เขายังไม่ทันว่างไปดูคลังสมบัติของท่านพ่อ ลูกน้องก็มารายงานข่าวอีก
“เจ้าพูดอีกรอบซิ มีราชาเทพคนไหนที่จะมาเข้าร่วมก๊กข้าอีกหรือ” อวิ๋นชิงใช้มือนวดหว่างคิ้ว สมาชิกของเขาจะเยอะเกินไปแล้วหรือเปล่า
“เรียนท่านประมุขเทพ ราชาเทพที่มาใหม่ เขาบอกว่าตัวเองมีนามว่าจื่อฉี พี่สาวของเขาอยู่ก๊กเดียวกับท่าน เขาจึงอยากมาเข้าร่วมด้วย” ราชาเทพที่มากล่าวรายงาน มองประมุขเทพของเขาด้วยดวงตานับถือ พวกเขามาติดตามถูกคนจริงๆ ดูสิ เด็กใหม่ทุกคนต่างโร่มาที่นี่
“จื่อฉี?” เขารู้จักคนชื่อนี้ด้วยหรือ แต่หากพูดถึงพี่สาว คงจะหมายถึงเด็กผู้หญิง ลูกน้องของเขาในตอนนี้มีผู้หญิงแค่คนเดียว อีกทั้งกำลังเข้าฌานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุอยู่ น้องชายของหลงหลิวหลีหรือนี่! การรับรู้เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ดี เอ๋าเลี่ยที่เจอเมื่อคราวก่อนเขายังจำได้ไม่ลืม ไม่รู้ว่าน้องชายคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“ราชาเทพคนใหม่ ฉายาอัสนีม่วง”
“ใช่จริงๆด้วย เขาได้บอกไหมว่าพี่สาวชื่ออะไร?” นังหนูคนนี้รู้จักคนไม่น้อยเลยจริงๆ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้ว แต่อวิ๋นชิงก็อดถามอีกรอบไม่ได้
“บอกขอรับ หลิวหลี หลงหลิวหลี”
อวิ๋นชิงมีสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้งทันที หลงหลิวหลีก็คือนังหนูที่ทำธุระเสร็จทิ้งทุกอย่างไว้แล้วจากไปไม่ใช่หรือ ตั้งแต่บาดแผลบนใบหน้าของจักรพรรดิเทพเหลยหยางหายไป เขาก็มีงานเพิ่มเข้ามา คือคอยปฏิเสธคนที่เข้ามาขอเข้าพบนังหนู บางคนมาเพื่อขอประลองการปรุงยา บางคนมาเพื่อขอยาเทพศักดิ์สิทธิ์ และส่วนมากมาเพื่อขอประลองฝีมือ บางคนดวงตาวิบวับ คิดไม่ถึงว่าเพราะพวกเขาเห็นนังหนูลงมือ พลังที่แสนทรงพลังนั้น ทำให้พวกบ้าพลังดวงตาเป็นประกาย เทียบเชิญขอประลองหลากหลายรูปแบบ บางคนถึงขนาดนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู ทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย แต่ว่าพอจัดการเรื่องพวกบ้าพลังเสร็จ แต่พอเพื่อนของนังหนูอย่างเอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ยได้ยินเรื่องนี้ ก็ประกาศกร้าวออกมาว่า ต้องสู้พวกเขาให้ได้ก่อนถึงจะได้เจอนังหนู แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์ ให้เห็นว่าไม่อาจใช้หลักทั่วไปมาตัดสินเพื่อนของนังหนู เวลาโหดขึ้นมาก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งบรรลุตำแหน่งราชาเทพ เมื่อจัดการพวกบ้าพลังได้เรียบร้อย แต่กลุ่มคนที่อยากแลกเปลี่ยนวิชา ทำให้อวิ๋นชิงหมดหนทาง นังหนูบ้า ไม่อยากให้เขาว่างเลยล่ะสิ
“ใช่แล้ว คนผู้นั้นเคยบอกไว้ หากไม่รู้ว่าหลงหลิวหลีคือใครล่ะก็ ก็ให้บอกว่าราชาเทพอัคคีที่แท้จริงเป็นพี่สาวของเขา” คนที่มารายงานเสริม ในขณะที่ความคิดของอวิ๋นชิงกำลังลอยออกไปไกล
“เอาเถอะ ข้ารู้แล้ว ให้เขาเข้ามา” เฮ้อ นังหนูมีน้องชายได้อย่างไร รู้สึกว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา
“ประมุขเทพหมื่นพฤกษา ข้ามีนามว่าจื่อฉี ท่านพี่ของข้าอยู่ก๊กของท่าน ข้าเลยจะอยู่กับท่านด้วยเช่นกัน” จื่อฉีพูดอย่างตรงไปตรงมา ทำให้อวิ๋นชิงมั่นใจได้เลยว่าเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ เพียงแต่ทำไมเป็นอสูรเทพอีกแล้ว คนในสกุลอสูรเทพผูกพันธสัญญากับอสูรเทพได้เพียงตัวเดียวไม่ใช่หรือ แต่นี่มีตั้ง 3 ตัวแล้ว เหมือนจำนวนคนจะไม่ถูกต้อง
“ยินดีต้อนรับ” อวิ๋นชิงฝืนทำหน้าให้เป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าทุกคนดูจะซนไม่น้อย
“อือ ข้าเห็นว่าท่านพี่อาเลี่ยกำลังประลองฝีมือ ข้าก็จะไปช่วยด้วย รายงานตัวเสร็จแล้ว ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” จื่อฉีพูดจบก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่เปิดโอกาสให้อวิ๋นชิงได้พูดจาตามมารยาท
“นังหนูตัวยุ่ง เพื่อนเจ้าแต่ละคนนี่อะไรกัน แต่ละคนไม่เบาเลย แล้วยังมีเรื่องวุ่นวายเป็นกอง” อวิ๋นชิงรู้สึกว่าตั้งแต่ตนเองฝึกฝนบำเพ็ญก็ไม่ได้มีเรื่องให้ปวดหัวอีก แต่ตอนนี้มันกลับมาอีกแล้ว อวิ๋นชิงก่นด่า
“ประมุขเทพท่านช่างน่าเกรงขามจริงๆ จู่ๆก็มีหลายคนต้องการอยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน” เสน่ห์ของประมุขเทพไม่ธรรมดาจริงๆ ดูสิ คนที่เพิ่งมาใหม่ทั้ง 3 คน มีพลังการต่อสู้ที่สุดยอดจริงๆ เพียงแต่ว่าทั้ง 3 คนนี้มีจุดเหมือนกัน คือมีสายสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับราชาเทพอัคคีองค์จริงกับราชาเทพขั้วเหมันต์
“เลิกล้อเล่นได้หรือไม่” อวิ๋นชิงทำสีหน้าเย็นชา ช่วงนี้พอคนกลุ่มนั้นเห็นเขาก็มักจะพูดเหน็บแนม ลอบนินทาว่าเขาทำลายความสมดุล คิดจะก่อเรื่องหรือ สวรรค์รู้ดีว่าเขาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถึงแม้ตอนแรกเขาจะคิดว่าการรับหลงหลิวหลีกับคนของนางถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าความสามารถของคนพวกนั้นคงจะแตกต่างจากหลงหลิวหลีค่อนข้างมาก ใครจะไปรู้ว่าจะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พลังการต่อสู้แต่ละคนเก่งกว่ากันไปเรื่อยๆ มองไม่ออกแม้แต่นิดเดียวว่าเป็นราชาเทพที่เพิ่งบรรลุขึ้นมา เรื่องนี้ทำให้คนอื่นๆไม่พอใจนัก ถึงแม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อของเขาเหมือนกัน แต่ประมุขเทพอีก 3 คนที่เหลือต่างก็พากันตำหนิว่าเขาทำไม่ถูก อวิ๋นชิงถึงกับต้องยกมือนวดหว่างคิ้ว หากจะไปก็คงหอบหิ้วกันไปทั้งหมด ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจได้ในตอนนี้ก็เข้าฌานอยู่ อวิ๋นชิงหงุดหงิดจนอยากจะจับตัวนังหนูออกมาให้จัดการปัญหาพวกนี้ก่อนแล้วค่อยกลับไปเข้าฌาน
“ท่านประมุขเทพหงุดหงิดเพราะแรงกดดันจากประมุขเทพท่านอื่นๆใช่หรือไม่?” อย่างไรเสียเพราะติดตามอวิ๋นชิงมานาน จึงเข้าใจได้ทันทีว่าอวิ๋นชิงหงุดหงิดเรื่องอะไร
“นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องนี้ จุดประสงค์ที่พวกเขามาอยู่กับข้าง่ายดาย นั่นเพราะราชาเทพอัคคีองค์จริงอยู่ฝ่ายข้า ขอแค่ราชาเทพอัคคีองค์จริงไม่ไปไหน พวกเขาก็จะไม่ไปไหน สิ่งที่ข้าปวดหัวก็คือ 3 คนนั้นมีพลังการต่อสู้ที่โดดเด่น ใครเห็นแล้วจะไม่อิจฉาบ้าง” เฮ้อ จำนวนคนไม่เท่าไหร่ แต่อย่าทำตัวให้โดดเด่นมากจะได้หรือไม่ พลังการต่อสู้สุดยอดขนาดนั้น จะบอกว่าไม่ต้องการก็คงจะโกหก ไม่ว่าจะได้เป็นเทพที่แท้จริงหรือไม่ แต่ทุกคนต่างก็ต้องมีอำนาจบารมีของตัวเอง
“นั่นก็จริง พวกข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ เคยไปลองประลองมา พบว่า 3 คนนั้นเป็นพวกคนที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะจนมุมอย่างไร ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว” พอพูดเช่นนี้แล้วพวกเขาก็ยิ่งละอายที่เป็นฝ่ายแพ้
“ดังนั้นก็ไม่ได้เก็บซ่อนฝีมือตัวเองแต่อย่างใด ใช้กระบวนท่าต่างๆมากมาย”อวิ๋นชิงกรอกตามองบน เขาจะไม่รู้พลังการต่อสู้ของ 3 คนที่มาใหม่ได้อย่างไร เขาเคยประลองด้วยมาก่อน ผลที่ออกมาเมื่อเทียบกับนังหนูหลงหลิวหลีแล้ว ไม่ได้แตกต่างกันมาก
เฮ้อ คนที่จัดการปัญหานี้ได้ก็เข้าฌานไปแล้ว นังหนู ช่วยออกจากฌาน มาจัดการปัญหาให้เสร็จแล้วค่อยเข้าฌาน คงไม่ทำให้เจ้าเสียเวลานักหรอก
แต่ในช่วงนี้ทั้งสามคนก็หยุดพักไป ว่ากันว่าเพราะพวกเขารู้ว่าสามารถพาคนมาด้วยได้ ทั้งสามคนจึงวางแผน ตัดสินใจพาลูกชายทั้งสองคนกับมู่มู่มา เมื่อลองพิจารณาสถานการณ์จริงดูแล้ว จึงได้พาเอ๋าเฟิงกับเฟิ่งซานมาด้วย ถึงแม้สำหรับพวกเขาแล้วเป็นแค่เรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่กลัวว่าเมื่อไม่มีผู้ใหญ่อยู่ เด็กทั้งสองคนอาจจะพังสำนักได้ มู่มู่อาจจะควบคุมไม่ได้ เลยพามาด้วยกัน
ผลปรากฏว่าเมื่อคนทั้ง 3 คนหยุดไป ก็มีเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่าเดิมเกิดขึ้น เหตุผลไม่ใช่เรื่องอื่นใด เด็กทั้งสองคนคิดว่าจะได้เจอท่านน้าหลิวหลีของพวกเขา แต่ผลปรากฏว่านางเข้าฌาน ทำให้พวกเขาไม่พอใจ จึงขอประลองคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่าไปทั่ว ผลคือ หึหึ ราชาเทพที่ดูเหมือนจะเข้าฌาณต่างก็ล่วงรู้เข้า ทำให้อวิ๋นชิงปวดหัวกว่าเดิม คนมาแล้ว แต่ขาดผู้นำ ทำให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย
ไม่ได้ เขาก็จะเข้าฌานเหมือนกัน ข้างนอกก็ปล่อยให้วุ่นวายกันไป เขาไม่สนใจแล้วจะได้ไหม
“ลูกชาย ช่วงนี้เจ้าดูมีเรื่องทุกข์ใจไม่น้อย”
“เห็นท่านข้ารู้สึกทุกข์ใจมากกว่าเดิม” อวิ๋นชิงมองไปบิดาตัวเองที่แต่ก่อนนานๆจะได้เจอที แต่ตอนนี้ได้เจออยู่เป็นประจำ
“เอาเถอะ พอจะรู้ว่าเจ้าทุกข์ใจเรื่องอะไร ทุกอย่างรอให้นังหนูคนนั้นบรรลุขอบเขตประมุขเทพก่อนแล้วค่อยว่ากัน เรื่องพวกนี้ข้าจะช่วยเจ้าไปก่อน เจ้าต้องรู้ว่า เจ้ายังมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา สามารถหลบแดดลมฝนใต้ร่มเงาของมันได้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งขนาดนั้น” อวิ๋นเหมียวนึกถึงคำพูดของหลิวหลี ลูกชายของเขาทุ่มเทมากเกินไปหรือเปล่า
“ต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงา จะว่าไปแล้ว ท่านพ่อ จริงๆแล้ววันนั้นนังหนูสังเกตเห็นพวกท่านแล้วใช่หรือไม่” อวิ๋นชิงกล่าว แต่เขาก็ชอบจัดการเรื่องราวต่างๆที่ตนเองพอจะแก้ไขได้ด้วยตนเองมากกว่า
“ใช่ สมแล้วที่เป็นว่าที่เทพที่แท้จริง ชวนให้อิจฉาจริงๆ” เฮ้อ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ตำแหน่งมาครอบครองบ้างหรือเปล่า สิ่งที่ทำให้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยคือ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีผู้กล้ามาเปิดประตูบานใหญ่ พวกเขาก็น่าจะลองดูได้เช่นกัน
“ดังนั้น ข้ารู้สึกว่า ข้าแค่ต้องรอนังหนูออกฌานก็พอ ท่านก็บอกแล้ว พอนังหนูออกฌาน นางต้องบรรลุขอบเขตประมุขเทพแน่ ก็จะสามารถสร้างฝ่ายของตนเองได้ แล้วเรื่องพวกนั้นก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือ รอหลิวหลีออกฌาน เพื่อบรรลุขอบเขตประมุขเทพแล้วสร้างก๊กของตัวเอง
“เอ่อ แต่ว่า ในเมื่อเจ้ามีวิธีการแก้ปัญหาแล้ว แล้วเจ้ายังจะเข้าฌานทำไมอีก” อวิ๋นเหมียวแกล้งแซว
“เรื่องนี้น่ะ ก็ใครจะไปรู้ว่านังหนูจะออกฌานมาเมื่อไหร่ ข้าจำเป็นจะต้องพักหายใจบ้าง” เฮ้อ ใครจะไปรู้ว่านังหนูจะออกฌานเมื่อไหร่ เขาถึงได้อยากเข้าฌานเพื่ออยู่อย่างสงบ
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีเหตุผลทั้งนั้น” อวิ๋นเหมียวเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจ้าเด็กนี่ก็สามารถตอกกลับได้ตลอด เฮ้อ พอเขาโตแล้ว เล่นด้วยไม่สนุกอีกแล้ว
………………………………………………