“นังหนูบ้า ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกจากมาแล้ว” ถ้ายังไม่ออกมาข้าคงถูกทารุณจนตาย
“อืมๆ รู้แล้วว่าเจ้าลำบาก ข้าจะชดเชยให้เจ้า” หลิวหลีพูดพลางยิ้ม แต่เมื่อมองจวี๋เจีย สายตานางก็เย็นชาขึ้นมา ฝึกบำเพ็ญจนถึงขอบเขตพลังนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่าบาดแผลของอวิ๋นชิงที่เกิดจากการทำร้ายครั้งนี้ ต้องใช้เวลารักษาอีกนานกว่าจะหาย เกลียดแค้นกันมากขนาดนั้นเชียวหรือ
“เจ้าเป็นใคร” จวี๋เจียมองผู้มาใหม่ด้วยความระแวดระวัง มาจากไหน ไม่คุ้นหน้าแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าจะเป็นราชาเทพอัคคีที่แท้จริง ใช่ ราชาเทพอัคคีที่แท้จริงด้วย นางออกจากฌานแล้ว” มีคนจำหลิวหลีได้
“ราชาเทพอัคคีที่แท้จริง ไม่ใช่หรอกมั้ง มองพลังไม่ออกเลย ว่ากันว่าราชาเทพอัคคีที่แท้จริงเข้าฌานเพื่อบรรลุขอบเขตประมุขเทพ การปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็แปลว่านางทำสำเร็จแล้วหรือ ถึงได้ออกจากฌาน”
“หลิวหลี ยินดีกับเจ้าด้วย ประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง สามีของเจ้าก็ทำสำเร็จด้วยใช่หรือไม่” มิเช่นนั้นนังหนูผู้นี้จะยอมออกจากฌานมาได้อย่างไร ทาสรักอย่างนั้น
“ใช่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจงเรียกข้าว่าประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง เรียกสามีของข้าว่าประมุขเทพเหมันต์บริสุทธิ์ ขอบคุณ” หลิวหลีรับอย่างใจกว้าง สองสามีภรรยากลายเป็นประมุขเทพ เป็นแบบอย่างที่กระแทกใจทุกคน สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว แถมพลังก็พัฒนาขึ้นไปมาก
“ต่อให้เจ้าบรรลุเป็นประมุขเทพแล้วอย่างไร นี่เป็นการแข่งขันระหว่างข้ากับอวิ๋นชิง” จวี๋เจียลอบถอนหายใจ แย่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะออกจากฌานเอาในเวลานี้ ว่ากันว่าคนเหล่านั้นเชื่อฟังคำพูดของหลิวหลีมาก นางพูดอะไรก็ทำตามนั้น ยิ่งตอนนี้บรรลุเป็นประมุขเทพด้วย พวกเขาต้องกลับไปอยู่ฝ่ายนางแน่ เพียงอีกนิดเดียวแผนก็จะสำเร็จ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาล้มเหลวเอาในขั้นนี้ แย่จริงๆ รู้อย่างนี้ตนคงไม่ปลดปล่อยความโกรธแค้นที่สะสมไว้ทั้งหมดของตน
“เรื่องนี้น่ะ ถือว่าเกี่ยวข้องกับข้าอยู่เหมือนกัน ได้ยินมาว่าของเดิมพันในการประลองของพวกเจ้าคือกรรมสิทธิ์ในตัวหลานชายข้า เช่นนั้นข้าขอถามหน่อยว่า หลานชายของข้ากลายเป็นสมบัติส่วนตัวของใครไปได้อย่างไร คนเป็นน้าอย่างข้าไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยสักนิด” ถึงแม้หลิวหลีจะยิ้มอยู่ แต่ไม่ได้สนใจจะปิดบังความเย็นชาในดวงตาแม้แต่น้อย ใช้หลานชายของนางเป็นของเดิมพัน คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ จากนั้นก็มองอวิ๋นชิงตาขวาง อย่าลืมว่าเจ้ายังติดค้างการประลองเพื่อชี้แนะนาง เชื่อหรือไม่ว่านางสามารถทำร้ายเขาได้ทันที
“หลานชายของเจ้าเลือกได้เอง เจ้าไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา ก้าวก่ายมากเกินไปหรือเปล่า ประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง” จวี๋เจียดึงดัน
“พวกเราย่อมติดตามท่านน้า เจ้าเป็นใคร พล่ามอะไรกัน” เสียงของปิงเซียวดังมาจากด้านหลัง
“ใช่ ท่านพ่อท่านแม่ของข้ายังไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของข้า ส่วนข้า เจ้าก็พูดไปแล้ว นอกจากท่านน้า ข้าไม่เลือกใคร” เสียงของเหลยรุ่ยดังตามมา
“ท่านน้า ท่านออกจากฌานแล้ว” จากนั้นเด็กทั้งสองก็ตะโกนเรียกหลิวหลีอย่างดีใจ
“ใช่ หากไม่ออกมาหลานของข้าก็คงจะถูกขายไปแล้ว” หลิวหลีส่งยิ้มที่เป็นพิเศษให้หลานของนาง ทั้งสองรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นั่นเพราะท่านน้า เป็นเพราะนางเลี้ยงดูพวกเขาตั้งแต่เป็นไข่ ทำให้พวกเขาเห็นนางเป็นมารดา แล้วทันใดนั้นทั้งสองก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
“ท่านน้าเขย ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย” เด็กทั้งสองประสานเสียง หนานกงเวิ่นเทียนได้ยินความร่าเริงจากน้ำเสียงก็รู้สึกโล่งใจ
“ยินดีด้วย ประมุขเทพเหมันต์บริสุทธิ์” อวิ๋นชิงพยุงตัวแล้วกล่าว
“ขอบใจมาก” พวกเขาเองก็เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นชิงถึงต้องประลองฝีมือ นางจึงโยนขวดเล็กๆไปให้อวิ๋นชิง
“เอาไป ยาบำรุง”
“จะช่วยบำรุงมากเกินไปหรือเปล่า” อวิ๋นชิงกระเซ้า จากนั้นก็เปิดขวดออกและกรอกยาเข้าปากอย่างไม่ลังเล แล้วใบหน้าจึงเปลี่ยนสีไปในพริบตา จากนั้นก็รีบนั่งลงปรับลมหายใจทันที เขาลอบด่าในใจ ท่าทางจริงจังกับล้อเล่นของนังหนูคนนี้แทบไม่แตกต่างกัน ทำร้ายเขาแล้ว เหตุใดถึงได้มียาที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่
“ประมุขเทพจวี๋เจีย ท่านก็เห็นแล้วว่าพี่อวิ๋นต้องพักผ่อน ข้าอยากจะขอคำชี้แนะกับท่านพอดี ข้าเพิ่งบรรลุขอบเขตประมุขเทพ ยังไม่ชินนัก ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นนักปรุงยา ขาดความสามารถในการต่อสู้อยู่มาก” เมื่อสิ้นเสียงของหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนก็พาเด็กทั้งสองที่เกือบหลุดหัวเราะออกมาด้านนอกลานประลอง เด็กทั้งสองสะกดเสียงหัวเราะอย่างยากลำบาก พลังต่อสู้ไม่เพียงพอ นักปรุงยาพื้นฐานย่ำแย่ พระเจ้า ท่านน้าของพวกเขากำลังแสดงอะไร พวกเขาได้ยินคำพูดนี้แล้วกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่จริงๆ
จวี๋เจียดิ้นรนอยู่สักพัก แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวหลีก็นึกขึ้นมาได้ว่านังหนูเป็นนักปรุงยา นักปรุงยานั้นปรุงยาเก่ง แต่พลังต่อสู้ไม่ต้องพูดถึง แปลว่าตนเองก็ยังพอจะมีโอกาสที่จะชนะนาง เพียงแต่เขามองข้ามพลังของนางไป คนที่ไม่แข็งแรงจะบรรลุขอบเขตประมุขเทพได้อย่างไร ยังไม่เคยมีนักปรุงยาในขอบเขตประมุขเทพมาก่อน น่าเสียดายที่จวี๋เจียได้ยินเพียงคำว่านักปรุงยาสามคำก็มองข้ามเรื่องนี้ไปเลย
“ได้” เมื่อเขาเอ่ยคำนี้ออกมา ชะตาชีวิตของเขาก็ถูกตัดสินแล้ว
หลิวหลียิงเข้าไปที่บนร่างจนไม่เหลือฝุ่น ไม่มองจวี๋เจียที่กลายเป็นศพล้มลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณที่ชี้แนะ ที่แท้ประมุขเทพก็ต่างจากคนทั่วไปเช่นนี้เอง” ใครใช้ให้เจ้ามีความคิดจะทำร้ายหลานชายนาง คนที่กำลังดูอยู่ตกอยู่ในความเงียบ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่มีเสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็มีเสียงจอแจดังขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะถูกหลอกมานานขนาดนี้ นี่คือนักปรุงยาที่ไม่ค่อยมีพลังต่อสู้หรือ ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเขาเป็นอะไรกัน การทำตัวเป็นหมูเพื่อกินหมาป่าเช่นนี้เกินไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่านางจะมีพลังที่ต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้ อีกทั้งดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนนางไม่ได้ออกแรงมากนัก และไม่เห็นความดิ้นรนแม้แต่น้อย ดังนั้นคงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแน่ เหมือนพวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นลางๆ
“แยกย้ายเถอะ การประลองจบแล้ว” หลิวหลีพูดกับเหล่าคนดู ทุกคนรีบจากไปทันที ไม่รีรอ เหลือเพียงอวิ๋นชิงที่กำลังรักษาตัวกับจวี๋เจียที่กลายเป็นศพ หลิวหลีเหม่อไม่พูดไม่จา
“หลิวหลี ไม่เลวนี่” อวิ๋นเหมี่ยวปรากฎตัวขึ้น
“จักรพรรดิเทพชมกันเกินไป”
“จวี๋เจีย ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าบอกแล้วว่าให้พวกเขาเลือกเอง แต่เจ้าไม่ฟัง หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ อีกอย่าง ถึงอวิ๋นชิงจะเป็นลูกชายข้า แต่เขาก็ทุ่มเทไม่น้อยกว่าพวกเจ้า หลิวหลี เจ้าช่วยรักษาจวี๋เจียด้วยเถอะนะ ร้ายดีอย่างไร ตอนนี้เจ้าก็เป็นคนในฝ่ายของข้า” อวิ๋นเหมี่ยวมองจวี๋เจียแล้วพูดพลางถอนหายใจ
หลิวหลีโยนขวดเล็กๆออกมาขวดหนึ่ง ยาเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นยาที่ธรรมดาที่สุด เทียกับอันที่รักษาได้ทันทีอย่างของอวิ๋นชิงอย่างไม่เห็นฝุ่น ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีใครกล้าค้านอะไร ยาเป็นของนาง แถมไม่ได้ใช้ทรัพยากรของพวกเขาสักนิด จะตัดสินใจให้อะไรใครก็ขึ้นอยู่กับนาง
อวิ๋นเหมี่ยวกลับรู้สึกว่านังหนูเป็นคนน่ารัก คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุมีผลเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงไม่มีใครทำได้อย่างนาง แต่เขาก็เข้าใจดีว่ายาที่ให้ลูกชายเขากับจวี๋เจียนั้นต่างกัน ไม่อย่างนั้นคงจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ที่คนหนึ่งนั่งสมาธิ ส่วนอีกคนพยายามพยุงตัวขึ้นมา
“หลิวหลี เจ้าเตรียมจะก่อตั้งฝ่ายของตนขึ้นเมื่อใด” ถึงแม้ตอนนี้หลิวหลีจะเป็นประมุขเทพ แต่นางก็มีคุณสมบัติเพียงพอในการก่อตั้งฝ่ายของตนเอง
“ก่อตั้งกองกำลังของตนเองหรือ เหตุใดข้าต้องก่อตั้งกองกำลังของตนเองด้วย จักรพรรดิเทพรังเกียจหลิวหลีกับสามีแล้วหรือถึงได้รีบไล่ข้าเช่นนี้ ข้าจะอยู่ที่นี่” หลิวหลีพูดอย่างแน่วแน่ ถึงขนาดกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา ทำเอาอวิ๋นเหมี่ยวไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี นี่แปลว่านางจะเกาะเขาแน่แล้ว แต่ต่อให้เขายินยอม เจ้า 4 คนนั้นก็คงจะไม่พอใจ
………………………………