อวิ๋นชิงรู้ว่าหลงหลิวหลีเป็นคนที่โหดร้ายเมื่อตอนที่เลือดร้อนอยากจะลองประลองกับนางดูสักครั้ง ผลปรากฏว่านังหนูคนนั้นย้ำนักย้ำหนาว่าตัวเองเป็นนักปรุงยาที่จำเป็นต้องมีคนมาปกป้อง ฝีมือการต่อสู้ไม่ได้เรื่อง อวิ๋นชิงไม่เชื่อ อย่างไรก็จะประลองให้ได้ ผลปรากฏว่า
“ก็บอกแล้วว่าฝีมือการต่อสู้ของข้าไม่ได้เรื่อง” หลิวหลีกระพริบตาอย่างไม่สะทกสะท้าน เฮ้อ ก็บอกแล้วว่าฝีมือการต่อสู้ของนางไม่ไหว
“นังหนู เจ้าไม่ต้องถ่อมตนได้ไหม” อวิ๋นชิงเอามือจับปลายผมที่ถูกเผา หยามกันชัดๆ เขาเป็นถึงประมุขเทพ แต่กลับถูกราชาเทพเขาเส้นผม เพราะฉะนั้น เขาก็เลยรู้สึกว่า นังหนูคนนี้ไม่ใช่ราชาเทพธรรมดาจริงๆด้วย ถึงแม้เขาจะเอามืออยู่บ้าง แต่นังหนูคนนี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายอย่างที่เห็น
“การถ่อมตนถือเป็นคุณธรรมที่ข้ายึดถือ” หลิวหลียิ้มยิงฟัน พูดกวนๆ
“พี่หนานกง พวกเรามาลองประลองกันดูดีหรือไม่?” อวิ๋นชิงอยากจะลองทดสอบความสามารถของสามีภรรยาคู่นี้
“ได้” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
“พระเจ้า พวกเจ้าสองสามีภรรยา ช่างวิปริตจริงๆ” อวิ๋นชิงไม่รู้จะพูดอะไร เขาต้องรู้สึกเป็นเกียรติขนาดไหน ที่นังหนูเลือกมาอยู่ก๊กเขา หากเลือกที่อื่น เขาคงต้องร้องไห้ไปหลายวัน อวิ๋นชิงสะบัดน้ำแข็งที่ชายเสื้อ
“พี่อวิ๋น พี่ล้อข้าเล่นแล้ว” ถึงแม้หลิวหลีจะพูดยิ้มๆ แต่น้ำเสียงที่เย็นชานั้นไม่อาจปิดบังไว้ได้มิด ท่าที่บอกว่าหากเจ้าปฏิเสธ พวกเราก็จะลุยต่อ หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆก็เตรียมรวบรวมพลัง
“ล้อเล่น แน่นอนว่าเป็นการล้อเล่นอยู่แล้ว” อวิ๋นชิงรีบยกมือโบกไปมา สามีภรรยาคู่นี้ เหมือนปีศาจจริงๆ ไม่ใช่ น่าจะเป็นพวกวิปริตมากกว่า อีกทั้งยังประคองพลังได้นาน เขามั่นใจได้เลยว่า ราชาเทพ 10 คนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามีภรรยาคู่นี้ เขาได้กำไรจริงๆ
“ก็บอกแล้วว่าข้าเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอ ไม่สามารถสู้รบได้” หลิวหลีไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหน้าหนาเลยแม้แต่น้อย เวลาที่พูดประโยคเช่นนี้ออกมา
“ใช่ๆ เจ้าเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอ” เป็นนักรบที่พลังต่อสู้เหลือล้นชัดๆ ดังนั้นทำไมคนผู้นี้ถึงมีฝีมือในการปรุงยาได้ดีขนาดนี้ อวิ๋นชิงลูบคางแล้วเริ่มคิดวิเคราะห์
นังหนูคนนี้จะต้องปิดบังอะไรบางอย่างไว้อยู่แน่ อัคคีที่แท้จริง เดาว่านังหนูคงจะเป็นยอดฝีมือในการควบคุมเพลิง อืม ถึงจะบอกว่าที่นี่ตัดขาดจากสำนักที่อยู่ด้านนอก แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการหาข่าวของพวกเขา ลองถามคนอื่นดูสักหน่อย เขารู้สึกว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา
หลังจากฟังรายงานจากลูกน้อง อวิ๋นชิงก็นิ่งเงียบอยู่นาน พระเจ้า เขาไม่ได้แค่รับแม่ทัพสองคนมาเท่านั้น เขาได้เครือข่ายคนมาด้วยชัดๆ แถมเป็นเครือข่ายที่เปี่ยมพลังต่อสู้เสียด้วย เขาต้องตั้งสติสักเดี๋ยว
“เป็นต้นแบบของคนในสำนัก อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ก็สามารถต่อสู้กับคนในขอบเขตแม่ทัพเทพได้ แม้บาดเจ็บสาหัสก็ยังเอาชนะแม่ทัพเทพทั่วไปได้ เป็นดั่งตำนาน อีกทั้งเพื่อนของนางยังเป็นถึงอสูรเทพระดับสุดยอด ฝีมือในการต่อสู้คงไม่ต้องพูดถึง” ดังนั้นที่หลิวหลีเลือกเขา เท่ากับว่าสิ่งที่เขาได้มานั้นไม่ใช่แค่พวกเขาสองสามีภรรยา
แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คืออายุของทั้งสอง เยาว์วัยจนเกินไปแถมยังบรรลุขั้นพลังได้รวดเร็ว ไม่รู้ในภายหน้าใครจะเป็นนายใครด้วยซ้ำ ดังนั้น เขาควรจะอาศัยตอนที่พวกเขายังไม่บรรลุ ทำให้คนทั้งสองเป็นทาสของเขาดีไหมนะ ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในหัวเขา แต่ก็รู้สึกได้ว่าคนทั้งสองนั้นดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ฉะนั้นเขาต้องครุ่นคิดดูก่อน แต่ก่อนอื่นต้องคิดว่าจะคบค้าสมาคมกับพวกเขาอย่างไร อย่างไรเสียคนที่มีความสามารถด้านการปรุงยาและสู้รบนั้นก็มีไม่มาก
“นังหนู เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป เจ้าควรจะปรุงยาแล้วกระมังอย่างไรเสียตอนนั้นเจ้าก็แจกยาเทพศักดิ์สิทธิ์ไปจำนวนมาก มีคนไม่น้อยที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้” อวิ๋นชิงกล่าว มีคนมาพูดเรื่องนี้กับเขาจริงๆ เพราะครั้งนั้นนังหนูไม่ใช่แค่ใจกว้างธรรมดา แต่ใจกว้างมาก ใจกว้างจนถึงขนาดทำให้เขาใจสั่น แจกยาเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้อื่นคนละ 10 เม็ด
“ข้าก็ตั้งใจแบบนั้นเหมือนกัน เพราะสิ่งที่ข้าจะให้คนอื่นได้ก็มีแค่ยาเทพศักดิ์สิทธิ์” นางเองก็ตั้งใจว่าจะปรุงยาจริงๆ ที่เขาพูดมันก็จริง นางแจกยาเทพศักดิ์สิทธิ์ไปไม่น้อย จำเป็นต้องปรุงเพิ่ม
“ไม่ทราบว่าข้าจะมีโอกาสได้เห็นเจ้าปรุงยาหรือไม่” อวิ๋นชิงกระเซ้า เพราะอย่างไรนักปรุงยาไม่ชอบให้คนนอกเห็นตอนพวกเขาปรุงยา แต่ว่าอวิ๋นชิงลืมไปว่า หลิวหลีไม่ใช่คนทั่วไป
“ได้สิ” หลิวหลีตอบตกลงทันที
“ดี” อวิ๋นชิงชะงักไป คิดไม่ถึงว่าจะตกลง นังหนูคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย คิดไม่ถึงว่าจะไม่ปกปิดเก็บงำอะไร
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะแอบขโมยเทคนิคการปรุงยาของเจ้าหรือ?” อวิ๋นชิงแหย่
“ไม่กลัว หากเจ้าทำได้ ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์” หลิวหลีไม่ห่วงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะนางปรุงยาต่างจากคนอื่น แต่เพราะความสามารถในการควบคุมไฟของนาง ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ นี่คือสิ่งที่นางมั่นใจ
มั่นใจขนาดนี้เชียวรึ แต่เมื่ออวิ๋นชิงได้เห็นฝีมือการปรุงยาของหลิวหลี เอาเถอะ เขาทำไม่เป็นจริงๆ ทำไมถึงมีคนปรุงยาได้น่ามองขนาดนี้ ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ ที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือ การควบคุมอุณหภูมิของไฟ และอัตราสำเร็จในการปรุงยา เขาไม่เคยเห็นนางล้มเหลว ดังที่นังหนูบอกว่าตัวเองจน จนเหลือแต่ยาเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง อัตราสำเร็จในการปรุงยากับเวลา มีแต่จะได้กำไรไม่มีขาดทุน ดังนั้นนังหนูคนนี้เป็นเหมือนเสือในถ้ำ อวิ๋นชิงกลืนน้ำลาย แอบถูมือไปมา เท่ากับว่าเขาได้ของล้ำค่าอย่างยิ่งจริงๆ
เมื่อผ่านไปสักพัก อวิ๋นชิงก็พบปัญหาที่เขามองข้ามไป เขาดูมาตั้งนานแล้ว แต่นังหนูไม่พูดว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง บนใบหน้าก็ไม่มีร่องรอยความอ่อนล้าแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เขาออมมือ นังหนูคนนี้ไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดออกมาด้วยเช่นกัน ทำไมเข้าถึงไม่ยินดีกับการค้นพบนี้ขนาดนี้นะ ในขณะเดียวกัน ก็แอบตัดสินใจว่า จะฝึกฝนบำเพ็ญเพียรให้ดี ไม่เช่นนั้นหากถูกตามทัน โชคชะตาของเขาก็อาจจะย่ำแย่ได้
“จบกัน ดูเหมือนข้าจะลืมอะไรไป” หลิวหลีตั้งสติได้ทันที นางปรุงยาเพลินเกินไปจนลืมตัว ลืมปิดบังความสามารถที่แท้จริง หมอนี่
“ลืมอะไรหรือ?” อวิ๋นชิงงุนงง ปรุงยาไม่พลาด คุณภาพเป็นที่รับประกัน มีอะไรผิดปกติหรือ
“ลืมปิดบังความสามารถที่แท้จริง เจ้าว่า เจ้าได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ข้าควรจะสังหารเจ้าเพื่อปิดปากหรือไม่” หลิวหลีส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ หึ ถึงแม้ว่านางจะลืม ตัว แต่ทำไมไม่เห็นว่าคนผู้นี้เป็นคนนอก หนางออกจะสับสนเล็กน้อย
“นังหนู เจ้าล้อเล่นหรืออย่างไร” อวิ๋นชิงอึ้ง นี่เป็นเรื่องล้อเล่นใช่ไหม หลงหลิวหลี ล้อเล่นใช่ไหม
“ไม่ใช่ เจ้าเห็นความสามารถที่แท้จริงของข้าแล้ว เจ้าคิดว่าข้ากับสามีของข้าร่วมมือกันจะกำจัดเจ้าไม่ได้หรือ” หลิวหลีพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แค่กๆ เรื่องนี้ ข้าคิดว่าเอาผลประโยชน์ปิดปากก็พอได้อยู่” อวิ๋นชิงรู้สึกเหมือนตนเองได้ทำความรู้จักนังหนูคนนี้ใหม่อีกครั้ง นางช่างเป็นคนชื่นชอบความรุนแรง อะไรคือบอบบางไร้พลังต่อสู้ แต่ก่อนไม่เชื่อ ตอนนี้ยิ่งไม่เชื่อกว่าเดิม ดูสิ ปรุงยามาตั้งนานขนาดนี้ ยังกล้าหาเรื่องตนเอง ทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่ได้หาลูกน้อง แต่กลับได้เจ้านายมาแทน รูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกเขาได้สนิทเลย
“อย่างนั้นหรือ ไม่ทราบว่าท่านเทพหมื่นพฤกษาต้องการอะไรหรือ” หลิวหลีถามต่อ
“เจ้าปรุงยาออกได้ตั้งมากมาย ข้าไม่ขออะไรมาก เจ้าใจกว้างให้คนนอกถึง 10 เม็ด ข้าเอาแค่ครึ่งหนึ่ง 5 เม็ดก็พอ” อวิ๋นชิงยื่นมือออกไปแล้วพูดขึ้น
“คนนอกหรือ? ขอถามหน่อยว่าท่านเทพพฤกษากลายมาเป็นคนในของข้าตั้งแต่เมื่อไรหรือ” คำว่า ‘คนใน’ ที่ออกมาจากปากนางช่างชัดถ้อยชัดคำ
“จะว่าไปแล้ว นังหนูเจ้าพูดจาดีๆหน่อยไม่ได้งั้นหรือ จะเรียกข้าว่าท่านเทพหมื่นพฤกษาทำไม ฟังแล้วห่างเหินจะตายไป”
………………………………………..