ตอนที่ 65 ประมุขรุ่นต่อไป !
จี้เทียนซิงรู้สึกอยู่เสมอว่าเฉียนเยวี่ยนั้นเต็มไปด้วยความรอบรู้มากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นมันทั้งเจ้าเล่ห์หลักแหลมจนคิดหาวิธีเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้
ยามที่มันบินไปถามมังกรน้อยว่าเห็นด้วยกับความคิดนี้หรือไม่ มังกรน้อยเพียงลังเลชั่วขณะ สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
“เข้าใจแล้ว ด้วยสถานการณ์ของหลงปิงในยามนี้ก็เป็นดั่งที่เฉียนเยวี่ยกล่าวนั่นแหละ ข้าไม่สามารถออกเดินทางจากรัฐนภากระจ่างได้เพียงลำพัง นับประสาอะไรกับการกลับสู่โพ้นทะเลตงไห่ เพื่อประโยชน์ของข้าในยามนี้คงทำได้เพียงอยู่กับพวกเจ้าเพื่อฟื้นฟูพลังไปเรื่อยๆ”
เมื่อจี้เทียนซิงเห็นมันยอมตกลงอย่างว่าง่าย ในใจของเขาก็มืดมนลงเพียงแค่ไม่แสดงออก เขากล่าวต่อไปว่า “ที่จริง… ข้าไม่อยากให้เจ้าติดตามข้าเลยเพราะปัญหาสำคัญคือตัวเจ้าใหญ่มาก แต่เห็นแก่หน้าเฉียนยวี่ย ถ้าเจ้ามีความจริงใจ ข้าก็ยินดีให้คำมั่น”
“ข้าสามารถปกป้องเจ้าจากการใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ได้ตามกำลังและความสามารถที่ข้ามี นอกจากนี้ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่งยังโพ้นทะเลตงไห่ในอนาคต แต่เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของข้าและไม่ทำตัวนอกลู่นอกทาง !”
มังกรน้อยไม่ได้โง่ มันรู้ว่าถ้าหากสัญญาตามที่ชายหนุ่มกล่าวเมื่อครู่ มันก็เหมือนเสียอิสรภาพอีกครั้ง ดังนั้นมันจึงขอเพิ่มเงื่อนไขอย่างรวดเร็วว่า
“จี้เทียนซิง ข้ามีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง นอกจากปกป้องข้าจนฟื้นฟูพลังและพาข้ากลับไปส่งโพ้นทะเลตงไห่ เจ้าต้องช่วยข้าตามหาผลึกมังกรด้วย !”
“หากเจ้าช่วยข้าหาผลึกมังกรพบ ข้าก็สามารถฟื้นฟูพลังและทักษะชั่วชีวิตได้ ข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าให้คอยปกป้อง ข้าสามารถดูแลตัวเองและกลับโพ้นทะเลตงไห่เองได้”
“ให้ช่วยตามหาผลึกมังกรงั้นหรือ ….?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว เขาคิดจะปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ
อย่างไรก็ตาม เฉียนเยวี่ยรีบส่งซิกให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วเพื่อให้รับปากอีกฝ่ายไปก่อน
หลังจากจี้เทียนซิงได้ยินคำแนะนำของเฉียนเยวี่ย เขาก็ยอมรับเงื่อนไขของมังกรน้อย “ตกลง ข้าสัญญากับเจ้า เมื่อข้าแข็งแกร่งพอ ข้าจะช่วยเจ้าหาผลึกมังกรและพาเจ้ากลับไปที่โพ้นทะเลตงไห่ !”
แม้ว่าชายหนุ่มจะรับปากด้วยสีหน้าจริงจัง แต่มังกรน้อยย่อมไม่เชื่อลมปากผู้ใดง่ายๆ มันกล่าวว่า
“จี้เทียนซิง เจ้าต้องสาบานต่อสวรรค์ข้าถึงจะยอมเชื่อ !”
จี้เทียนซิงพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยและสาบานด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข้า จี้เทียนซิงขอสาบานต่อสวรรค์…”
น้ำเสียงของเขานั้นเคร่งขรึมและจริงจัง มังกรน้อยหลับตาและรับฟังทุกถ้อยคำจนในที่สุดก็วางใจ
ในที่สุดเรื่องนี้ก็ได้ข้อสรุปแต่โดยดีต่อทุกฝ่าย จี้เทียนซิงเตรียมที่จะเดินออกจากทะเลสาบหยานชิงเพื่อกลับไปหาบรรดาเหล่าอาวุโสพร้อมกับผลึกฟ้า เพื่อผ่านการทดสอบตำแหน่งประมุขตระกูลจี้
มังกรน้อยรีบบินไปหาชายหนุ่มทันทีและถามด้วยเสียงทุ่มต่ำว่า “ จี้เทียนซิง หากเจ้าไปแล้วข้าจะทำอย่างไร ? เจ้าคิดจะให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไป ?”
จี้เทียนซิงหยุดเดินและหันไปมองมันอย่างอดไม่ได้พลางกล่าวจากใจจริงว่า “เสี่ยวเฮยหลง (มังกรดำน้อย 小黑龙) ถึงแม้ว่าขนาดร่างกายของเจ้าจะลดลงกว่าสิบเท่า แต่เจ้าก็ยังตัวใหญ่กว่า 3 เมตร !”
“ในเมื่อเจ้าตัวใหญ่โตเช่นนี้…. ข้าก็ไม่สามารถพาเจ้าไปไหนมาไหนได้เหมือนเฉียนเยวี่ย หากคนอื่นพบเห็นเจ้า ข้าก็ยากที่จะปกป้อง”
มันเผยสีหน้าครุ่นคิด
จากนั้นผ่านไปไม่นานมันก็เบิกตากว้าง สีหน้าแสดงออกถึงความสุขพลางกล่าวว่า
“ข้ามีทางแก้ปัญหาแล้ว !”
กล่าวจบมันก็บิดลำตัวยาวกว่าสามเมตรของมันและปรากฏแสงสีฟ้าสดใสขึ้น ร่างกายของมันเปลี่ยนไปทันที
ภายในพริบตาแสงสีฟ้าก็หายไปและกลายเป็นกระบี่สีดำยาวประมาณหนึ่งเมตร มันลอยไปหาจี้เทียนซิงช้าๆ
“จี้เทียนซิง ข้าสามารถจำแลงกายเป็นกระบี่ ดังนั้นเจ้าสามารถพาข้าติดตามไปด้วยได้แล้ว”
กระบี่มังกรเล่มนี้เป็นสีดำสนิท มันเปล่งประกายด้วยไอเย็นเฉียบอันแหลมคม
ใบมีดตรงกว้างสามนิ้ว ด้ามจับกระบี่เป็นลวดลายมังกรและพื้นผิวปกคลุมไว้ด้วยเกล็ดมังกรสีดำชั้นเลิศ
เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นได้ว่ากระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ทั่วไปและไม่มีอะไรผิดปกติ
จี้เทียนซิงเอื้อมมือไปจับที่ด้ามกระบี่และมองดูมันอย่างระมัดระวัง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“เยี่ยมเลยเสี่ยวเฮยหลง นี่เป็นวิธีที่ดีมาก ! นับแต่นี้ให้เจ้าคงรูปร่างเป็นกระบี่เช่นนี้แหละ !”
เฉียนเยวี่ยจ้องไปที่กระบี่มังกรดำสักพัก ดวงตาของมันแสดงรอยยิ้มลุ่มลึกและพูดว่า “เหอๆเสี่ยวเฮยหลง เจ้าก็นับว่าไม่ได้โง่เง่าเกินไปนัก กลับคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้”
เสี่ยวเฮยหลงกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “จิ้งจอกเหม็นเน่า เจ้าคิดว่าหลงปิงผู้นี้โง่ขนาดนั้นเลยหรือไง ? เจ้านั่นแหละที่เจ้าเล่ห์เกินไป !”
จี้เทียนซิงไม่สนใจการทะเลาะวิวาทของพวกมัน เขาเก็บกระบี่มังกรดำและหันหลังเดินออกจากทะเลสาบหยานชิง
หลังออกจากพื้นที่ต้องห้าม เขาดึงป้ายคำสั่งประมุขออกจากประตูใหญ่สีบรอนซ์ที่หน้าทางเข้า จากนั้นประตูก็ปิดลงอีกครั้ง
เมื่อเขาเดินผ่านป่าไผ่และกลับไปที่สวนหลังตระกูลก็พบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในศาลาอีกแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพบว่ามันเป็นเวลาบ่าย
สองชั่วโมงผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ที่ได้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม
“เหอะ ! สงสัยว่าบรรดาตาแก่พวกนั้นจะคิดว่าข้าตกตายในพื้นที่ต้องห้ามไปแล้วสินะ”
จี้เทียนซิงยิ้มเยาะและเดินผ่านสวนด้านหลังอย่างรวดเร็วและรีบกลับไปที่ห้องโถงหลักตระกูลจี้
เมื่อเขามาถึงประตูห้องโถงก็ได้ยินเสียงดังลอดออกมา เหล่าอาวุโสหลายคนกำลังโต้เถียงกันอย่างรุนแรง เขาก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไป เสียงของจี้ชางเหอก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะ “เหอๆ ผ่านไปสองชั่วโมงแล้วเทียนซิงก็ยังไม่กลับมา พวกท่านจะเสียเวลารอกันต่อไปทำไม ? คิดว่าอาศัยพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงของมันจะสามารถเอาตัวรอดในแดนต้องห้ามของตระกูลได้หรือ ? ฝันเฟื่อง ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ …”
จากนั้นเสียงอันดังลั่นของลุงสอง, จี้หรูเฟิ่งก็กระทบโสต
“พวกท่านอย่าได้เตะถ่วงอีกต่อไป ! ด้วยพลังของเทียนซิงป่านนี้คงตายไปนานแล้ว เอาล่ะ นับจากนี้ไปตำแหน่งประมุขรักษาการสมควรให้ข้าเป็น…….”
เสียงของจี้หรูเฟิ่งนั้นทรงพลัง เต็มไปด้วยอำนาจบารมีและความมั่นใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แต่ทว่า คำพูดของเขายังไม่ทันจะจบประโยคดี รอยยิ้มที่มั่นใจบนใบหน้ากลับแข็งค้าง
เขาทะลึ่งกายขึ้นอย่างตื่นตระหนกและเพ่งมองไปที่ประตูห้องโถงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยการแสดงออกอันเหลือเชื่อ
อาวุโสทั้งสามและเหล่าผู้บริหารหลายคนกำลังถกเถียงกันอยู่ ทันใดนั้นพวกเขาก็หันไปเห็นปฏิกิริยาของจี้หรูเฟิ่งจึงพากันหันศีรษะไปมองที่ประตู
ทุกคนต่างก็ได้เห็นจี้เทียนซิงในสภาพโลหิตชโลมไปทั่วอาภรณ์กำลังกุมกระบี่สีดำเล่มหนึ่งไว้ในมือ และก้าวยาวๆเข้ามาในห้องโถง
เขามีท่าทีไม่แยแส ดวงตาเหลือบมองไปยังแววตาที่มืดมนของจี้ชางเหอและอาวุโสอีกหลายคน สุดท้ายก็หันไปมองจี้หรูเฟิ่งพลางกล่าวว่า
“ท่านลุงสอง ท่านต้องการรับตำแหน่งประมุขชั่วคราวเพื่อเป็นผู้สั่งการในตระกูลจี้เช่นนั้นหรือ ?”
จี้เทียนซิงจ้องตาจี้หรูเฟิ่ง มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างเย้ยหยันและตะโกนเสียงต่ำว่า “เหอๆ….. เอาไว้ชาติหน้าเถอะ !”
สุดท้ายเขาก็เอื้อมมือไปหยิบผลึกสีฟ้าจากในแขนเสื้อมาไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็แสดงให้ทุกคนได้เห็น “นี่ไง ผลึกฟ้าที่พวกท่านถามหา ข้าได้มันมาแล้ว !”
ทันใดนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมในห้องโถงหลักจนแม้แต่เสียงเข็มตกพื้นก็ได้ยิน
3 อาวุโสและผู้บริหารอีกหลายคนจ้องมองไปที่ผลึกฟ้าบนฝ่ามือของจี้เทียนซิงและเผยให้เห็นสีหน้าที่ตกใจ
จี้เทียนซิงเก็บผลึกฟ้ากลับไปและชูป้ายคำสั่งประมุขขึ้นมาและตะโกนออกมาว่า
“นับแต่นี้ไป ข้าจี้เทียนซิงก็คือประมุขคนใหม่ของตระกูลจี้ !”
“ผู้ใดก็ตามที่หมายจะช่วงชิงตำแหน่งประมุขโดยมิชอบหรือพยายามแบ่งแยกคนของตระกูลจี้ ล้วนฆ่าโดยไม่ละเว้น !”
ทุกคนต่างเงียบกริบ
เหล่าผู้เฒ่าสมาชิกนอกรัฐทั้ง 4 คนเผยให้เห็นสีหน้าที่ประหลาดใจอย่างสุดซึ้ง หลังจากคืนสติได้แล้วพวกเขาก็พากันปรบมือและส่งเสียงคารวะจี้เทียนซิงทันที
ส่วนใบหน้าของจี้หรูเฟิ่งกลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ หัวใจตกวูบจากท้องนภาลงมาสู่ใต้ปฐพีอันมืดมิด
ความโกรธแค้นแสนสาหัสทำให้เขาแทบจะสำลักโลหิต ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด