“ฉันสบายดีมาก” ร่ายกายก็แข็งแรง ท้องก็กินอิ่ม เธอไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เพียงแต่รู้สึกว่าตนลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป เรื่องที่สำคัญกับเธอมาก
ณ สถานที่เข้าฌานของสองสามีภรรยา หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีที่แน่นิ่งเหมือนตุ๊กตาพร้อมของเหลวสีเขียวบนใบหน้า ดวงจิตออกจากร่าง ดวงจิตกับร่างกายของนางแยกออกจากกัน จะเป็นไปได้อย่างไร สถานการณ์แบบนี้มีเพียงน้องหญิงของเขาต้องนึกขึ้นได้เอง ใครก็ช่วยนางไม่ได้ทั้งนั้น น้องหญิง ถ้าเจ้ายังจำข้าได้ก็รีบกลับมาเถิด หนานกงเวิ่นเทียนจับมือของหลิวหลีไว้
“อย่ามาโกหกฉันเลย ถ้าไม่ใช้เพราะไฝใต้ตาเม็ดนั้นเหมือนกับหลิวหลี ฉันคงสงสัยว่าเธอถูกสลับตัวแล้วแน่ๆ” ในโลกความเป็นจริงโม่หลีประคองใบหน้าหลิวหแล้วลีมองไฝสีดำเม็ดนั้นด้วยท่าทีจริงจัง
“ว่ามา เป็นเพราะวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ฉันไม่ได้ดูละครเป็นเพื่อนเธอหรือไง หรือเธอไปที่แปลกๆไหนมางั้นเหรอ” โม่หลีเค้นถามต่อโดยไม่ได้คลายมือออก ถ้าไม่บอกเหตุผลเธอก็ไม่ปล่อยมือหรอก
“เปล่า” หลิวหลีส่ายศีรษะตามความสัตย์ เธอรู้สึกเหมือนทำบางอย่างที่สำคัญมากหายไป
“จริงเหรอ?” อยากให้ฉันไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอหน่อยไหม” โม่หลีสงสัยอาการของหลิวหลี
“เธอไม่สบายเหรอ” หลิวหลีคว้ามือโม่หลีมาจับชีพจรอย่างถูกต้อง โม่หลีที่เห็นเช่นนั้นก็นิ่งชะงักไป ถ้าเธอจำไม่ผิดละก็ แม่หลิวหลีคนนี้กำลังติดนิยาย เหมือนเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์แผนจีน คงไม่ใช่ว่าเกิดอินขึ้นมากลางคันหรอกใช่ไหม
“ตับร้อนอารมณ์หงุดหงิดง่ายอยู่บ้างแต่ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร กินยาเทพศักดิ์สิทธิ์สักเม็ดก็หายดีแล้ว” หลิวหลีพูดด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นก็เอามือล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าแต่ก็ต้องตกใจ ไม่มี! ทำไมเธอได้ข้อสรุปนี้มา
“หลิวหลี เธอคงไม่ได้อินกับนิยายเกินไปหรอกนะ” มุมปากโม่หลีกระตุก ขนาดของในเรื่องเล่าอย่างยาเทพศักดิ์สิทธิ์ยังโผล่มาเลย ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอไม่ได้ดูละครเป็นเพื่อน แม่คนนี้ดูอะไรกันแน่
“นิยาย” หลิวหลีมุ่นคิ้ว กระดาษพวกนั้นในวันนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่คุ้นตาเอาเสียเลย สัญชาตญาณบอกเธอว่าไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษก็จะเห็นตัวหนังสือ แต่กลับไม่มีอะไร
“ใช่สิ เธอเป็นพวกติดนิยายหนัก เธอลืมไปแล้วเหรอ” โม่หลีชะงักไปแล้วก็รีบดูเวลา
“หลังเลิกงานพวกเราค่อยมาเถียงเรื่องนี้กันต่อ ตอนนี้ถ้ายังไม่รีบโผล่หน้าไปอาจารย์เฉินต้องโมโหมากแน่” โม่หลีลากเธอกลับไปประจำที่ เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายในช่วงเช้าต่อ อาศัยพรสวรรค์ด้านความจำของหลิวหลี จึงทำสำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็ว มุมปากโม่หลีเกร็งกระตุกพร้อมสอนอีกฝ่ายใช้คอมพิวเตอร์ ตกลงยัยนี่ไปไหนมากันแน่นะ แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็ใช้ไม่เป็นแล้ว แถมแค่ดูวิธีการใช้ของเธอแค่รอบเดียวก็ทำงานเสร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อีกทั้งยังพิมพ์สัมผัสเสียด้วย ทำได้ก็ช่าง แต่กลับไม่ผิดเลยสักนิด ทำให้ตอนเลิกงานอาจารย์เฉินดีกับหลิวหลีขึ้นมาก สีหน้าถมึงทึงก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง แถมยังบอกลาหลิวหลีด้วยท่าทางอ่อนโยนทำเอาโม่หลีรู้สึกสยดสยองไม่น้อย
หลิวหลีมองสิ่งที่ถูกเรียกว่าไอศกรีมซันเดย์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง เหมือนว่าเธอจะไม่ได้กินสิ่งนี้มานานมากแล้ว เธอจ้วงลงไปช้อนหนึ่งแล้วใส่ปาก อืม อร่อยจัง ควรจะทำให้… เดี๋ยวนะ เธอลืมใครไป ตกลงเธออยากจะทำให้ใครกินกันนะ ทำไมเธอลืมชื่อนั้นไปแล้วล่ะ
“หลิวหลี วันนี้เธอดูแปลกไปจริงๆนะ ทุกครั้งที่เราออกมาหาอะไรกิน ขอแค่อาหารยังไม่มาเสิร์ฟ ถ้าเธอไม่บ่นกับฉันว่าอาจารย์เฉินไม่มีหัวจิตหัวใจ ก็คงเล่นโทรศัพท์ แต่นั่งนิ่งๆแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยแฮะ” จู่ๆโม่หลีก็มีความคิดบ้าๆเกิดขึ้น หรือว่าเพื่อนสนิทของเธอถูกผีสิงหรือเปล่านะ แต่จะให้คนสมัยใหม่อย่างเธอมีความคิดที่เหลวไหลไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแบบนี้ ไม่สู้ใช้ความรู้ที่มีในตอนนี้มาแก้ปัญหา
“คุณน้าหลงคะ หนูโม่หลีนะคะ” โม่หลีตัดสินใจถามมารดาของเพื่อนรัก แม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของลูกตัวเองที่สุด ไม่มีทางที่จะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตขนาดนี้ของลูกสาวตัวเอง
“โม่หลีเหรอลูก มีธุระกับน้าเหรอ” คุณน้าหลงชอบเพื่อนลูกสาวคนนี้มากทีเดียว
“ก็นิดหน่อยค่ะ หลิวหลีกลับบ้านรอบนี้มีอะไรที่ดูแปลกไปบ้างไหมคะ” โม่หลีลองถามหยั่งเชิง
“ไม่มีนะ ก็ยังเหมือนเดิมนั่นล่ะ ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องผิดปกติก็มีอยู่เรื่องเดียว หนูลองคิดดูนะ อายุก็ 20 กว่าแล้วยังแย่งนมเปรี้ยวหลานอีก น้าว่าไปตั้งเยอะ แต่แม่ลูกสาวกลับย้อนน้าบอกว่า ‘หนูคงไม่ใช่หนูน้อยน่ารักของแม่ต่อไปอีกแล้วใช่ไหมคะ’ หนูคิดดูสิ หน้าไม่อายไหมล่ะ ถึงขนาดแย่งนมเปรี้ยวหลานอายุ 2 ขวบเนี่ย” คุณแม่หลงบ่นลูกสาวตนเองอย่างไร้ท่าทีกดดัน โม่หลีได้ฟังก็เอามือกุมหน้า นี่เป็นเรื่องที่แม่เพื่อนรักคนเก่าของเธอทำได้แน่นอน เจ้าตัวถือว่าตนเองเป็นลูกรักแม่ ดังนั้นเรื่องที่ชอบทำที่สุดก็คือแย่งนมหลานที่ยังไม่รู้ภาษา พอแย่งไม่ได้ก็ไปหาพ่อแม่ของหลานซึ่งก็คือพี่ชายของตัวเอง พอฟ้องแล้วก็รอพี่ชายซื้อนมเปรี้ยวมาให้อีก 1 แพ็ค
“ค่ะ หนูทราบแล้วค่ะคุณน้า หนูจะว่าหลิวหลีให้นะคะ วางก่อนนะคะคุณน้า” โม่หลีกุมขมับ เธอไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรเลย
วันต่อมาหลิวหลีก็มาทำงานตรงตามเวลา งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก อาจารย์เฉินเผยรอยยิ้มที่เห็นได้ยากออกมา โม่หลีที่เห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ต้องนัดเพื่อนออกไปวัดหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่าเพื่อนรักเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่หรอกแต่เธอไม่คุ้นเอาซะเลย
วันที่สาม โม่หลีก็ยิ่งมองเพื่อนสาวของเธอด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
“โม่หลี ฉันทำอะไรผิดไปเหรอ” หลิวหลีประหลาดใจ สายตาของโม่หลีดูแปลกพิกล
“หลิวหลี ช่วงนี้เธอมาทำงานยังไงเหรอ” โม่หลีถามด้วยสายตาที่หลากหลายอารมณ์
“วิ่งมา” พอหลิวหลีพูดจบ โม่หลีก็ยิ่งมุ่งมั่นว่าไม่ว่าอย่างไรวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ต้องลากเพื่อนไปวัดให้ได้ หลิวหลีเพื่อนรักของเธอขึ้นชื่อเรื่องความขี้เกียจ ถ้านั่งได้ก็จะไม่ยืน ถ้านอนได้ก็จะไม่นั่ง สมรรถภาพร่างกายแย่ขนาดไหน เธอรู้ดีที่สุดแล้ว เพราะนิสัยชอบ หมกตัวอยู่บ้าน ร่างกายของเพื่อนถึงได้อ่อนแออย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิ่งเลย แค่มีเหงื่อไหลออกมาหนึ่งหยด เธอก็ต้องหาห้องแอร์แล้วแช่อยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง ดังนั้นการวิ่งมาทำงานสำหรับหลิวหลีคือเรื่องขบขัน ดังนั้นโม่หลีถึงมั่นใจว่าเพื่อนรักต้องถูกผีสิงแน่นอน ยิ่งทำให้การตัดสินใจของโม่หลีแน่วแน่ขึ้น ไม่ว่าอะไรก็ขัดขวางตนเองไม่ได้
“หลิวหลี วันหยุดเราไปเที่ยวเขตชานเมืองกันเถอะ ได้ยินมาว่าที่นั้นมีอะไรใหม่ ผุดขึ้นมาเยอะแยะเลย” โม่หลีลองถามหยั่งเชิง
“เอาสิ” หลิวหลีพยักหน้าตอบรับ โม่หลีทำหน้าบิดเบี้ยว ถึงแม้ปีศาจตนนี้จะไม่เลว เธอเองอยากได้เพื่อนอ่อนหวานแบบนี้มานานแล้ว แต่เธอก็ยังชอบเพื่อนที่ชอบทำตัวเป็นเด็กคนเดิมมากกว่า ดังนั้นเจ้าปีศาจต้องขอโทษด้วยนะ ถ้าเธอกลับมาเกิดเป็นคน ฉันจะพาหลิวหลีมาเป็นเพื่อนกับเธอนะ
แล้ววันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง โม่หลีเหม่อมองฝนที่ตกหนักนอกหน้าต่าง พระเจ้าคะ ท่านมาทำงานหนักผิดเวลานะคะ แล้วแบบนี้จะออกจากบ้านยังไง แล้วมองเห็นสีหน้าของปีศาจตัวนั้นที่สื่อว่าทำไมยังไมออกไปอีก โม่หลีกัดฟัน อย่างมากก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า เธอกัดฟันอีกครั้งแล้วออกไป ระหว่างนั้นก็ยังต้องสอนวิธีใช้ร่มกับเจ้าปีศาจ นี่ยิ่งทำให้โม่หลีมั่นใจเรื่องภูตผีปีศาจมากขึ้น เธอหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แต่พอนึกถึงอุปกรณ์ที่เตรียมมาในกระเป๋าก็สบายใจมากขึ้น เพื่อการเดินทางครั้งนี้ เธอค้นหาข้อมูลมาไม่น้อยแถมยังพกมาด้วยทั้งหมด และยังทุ่มเงินบูชายันต์ป้องกันตัวบนอินเทอร์เน็ตมาด้วย
แต่ไม่นานนัก ปีศาจตนที่เจอเป็นปีศาจที่ร้ายกาจไม่เบา นั่นเพราะระหว่างที่ยังไม่ทันตั้งตัวกระเป๋าก็ถูกเปิดออก แล้วอีกฝ่ายก็หยิบกระบี่ไม้ขึ้นมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย แล้วยังถามตนว่าพกกระเทียมมาเยอะแยะขนาดนี้ทำไมด้วยท่าทีจริงจัง อีกทั้งกระดานแปดทิศเป็นของลัทธิเต๋า เธอได้ยินมาว่าที่นั่นมีแค่วัดเท่านั้นจะเป็นการลบหลู่หรือเปล่า อีกทั้งยันต์คุ้มครองของเธอด้วย พออีกฝ่ายพิจารณาเสร็จก็บอกเธอว่าของชิ้นนี้มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ ถ้าตัวเธอพกติดตัวไว้จะพาหายนะมาให้แล้วริบเอาไป บอกว่ากลับไปแล้วจะจัดการให้แล้วจะเอาคืนให้เธอ
เมื่อเทียบกันกับโม่หลีที่แสร้งทำหน้านิ่ง หลิวหลีจิตใจฟุ้งซ่านยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่ใช่เพื่อนสนิทกัน แต่ท่าทีเสแสร้งของอีกฝ่ายทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่ใช่เพื่อนกันจริง แต่เป็นคนที่น่ากลัวในสายตาอีกฝ่าย งั้นตกลงตัวเธอเป็นใครกันแน่ เธอรู้สึกได้ว่าตนเองกับร่างกายนี้เข้ากันดีมาก เดี๋ยวนะ ตนเองกับร่างกายเข้ากันได้ดีนี่มันอะไรกัน ตกลงแล้วตนเองเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้มักรู้สึกว่าลืมเรื่องสำคัญอะไรไป แถมเป็นเรื่องที่สำคัญมากด้วย แต่ไม่ว่าตนเองจะพยายามแค่ไหนก็นึกไม่ออก
พอถึงวัด โม่หลีก็ผ่อนลมหายใจ แสงแห่งพระธรรมที่นี่ส่องสว่างเป็นประกายแบบนี้ อีกฝ่ายคงไม่กล้าเข้าไปล่ะมั้ง ในระหว่างที่โม่หลีกำลังครุ่นคิด ก็มองเห็นหลิวหลีตะโกนเรียกตนเองจากด้านใน แล้วน้ำตาแอบรินไหลเงียบๆในใจ ตกลงคนตรงหน้าเป็นปีศาจอะไรกัน ไม่คิดเกรงกลัวแสงพระธรรมบ้างเลยหรือไง หรือเธอควรหาวัดเต๋าที่มีนักบวชเต๋าสักคนแทน
พอโม่หลีไหว้พระกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแข็งค้าง แล้วโม่หลีก็ลากหลิวหลีไปเซียมซี ประจวบกับเจอพระสายปฏิบัติรูปหนึ่งที่แอบอู้ในวันฝนตก เพียงแต่ไม่มีใครรู้
โม่หลีเขย่าเซียมซีอย่างเลื่อมใส แล้วขอให้พระอธิบายให้ฟัง
“คิดมากไป” โม่หลีไม่เข้าใจ เรื่องคิดมากนี่มันเรื่องอะไร ทั้งที่เจ้าปีศาจตัวนี้กับเพื่อนรักของนางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผลคือได้คำทำนายเช่นนี้ นี่คงเป็นพวกต้มตุ๋นล่ะสิ
หลิวหลีเขย่าเซียมซีออกมาอันหนึ่งอย่างลวกๆ นางไม่ค่อยเชื่อเจ้านี่
“โยม ท่านมาที่นี่ก็นานพอควร ถึงเวลาที่ควรกลับไปได้แล้ว” เขามองหลิวหลีแล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง เป็นเทพงั้นหรือ เพียงแต่ที่แห่งนี้มิใช่ที่ของนาง ดังนั้นเขาถึงบอกนาง
“กลับไป แล้วจะให้กลับไปไหน” หลิวหลีขมวดคิ้วมุ่น พระรูปนี้เก่งใช้ได้เลย
………………………………………………….