สองสามีภรรยาไม่ขัดขืน ปล่อยตัวไปตามแรงดึงดูด พวกเขาไม่ได้บอกอะไรใคร เพราะเชื่อว่าคนอื่นต้องเข้าใจ จนกระทั่งสองสามีภรรยาลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แปลกตา เห็นภูเขาลูกใหญ่สูงเสียดฟ้า แต่ละตำแหน่งบนเขาต่างก็มีคนอาศัยอยู่ ตำแหน่งที่พวกเขาสองสามีภรรยาอยู่คือกึ่งกลางของช่วงด้านล่างของภูเขา เมื่อทั้งสองคนมองลงไปข้างล่างก็พบว่าด้านล่างของพวกเขามีคนอาศัยอยู่ไม่น้อย แต่ยิ่งสูงขึ้นไปกลับมีคนอาศัยอยู่น้อยลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านบนของภูเขา คำว่าคนควรเดินขึ้นที่สูงอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี หลิวหลีพบว่า บนยอดของภูเขามีตำหนักที่มีส่องแสงประกายอยู่สามตำหนัก แล้วมีหลายตำหนักที่มืดมิด นั่นก็คือตำหนักของเทพที่แท้จริง นางเหลือบมองตำหนักสีแดงที่อับแสงอยู่ นั่นคืตำหนักของนางในอนาคต ไม่ถูกสิ นางไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับมัน ตำหนักไม่ได้มีแรงดึงดูดนางเป็นพิเศษ ถ้าเช่นนั้นนางคงไม่ได้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคี เป็นไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่ดึงดูดนางก็คิอ นางเสสายตาจากตำหนักรอบๆ ด้านในดูเหมือนจะมีอีกหนึ่งตำหนัก ตำหนักนั้นถึงจะเป็นสถานที่ดึงดูดนางจริงๆ อีกทั้งนางพบว่า เมื่อเมล็ดพันธุ์เทพในร่างกายเห็นตำหนักนั้นก็กระโดดโลดเต้นมากกว่าเดิม ตำหนักนั้นคือตำหนักอะไรกันแน่นะ
“น้องพี่ ตำหนักสีฟ้าเหมันต์นั้นดึงดูดข้าอย่างมาก” หนานกงเวิ่นเทียนมองตำหนักของเทพเหมันต์ที่ยังอับแสงด้วยใจที่เต้นระเร็วขึ้นเล็กน้อย บวกกับความปิติยินดีของเมล็ดพันธุ์เทพภายในร่างกาย ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า ตนน่าจะได้ครอบครองตำหนักนั้นแน่นอน
“ของข้าเป็นตำหนักสีแดงหลังนั้น” หลิวหลีรู้สึกว่าถ้ายังไม่รู้ดีพอ ก็อย่าเพิ่งป่าวประกาศในสิ่งที่แปลกไปจากคนอื่น ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องได้ เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ระมัดระวังเอาไว้น่าจะดีกว่า
“พวกเจ้าเป็นราชาเทพที่เพิ่งมาใหม่หรือ?”
“ใคร?” ทั้งสองคนกล่าวอย่างระมัดระวัง นี่ใคร อยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว
“ไม่ต้องกังวล ตั้งแต่มีเขาเทพลูกนี้ ข้าก็รับผิดชอบดูแลเขาลูกนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่” ผู้เฒ่ากล่าว
“ไม่ทราบว่าพวกข้าต้องเรียกท่านผู้อาวุโสว่าอย่างไร” หลิวหลีถามอย่างมีมารยาท
“เรียกข้าป๋อเหยียนก็พอ”
“ผู้อาวุโสป๋อเหยียน” สองสามีภรรยาเรียกอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ไม่เลว พวกเจ้าใช้ได้ทีเดียว นานทีจะเจอเด็กที่มีมารยาทเช่นนี้ แต่ละคนเป็นเพียงแค่ผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพเท่านั้น แต่กลับมองคนผ่านปลายจมูก ไม่ได้รู้เลยว่าตนเองเป็นใคร” เมื่อพูดถูกผู้ท้าชองตำแหน่งเทพพวกนั้น ป๋อเหยียนกล่าวอย่างดูแคลน
“ข้าจะลองดูฉายาให้กับพวกเจ้าสองคน ฉายาเป็นสิ่งที่จะต้องประกาศให้คนทั้งโลกเทพได้รับรู้” ไม่รู้ว่าป๋อเหยียนเห็นอะไร แต่ผลที่ออกมาสร้างความประหลาดใจให้เขาเล็กน้อย เขาหรี่ตามองสองสามีภรรยาที่เปี่ยมมารยาทตรงหน้าคู่นี้
“เป็นเด็กดีมีมารยาทจริงๆ เด็กที่นอบน้อมเช่นนี้ ชะตาชีวิตย่อมไม่ตกอับ เด็กผู้หญิงทางนั้น ข้าเชื่อในตัวเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้กับเจ้าก่อน” ป๋อเหยียนมองหลิวหลีอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ่งดูก็ยิ่งพอใจ นี่เป็นลักษณะท่าทางที่ควรจะมี แล้วเขาก็ชี้ไปที่บนฟ้า
แล้วตัวอักษรสีเงินสองบรรทัดก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
“หลงหลิวหลี ราชาเทพองค์ใหม่ ฉายาราชาเทพอัคคีที่แท้จริง”
“หนานกงเวิ่นเทียน ราชาเทพองค์ใหม่ ฉายาราชาเทพเหมันต์บริสุทธิ์”
“นี่คือราชาเทพองค์ใหม่ ความหมายที่แฝงในฉายาทำให้คนคิดไปได้ไกล”
“อัคคีที่แท้จริง เหมันต์บริสุทธิ์ เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ”
“ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองก็รู้ฉายาของตัวเองแล้ว พวกเจ้าต้องพยายาม ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้า โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงคนนั้น ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่พวกเจ้าเอง” ป๋อเหยียนพูดจบก็หายตัวไป
“ขอบคุณผู้อาวุโสป๋อเหยียน” หลิวหลีรู้สึกตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะมองเห็นความต่างของตนเอง
“น้องพี่ ที่นั่นน่าจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเรา” หนานกงเวิ่นเทียนชี้บ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก กระท่อมที่เรียบง่าย เป็นคำอธิบายว่าผู้บำเพ็ญเพียรไม่ใส่ใจของนอกกายได้เป็นอย่างดี
“อืม” มีอะไรก็ค่อยกลับไปพูดกัน
“ถึงแม้ข้างนอกจะดูเฉยๆ แต่ด้านในดีมาก และยังเป็นส่วนตัวมากด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนพอใจเรื่องนี้ที่สุด เขายังกังวลว่าคนอื่นจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับภรรยา แต่ดูแล้ว เขาคงคิดมากไปเอง ภูเขาเทวายังให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวอยู่
“ใช่ ท่านพี่ เมื่อครู่ตอนอยู่ด้านนอก บางอย่างข้าก็ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ตำหนักที่ข้าชอบไม่ใช่ตำหนักสีแดงนั้น” หลิวหลีก็พอใจเช่นเดียวกัน จึงกล้าพูดความจริงกับสามีของตัวเอง
“ไม่ใช่ตำหนักสีแดง ไม่ใช่เทพอัคคี น้องพี่ เจ้าจะเป็นเทพที่แท้จริงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ น่าจะชอบตำหนักของเทพอัคคีจึงจะถูก” อยู่ๆหนานกงเวิ่นเทียนก็นึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับมหาเทพสูงสุดในวันแรกที่เขามาถึงโลกเทพ ไม่ใช่หรอก เป็นเทพสูงสุดหรือ จะบังเอิญเป็นภรรยาของเขาได้อย่างไร
“อืม เป็นเช่นนี้จริงๆ ตำหนักเทพอัคคีดึงดูดข้าได้เพียงเล็กน้อย แต่ด้านในมีอีกตำหนักซ่อนอยู่ ตำหนักนั้นดึงดูดข้ามากกว่า” หลิวหลีบอกว่าตำหนักที่อยู่ด้านในดึงดูดนางมากกว่า
“มหาเทพสูงสุด” หนานกงเวิ่นเทียนพูดออกมา ดังนั้นอันที่จริงเมื่อครู่ตัวตนภรรยาของเขาถูกเปิดเผยแล้ว แต่อีกฝ่ายมีมารยาท ผู้อาวุโสท่านนั้นจึงช่วยปิดบัง เป็นไปตามที่เขาเข้าใจกระมัง
“ใช่ ดังนั้นการมีมารยาทถือเป็นเรื่องสำคัญ” หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสท่านนั้นเมตตา ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
“ใช่ น้องพี่ ต่อไปนี้พวกเราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” อยู่ๆหนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกเหมือนรอดพ้นจากวิบากกรรม ผู้อาวุโสท่านนี้ทำให้พวกเขามีเวลามากขึ้น
“ใช่แล้ว นี่ถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริง เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นด้านนอกยังทำให้วุ่นวายใหญ่โตได้ขนาดนั้น” หลิวหลีส่ายหัว เรื่องในสำนักเป็นแค่เรื่องเด็กน้อยเท่านั้น นี่จึงจะเรียกว่าการเริ่มต้นที่แท้จริง
“ท่านพี่ ถึงแม้ผู้อาวุโสท่านนี้จะปล่อยพวกเราไป แต่ก็ยังทิ้งเรื่องไว้ให้เรา ท่านก็เห็นฉายาของพวกเราสองคน เมื่อพวกเราได้กลายเป็นเทพที่แท้จริง พวกเราก็จะได้รับฉายานี้โดยสมบูรณ์ พวกเราต่างก็เข้าใจในความนัยของ อัคคีที่แท้จริง เหมันต์บริสุทธิ์เป็นอย่างดี” แต่ว่าต้องมีการแข่งขัน ถึงจะมีแรงกดดัน ความสงบสุขอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป พวกเขาจำเป็นจะต้องประลองฝีมือเพื่อพัฒนาตัวเอง
“ใช่ อัคคีที่แท้จริง ไม่รู้ว่าฉายาผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพอัคคีคนอื่นคืออะไรบ้าง เมื่อฉายานี้ปรากฏขึ้น คนอื่นต้องไม่พอใจแน่” หนานกงเวิ่นเทียนวิเคราะห์
“อย่าว่าแต่ข้าเลย ท่านพี่ก็เช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่เราสองคนคุยกันเสร็จ ข้าว่าต้องมีคนอยากทักทายเราแน่” หลิวหลีถอนหายใจ จะต้องมีคนอยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้นแน่ เฮ้อ พวกเขาสามีภรรยาไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย
“ใช้เบี้ยป้องกันแม่ทัพ น้ำไหลหลากก็ใช้ดินขวาง พวกเราไม่กลัวหรอก” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ก็จริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าบนภูเขาแห่งนี้มีกฏอะไรบ้าง” หลิวหลีอยากจะทำความเข้าใจกฏของเขาลูกนี้ ตัวเองจะได้รับมือได้ถูก
แล้วหนังสือเล่มหนึ่งก็ลอยมา ซึ่งคือกฏระเบียบที่นางพูดถึง ง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ผู้ชนะมีอำนาจมากกว่า แต่ห้ามประลองรอบ 2 ทันทีหลังจากสิ้นสุดการประลองรอบแรก ถือว่ายังค่อนข้างคล้ายกับโลกมนุษย์ แต่พวกเขาสองคนยังตกใจกับคำสุดท้ายไม่น้อยเช่นกัน “ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย”
………………………………