“อ๊า” เหลยหยางคำรามเสียงดัง พลังในร่างกายไหลพรั่งพรูสู่ภายนอกราวควบคุมไม่ได้ หลิวหลียืนนิ่งได้อย่างหวุดหวิด หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน อวิ๋นชิงถอยไปข้างหลังด้าวหนึ่ง โดยได้คนพยุงไว้
“พวกเจ้าก็ช่างกล้ากันจริงๆ ถอนพิษให้กับจักรพรรดิเทพ โดยที่ไม่ได้เตรียมการอะไรสักอย่าง” เสียงของอวิ๋นเหมียวลอยเข้ามา
“ท่านพ่อ” อวิ๋นชิงประหลาดใจน้อยๆ ท่านพ่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“ไม่ต้องคิดมาก ตั้งแต่การประลองข้างนอกเริ่มต้นขึ้น พ่อก็อยู่ที่นี่แล้ว และข้าก็สร้างเนวเจตต้องห้ามเอาไว้ข้างนอกแล้ว ไม่มีใครเข้ามารบกวนได้” อวิ๋นชิงรู้ว่าลูกชายของตัวเองจะพูดอะไร จึงชิงพูดสิ่งที่เขาอยากจะรู้ก่อน
“ขอบคุณท่านพ่อ” อวิ๋นชิงโล่งใจ
“เจ้าเนี่ยนะเทียบนังหนูไม่ติดเลย แทบจะเทียบเจ้าหนุ่มนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ คาดว่านังหนูคนนั้นคงรู้ว่าพ่ออยู่ที่นี่นานแล้ว ถึงได้ยอมลงมือ เป็นเด็กที่ใจกล้าจริงๆ” ถึงอวิ๋นชิงจะพูดเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกชื่นชม ใจกล้าและละเอียดอ่อน นังหนูคนนี้ไม่เลว
“ท่านพ่อ ข้าจะพยายาม” เรื่องนี้ก็เป็นการเตือนสติเขา เขาจำเป็นต้องพยายาม ถูกเปรียบเทียบกับจิ่งซู่เจ้าไม้ประดับนั้นอยู่เสมอ จนเขาเกือบจะไม่เอาไหนตาม เรื่องนี้ถือเป็นการเตือนสติเขา ถึงคนแบบหลิวหลีจะมีอยู่น้อย แต่ก็ยังมีอยู่ อีกทั้งยังเป็นคนที่โหดร้ายด้วย
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว มีสามีภรรยาคู่นี้อยู่ก็ดี พวกเขาจะคอยเป็นแรงผลักดันให้เจ้า คิดว่านังหนูคนนั้นรักษาเหลยหยางเสร็จ ก็คงจะเข้าฌาน พอออกจากฌานคราวนี้คงบรรลุตำแหน่งประมุขเทพ” สมแล้วที่เป็นว่าที่เทพที่แท้จริง ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นโอกาสที่นางต้องการ เฮ้อ เขาอิจฉาจริงๆ
แล้วทำไมเขาจะต้องมาสนิทกับนังหนูด้วย สนิทแล้วรู้สึกกดดัน ก็ยังดีที่พี่หนานกงยังไม่มีความคิดที่จะบรรลุไปตำแหน่งอื่น
“เจ้าหนุ่มคนนั้นก็ไม่เลว ถึงแม้จิ่งซู่จะเป็นแค่ไม้ประดับ แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรไปไม่น้อย คาดว่าก็คงจะเข้าฌานพร้อมกับนังหนู ออกมาก็คงจะบรรลุขอบเขตประมุขเทพเช่นกัน” อวิ๋นเหมียวทำลายความคิดของอวิ๋นชิงลงทันที สมแล้วที่เป็นสามีภรรยากัน ค่อยๆพัฒนาไปตามกัน แต่คนที่รู้สึกกดดันช่วยอย่ามีเขาแค่คนเดียวได้ไหม
“พวกนั้นสายตาไม่ดี ท่านพ่อยังชมเขาอีก ท่านพ่อปรากฏตัวมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมีปฏิกิริยาอะไร” อวิ๋นชิงอดแขวะไม่ได้ ตาของเขาใกล้จะไปปรากฏอยู่บนตัวนังหนูแล้ว
“ข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีอะไร เจ้าหนุ่มคนนี้เหมือนพ่อตอนสมัยหนุ่มๆ น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าไม่ได้เหมือนกับนังหนู สุดท้ายก็กลับไปเกิดและบำเพ็ญใหม่อีกครั้ง” อวิ๋นเหมียวถอนหายใจแล้วพูดขึ้น ดังนั้นการได้เจอคู่บำเพ็ญที่เข้ากันได้ดี แถมยังมีพลังบำเพ็ญเพียรไม่ได้ต่างกันมากเป็นเรื่องที่โชคดีมากจริงๆ
พิษเพลิงหยดสุดท้ายถูกหลิวหลีดูดออกมา นางจึงปล่อยเพลิงเทพวิญญาณไม้กับเพลิงหทัยสมุทรให้โคจรในร่างของเหลยหยางครั้งหนึ่ง เพื่อฟื้นฟูและให้ความชุ่มชื้น และสุดท้ายจึงเก็บเพลิงเทพเข้าร่างกายตัวเอง เแล้วเริ่มยืนไม่ไหว ใช้พลังไปไม่น้อยเลยจริงๆ
“น้องพี่ เจ้าไหวหรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เป็นไร ทุกท่าน ข้าคงไม่ส่งพวกท่านแล้ว พวกเราสามีภรรยาจะเข้าฌาน” หลิวหลีไม่สนใจว่าใครเป็นใคร เอ่ยปากไล่แขกทันที แล้วก็ไม่สนใจว่าอาการของเหลยหยางจะดีขึ้นหรือไม่ เพราะตอนนี้นางเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ไม่มีจิดใจไปคิดถึงคนอื่น
แล้วปิดประตูทันที เรื่องที่เหลืออยู่ควรจัดการอย่างไร ต่อไปควรจัดการอย่างไร คิดว่าอวิ๋นชิงน่าจะพอเข้าใจ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ยังกล้ามาขอยาเทพศักดิ์สิทธิ์จากนางอีก อีกหน่อยก็คงจะคบค้าสมาคมกันไม่ได้แล้ว
อวิ๋นเหมียวก็รู้สึกตกใจน้อยๆ นังหนูคนนี้เป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเองจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจ โบกมือเพียงครั้งเดียว ทุกคนก็มาปรากฏตัวอยู่ในดินแดนของอวิ๋นเหมียว รวมไปถึงจิ่งซู่ที่ถูกโดนมองเป็นขยะด้วย อวิ๋นเหมียวคลายคาถาที่ปากของเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาได้รับการกระทบกระเทือนอะไรเข้า จึงยืนเหม่อลอยอย่างนั้นอยู่นาน
“ท่านพ่อ จักรพรรดิเทพเหลยหยางเป็นอย่างไรบ้าง?” นังหนูคนนี้ทำเกินไป ไม่รอให้คนไข้ฟื้นขึ้นมาก่อนก็ทิ้งเขา อีกอย่างคนไข้เป็นถึงจักรพรรดิเทพด้วย
“ไม่ต้องห่วง จักรพรรดิเทพเหลยหยางก็สามารถให้คำตอบกับเจ้าได้ เหลยหยาง ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” อวิ๋นเหมียวยิ้มแล้วพูดขึ้น
“อ๊าก อ๊าก” สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงคำรามของเหลยหยาง อวิ๋นหมียวรู้สึกว่ายังดีที่ตัวเองรู้ก่อนล่วงหน้า จึงได้สร้างแนวเขตต้องห้ามขึ้น ไม่เช่นนั้นทั้งภูเขาเทวาคงจะคิดว่าเหลยหยางบ้าไปแล้วแน่ๆ อีกทั้งยังเกิดขึ้นในถิ่นของเขา ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
“ท่านพ่อ จักรพรรดิเทพเหลยหยางอาการดีขึ้นแล้ว หน้าของเขา พระเจ้า ทำไมจักรพรรดิเทพเหลยหยางเป็นหนุ่มรูปงามถึงเพียงนี้” อวิ๋นชิงอึ้งไปน้อยๆ ไม่รู้จะพูดอะไร จักรพรรดิเทพเหลยหยางที่ใบหน้าหมดจดนั้น ทำให้เขาน่าชมจริงๆ ทั้งใบหน้าที่หล่อเหลาและท่าทางที่ห้าวหาญ มิน่าเขาถึงชอบคนที่หน้าตาดี เป็นเพราะว่าเขานึกถึงหน้าตาของตัวเองในอดีตหรือ
เหลยหยางสัมผัสใบหน้าตัวเอง รอยแผลเป็นหายไปแล้วจริงๆด้วย ฮ่าฮ่า เขาเหมือนได้คลายปมในใจ ทำให้รู้สึกสบายใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าปราการพลังในร่างกายบางลงไปมาก
“ยินดีด้วย ได้สมดั่งปรารถนาที่มีหลายปีเสียที” อวิ๋นเหมียวกล่าวแสดงความยินดี ด้วยทั้งสองคนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“ขอบคุณมาก คิดว่านังหนูคนนั้นคงจะสูญเสียพลังไปไม่น้อย ถือว่าข้าเหลยหยางติดหนี้บุญคุณนาง” เหลยหยางรู้สึกลิงโลด เป็นอย่างที่อวิ๋นเหมียวพูด เมื่อสิ่งที่หวังไว้สมความปรารถนาแล้ว ก็จะรู้สึกสบายใจ
“เข้าฌานไปแล้ว” อีกทั้งยังไม่ไว้หน้าใครเสียด้วย
“อืม แต่ว่าจักรพรรดิเหลยหยาง คนในครอบครัวของท่าน ท่านจะจัดการอย่างไร ท่านพาตัวกลับไปจัดการเถอะ เพราะอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในบ้านท่าน” อวิ๋นชิงชี้จิ่งซู่ที่เมื่อเห็นใบหน้าเดิมของเหลยหยางแล้วก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ความหมายโดยอ้อมก็คือ เจ้าควรจะไปกันได้แล้ว
“ได้” ถึงเวลาควรจะจัดการสักที
“จิ่งซู่ เจ้าสำนึกผิดหรือไม่” เหลยหยางถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น คนผู้นี้ เฮ้อ เขาก็มีส่วนผิดเหมือนกัน
“สำนึกผิดหรือ ข้าผิดตรงไหน คู่บำเพ็ญของข้าคือจักรพรรดิเทพเหลยหยาง เป็นผู้สูงส่งในภูเขาเทพแห่งนี้ พวกเขาก็ควรจะยอมข้า” จิ่งซู่กล่าว
“เจ้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร จุดประสงค์ที่เรามายังภูเขาเทพแห่งนี้มีเพียงแค่อย่างเดียว ก็เพื่อสืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริง สูงส่งหรือ เมื่อเทียบกับเทพที่แท้จริงแล้วไม่มีค่าอะไรเลย จิ่งซู่ แต่ก่อนเจ้าไม่ใช่คนแบบนี้” ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่เลือกจิ่งซู่ มาเป็นคู่บำเพ็ญของเขา
“แต่ก่อนข้าเป็นคนอย่างไร ข้าลืมไปหมดแล้ว ข้าจำได้แค่ว่า ตั้งแต่ข้ามาอยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้ามองคนอื่น แล้วก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดูดีกว่าตัวเอง จากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว เพราะอย่างไรทุกคนก็พูดว่าข้าเป็นคนของจักรพรรดิเทพเหลยหยาง อะไรๆก็ต้องยอมข้า” จิ่งซู่เองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ของความทรงจำในอดีตบางอย่าง
“แต่ก่อนเป็นอย่างไร ข้าไม่สนใจ จิ่งซู่ หากเจ้ายังอยากจะเป็นคู่บำเพ็ญของข้า ก็จงพยายามฝึกฝนพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้า ไม่ใช่เป็นแค่พลังบำเพ็ญเพียรปลอมๆ ตอนนั้นที่ข้าเลือกเจ้ามาเป็นคู่บำเพ็ญของข้า ไม่ใช่แค่เพราะหน้าตาของเจ้า เจ้าอาจจะไม่รู้ เจ้าเป็นคนแรกที่มอบรอยยิ้มที่จริงใจให้กับข้า เจ้าอาจจะจำไม่ได้แล้ว แต่ข้ายังจำได้ ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถพยายามไปด้วยกัน บรรลุเป็นเทพที่แท้จริงไปด้วยกัน” เหลยหยางพูดออกมาจากซื่อตรง
หลังจากเสียงของเหลยหยางสิ้นสุดลง จิ่งซู่ก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความทรงจำบางอย่าง เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าเช่นนั้นตอนนั้นเหลยหยางไม่ได้เลือกตัวเองจากใบหน้า แล้วหลายปีมานี้ตัวเองทำอะไรลงไปกันแน่ หน้าตา หึหึ ทันใดนั้นเองจิ่งซู่ก็เอามือกรีดหน้าของตัวเอง
“จิ่งซู่ เจ้า” เหลยหยางถึงกับตกใจ
“ถือว่าเป็นการสั่งสอนข้า เหลยหยาง หากเจ้าไม่ชอบ พวกเราจะยกเลิกความสัมพันธ์การเป็นคู่บำเพ็ญกันก็ได้” จิ่งซู่ที่ใบหน้าอาบไปด้วยเลือดกล่าว
“เจ้า เจ้าจะทำเช่นนี้ทำไม”
………………………………………..