เหยียนซวี่เหมือนจะลืมเรื่องเทพรัตติกาลไปแล้ว เขาจดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ศัตรูของเขาเป็นถึงราชาเทพแล้วเขาจะเป็นตามหลังไม่ได้ ดังนั้นตอนแรกเขาถึงจำเป็นต้องเข้าร่วมกลุ่มไหนสักกลุ่ม อย่างไรเสียนายท่านผู้นั้นก็เป็นแค่เทพที่แท้จริง แต่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าเทพที่แท้จริงอีกคนจะเป็นใคร เขาเองก็ไม่ใช่มหาเทพสูงสุดด้วย ดังนั้นพอคิดถึงสิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้านี้ก็คงทำได้แค่ใช้คำว่าน่าขันมาบรรยาย แต่ก่อนที่เขาจะปล่อยวาง เหมือนจะไม่ง่ายแบบนั้น
“เหยียนซวี่”
“ท่านเทพรัตติกาล” เหยียนซวี่กล่าวอย่างเคารพ เหตุใดท่านผู้นี้ถึงปรากฏตัวขึ้นกระทันหัน เขาเกือบจะลืมเรื่องพวกนี้แล้ว ทำไมจู่ๆถึงปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าใกล้บรรลุขอบเขตราชาเทพแล้วหรือ ใช้ได้นี่ รีบฝึกบำเพ็ญให้ถึงขอบเขตราชาเทพแล้วกัน ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าทำ จำไว้ว่าหากเจ้าบรรลุขอบเขตราชาเทพแล้วให้ไปหาคนชื่อเจียงไหว” เยี่ยโยวหวงกล่าว
“ขอรับท่านเทพรัตติกาล” เหยียนซวี่ตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อม จนกระทั่งรู้สึกว่ากลิ่นอายของเทพรัตติกาลหายไปแล้ว เหยียนซวี่ถึงชันตัวขึ้น เขานึกว่าตนเองหลุดพ้นจากคนๆนี้แล้ว ความจริงเป็นแค่ความหวัง อย่างไรเสียเมล็ดพันธุ์ของเขาที่หายไปอย่างน่าประหลาดของเขานั้น ท่านผู้นี้ก็เป็นคนให้ ชะตากรรมของเขายังอยู่ในกำมือของท่านผู้นี้
แต่สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือฝึกฝนบำเพ็ญเพียรเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรการบรรลุเป็นราชาเทพถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ส่วนทางจวินหาวก็ยังคงฝึกบำเพ็ญ แต่หลังจากออกฌานมาเขาก็ไม่เจอสองสามีภรรยาหลิวหลีแล้ว คิดว่าอีกฝ่ายคงเข้าฌานไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจไปหาท่านอาของเขา
“ท่านอา” อยู่ที่นี่เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้างไม่มีท่านอาเป็นแรงหนุนอยู่ด้านหลัง เขามักจะรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง
“จวินหาว เจ้าอยู่บนภูเขาเทพเป็นอย่างไรบ้าง” พอหมิงเยี่ยเจอหลานก็พอใจมาก แต่เขาเองก็เข้าใจสถานการณ์บนภูเขาเทพเช่นกัน
“ดีทีเดียว ท่านอา ข้าเจอศิษย์น้องหนานกงด้วย บัดนี้เขาเป็นประมุขเทพขั้วเหมันต์ ส่วนศิษย์น้องหลงเป็นว่าที่ประมุขเทพอัคคีแล้ว หลานรู้สึกละอายใจนัก” จวินหาวกล่าวอย่างละอาย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ เจ้าไม่เหมือนพวกเขา จะว่าอย่างไรดีล่ะ สองสามีภรรยาคู่นั้นไม่ใช่คนธรรมดา หากเจ้าเอาตนเองไปเปรียบกับพวกเขาก็จะเป็นการสร้างความขมขื่นให้ตัวเองเปล่าๆ ทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว” หมิงเยี่ยพอเดาสถานะในวันข้างหน้าของหลิวหลีได้อยู่ลางๆ จะเปรียบเทียบกับเจ้าพวกวิปริตก็เหมือนเป็นหาเรื่องให้ตนเองไม่สบายใจเปล่าๆ อีกอย่างหากไม่ระวัง จะทิ้งปมเอาไว้ จะส่งผลต่อการบำเพ็ญฝึกตนในอนาคตอย่างมากแน่นอน
“จวินหาวเข้าใจดี เพียงแต่ท่านอา ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองหรือคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ข้ารู้สึกว่าหนานกงเวิ่นเทียนพยายามตีสนิทข้าโดยการให้ข้าเข้าไปอยู่ในบ้านที่ประมุขเทพเท่านั้นอยู่ได้” จวินหาวเอ่ยเพราะอยากได้ความเห็นจากท่านอา
“เจ้าหมายถึงว่าหนานกงเวิ่นเทียนพยายามใกล้ชิดเจ้าหรือ เจ้าเป็นแค่ราชาเทพที่เพิ่งเลื่อนขั้นคนหนึ่ง แล้วคนเป็นถึงประมุขเทพอย่างเขามาตีสนิทเจ้าหรือ” นี่มันผิดปกติจริงๆ ไม่สอดคล้องกับเหตุผลใด ทันใดนั้นเองหมิงเยี่ยก็นึกถึงสิ่งที่หลิวหลีเคยพูดไว้ว่าอนาคตของหลานชายเขาจะรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เช่นนั้นหรือจะบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตหลานชายของเขาจะมีตำแหน่งที่สูงกว่าตำแหน่งเทพมาร อีกอย่างนางเคยพูดว่าเขาจะเป็นขุนนางเทพเทพมาร หรือจะแปลว่าเขาจะกลายเป็นขุนนางเทพของหลานกันนะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมหนานกงเวิ่นเทียนถึงทำดีด้วย เพียงแต่ถึงขนาดต้องให้ย้ายไปพักในบ้านประมุขเทพเลยหรือ เขารู้เรื่องตำแหน่งอยู่แล้ว ถ้าเปรียบกับปิรามิดแล้ว หลานชายเขาอยู่ในขั้นที่ตำที่สุด เช่นนั้นในตอนนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าหลงหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนจะอยู่ในระดับกลางๆค่อนไปทางสูงของปิรามิดนี้
“ใช่แล้ว รู้สึกเหมือนต้องการให้ข้าทำอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้นเอง” จวินหาวพยักหน้ากล่าว
“แล้วตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?” หมิงเยี่ยรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
“อยู่ที่พักของหนานกงเวิ่นเทียนและหลงหลิวหลี” จริงด้วย หมิงเยี่ยเข้าใจทันที
“เจ้าอย่าตื่นตระหนกไปเลย ควรจะต้องฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างไรก็ทำไปตามนั้น อย่าเปลี่ยนความตั้งใจไป เจ้าควรจะรู้ไว้ว่าการฝึกบำเพ็ญทำไปเพื่อตนเอง บัดนี้พวกเขายื่นเงื่อนไขในการฝึกบำเพ็ญที่ดีขนาดนี้ให้เจ้า เจ้าก็ควรพยายามถึงจะถูก” หมิงเยี่ยปลอบใจหลานตนเอง
“ขอรับท่านอา ข้าเข้าใจแล้ว” แก้ไขตามสถานการณ์เฉพาะหน้าเอาแล้วกัน อีกอย่างเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
ในที่สุดเหยียนซวี่ก็รับรู้ได้ถึงจุดเปลี่ยนของขอบเขตราชาเทพแล้ว ความรู้สึกประหลาดนั้นทำให้เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบเปล่งแสงสว่าง ทั้งยังมีแรงประหลาดดึงดูดเขาไว้ นี่คือเส้นทางไปสู่ภูเขาเทวา
พอเหยียนซวี่เปิดตาก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกตาแห่งหนึ่ง
“มาใหม่หรือ ข้าดูสิว่าได้ฉายาว่าอะไร” ป๋อเหยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่ารังเกียจบนตัวเขา สุนัขรับใช้ของคนเลวนั่นหรือ เขารู้สึกไม่ชอบขึ้นมาในทันที แล้วมองเหยียนซวี่ที่ควรได้รับฉายาแวบหนึ่งแล้วมองข้ามไป
“เหยียนซวี่ ฉายาของเจ้า นั่นคือที่พักของเจ้า” พอเขาพูดจบก็จากไปทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้เหยียนซวี่ได้ตั้งตัว เหยียนซวี่มองบ้านฟางที่โยกเยกไปมา เขาเพิ่งมาเป็นครั้งแรกแล้ว ไปล่วงเกินท่านผู้อาวุโสอย่างไร ความรังเกียจเดียดฉันท์นี้เป็นเพราะอะไร คนบนภูเขาเทพไม่เป็นมิตรกับใครขนาดนี้เชียวหรือ
“โอ้โห เพิ่งมาใหม่ แล้วเจ้าไปล่วงเกินผู้อาวุโสปั๋วเหยียนอย่างไรกัน ห้องของเจ้าถือว่าแย่ที่สุดในบนภูเขาเทวานี้แล้ว”
“ผู้อาวุโส ข้าเองก็ไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับเขา” เหยียนซวี่ยิ้มเจื่อนพลางส่าหน้า เขาไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เป็นการถูกคนเกลียดโดยที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เขาเองก็หมดคำพูดเช่นกัน
“น่าจะเพราะเมื่อก่อนเจ้าเคยทำอะไรมา ผู้อาวุโสป๋อเหยียนคงเห็นเรื่องในอดีตของเจ้า หากทำอะไรแล้วทำให้เขาเกลียดขึ้นมาก็คงไม่มีจุดจบที่ดีอะไรนักหรอก” ฉายาที่เดิมควรได้รับการประกาศเสียงดัง แต่กลับกลายเป็นฉายาธรรมดา บ้านที่ควรเป็นบ้านปกติกลับกลายเป็นบ้านที่แสนจะผุพัง
เหยียนซวี่พยายามนึกทบทวน เหมือนว่าทุกเรื่องเลวร้ายที่เขาทำก็ล้วนเป็นคำสั่งของเทพรัตติกาลทั้งสิ้น ดังนั้นท่านผู้อาวุโสป๋อเหยียนท่านนี้ถึงได้ชิงชังตัวเขานัก เขายิ้มอย่างขมขื่น ตอนนี้เขาอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของเทพรัตติกาลเหลือเกิน นอกเสียจากว่าเขาจะได้รับการโปรดปรานจากเทพที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง มิฉะนั้นใครจะกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเทพที่แท้จริงบ้าง
หลังจากบอกลาศิษย์พี่ผู้มีเจตนาดีมาบอกเขาพร้อมกับเรื่องสนุกๆแล้วเหยียนซวี่ก็เข้าไปในบ้านที่มุงด้วยฟางของตนเอง จากนั้นก็พบว่ามีเพียงด้านนอกเท่านั้นที่ดูไม่ดีแต่ภายในไม่ได้แย่ขนาดนั้น
“นี่คือสถานที่ที่เจียงไหวอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนักปรุงยา” เหยียนซวี่ได้ข่าวมาว่าเจียงไหวเป็นนักปรุงยา อีกอย่างชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก คนที่เทพรัตติกาลต้องการหานั้นไม่ใช่คนดีอะไร เขาเองก็เช่นกัน เพียงแต่อีกฝ่ายเข้าฌานไปแล้ว
เหยียนซวี่จึงทำได้แค่กลับไปยังที่พักของตนเอง แต่จู่ เขาก็ผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา พอความคิดนี้ปรากฏตัวก็กัดกร่อนความคิดของเขาไม่หยุด ทำเอาเขาอยากรีบไปหาจวินหาวเดี๋ยวนั้นเลย
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่มาหาข้า” จวินหาวคิดไม่ถึงว่าคนที่ตนเจอหลังจากออกฌานจะเป็นเหยียนซวี่ศัตรูในสำนักของเขา รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากทีเดียว
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่เจอข้า แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของเจ้ากระมัง” เหยียนซวี่มองรอบตัว นี่ไม่เหมือนสิ่งที่ราชาเทพที่เพิ่งบรรลุจะพึงมี
“ใช่แล้ว ข้ายืมพักอาศัยที่นี่ เจ้าต่างหากมีอะไรก็ว่ามา” ความรู้สึกที่จวินหาวมีต่อเหยียนซวี่คือความนิ่งเฉย กระทั่งในสำนักเขายังประหลาดใจในการกระทำบางอย่างของเหยียนซวี่
“ก็จริง จวินหาว ข้าอิจฉาเจ้านัก บางทีคนอื่นอาจไม่รู้แต่ข้ากลับรู้ว่าท่านเจ้าสำนักเป็นท่านอาของเจ้า เขาปกป้องเจ้ามาโดยตลอด” คำพูดของเหยียนซวี่ทำให้จวินหาวชะงักไป เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่เจ้าสำนักเป็นท่านอาของตน แต่ต่อให้เขาจะรู้ว่าท่านเจ้าสำนักเป็นอาของเขาก็ไม่ได้ถูกคนคอยจับตาน้อยลงไป
“แล้วจะอย่างไรเล่า เจ้าเองก็ต่างไปจากอดีต” จวินหาวพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ใช่ ความจริงก็เป็นอย่างนั้นแหละ ข้านึกว่าข้าหาที่พักพิงที่สุดยอดกว่าท่านอาของเจ้าได้แล้วแต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะเป็นแค่หมากของคนผู้นั้นเท่านั้น เดินผิดก้าวหนึ่ง มันก็จะผิดต่อไปเรื่อย ๆ” เหยียนซวี่ยิ้มอย่างขมขื่น
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” เช่นนั้นเรื่องประหลาดเหล่านั้นที่เหยียนซวี่ทำก็พอจะมีคำอธิบายได้แล้ว
“แต่นี่ก็เป็นทางเลือกที่เจ้าเต็มใจเลือกไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้านึกเสียใจทีหลังแล้วหรือไง” จวินหาวเอ่ยถาม
“ใช่ ข้านึกเสียใจขึ้นมาแล้ว เจ้ารู้ไหมช่วงวันเวลาที่ท่านผู้นั้นไม่มาหาข้า ข้าก็กำลังพยายามฝึกฝนบำเพ็ญเหมือนกับเจ้า ช่วงเวลานั้นข้ามีความสุขมาก ข้านึกว่าท่านผู้นั้นจะไม่มาหาข้าแล้ว สุดท้ายความจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าคิดมากไปเอง เขายังคงมาหาข้า ความคิดหลอกตัวเองก็พลันแตกสลาย” เหยียนซวี่เยาะเย้ยตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นจุดประสงค์ที่เจ้ามาหาข้าคืออะไร” มาโอดครวญสาธยายความทุกข์ให้ฟัง เขาเป็นถังขยะสินะ
“ข้าอยากหาใครสักคนไว้ระบายแต่ไม่เจอใคร ข้าเลยมาหาเจ้าด้วยความอยากรู้อยากลองคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยินดีรับฟัง ข้าเทียบเจ้าไม่ได้ จวินหาว ขอให้เจ้าคว้าตำแหน่งนั้นมาให้ได้ล่ะ” เหยียนซวี่พูดจบก็จากไป
ดังนั้นเขาเป็นถังขยะจริงๆ ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่าตัวเองมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย แต่น่าประหลาดเพราะเขารู้สึกว่าเหยียนซวี่ก็เป็นคนน่าสงสาร
………………………………………..