 คนพี่น้อง ถึงแม้พวกเจ้าสองคนจะเป็นจักรพรรดิเทพเซียนเร่งรัด แต่สวรรค์ยอมรับความดีความชอบของพวกเจ้า ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่โลกเบื้องบน” หลิวหลีพูดกับสองพี่น้อง และแล้ววังเซียนในร่างนางก็ปรากฏขึ้น เพราะถูกปกคลุมไปด้วยแสงแห่งบารมี จึงทำให้วังเซียนแห่งนี้ดูลึกลับเป็นพิเศษ ทั้งสองคนยกเลิกพันธนาการ และมอบวังเซียนแห่งนี้ให้สองพี่น้อง
“ท่านน้าหลิวหลี ท่านน้ากับท่านน้าเขยจะบรรลุแล้วหรือ?” ปิงเซียวคาดเดา
“ใช่แล้ว บรรลุโดยไม่ต้องผ่านวิบากสวรรค์ แล้วเราไปเจอกันในโลกเทพนะ” หลิวหลีพยักหน้า หลิวหลีดีดก้อนแสงออกไป ร่วงลงในมือของเอ๋าเลี่ย
“อาเลี่ย เก็บของสิ่งนี้ไว้ให้ดี บรรลุขั้นได้โดยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ดี หากไม่ได้ ก็ให้กินยาเซียนเม็ดนี้เข้าไปเสีย”
“นังหนู คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบรรลุเป็นเทพเร็วขนาดนี้” เอ๋าเลี่ยนึกถึงตอนนั้นที่บรรลุเป็นเซียนพร้อมกัน แต่ตอนนี้หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนกลับนำหน้าพวกเขาไปหนึ่งก้าว
“เมื่อแสงแห่งบารมีสลายไป ก็จะมีแสงนำทางปรากฏขึ้น” เมื่อหลิวหลีพูดจบ แสงแห่งบารมีบนตัวก็หายไป ปรากฏแสงนำทางขึ้นและพวกเขาสองคนก็เดินตามลำแสงนั้นไป
“อายุไม่ถึงพันปีบรรลุเป็นเซียน อายุไม่ถึงหมื่นปีบรรลุเป็นเทพ เป็นสุดยอดผู้ถูกเลือกจริงๆ” เอ๋าเฟิงกล่าว
คนที่เหลือต่างก็เห็นด้วย เริ่มมีไฟปะทุขึ้นในใจ พวกเขาก็จะต้องมีวันนี้เช่นเดียวกัน
……………………………………………….