ซูผิงรู้สึกสงสัย “ ปกติพ่อทำอะไรเมื่อออกทะเล”
“ งานของพ่อ…” ซูหยวนชาน ตอบด้วยรอยยิ้ม“ ในฐานะนักเดินเรือเราล่องเรือออกไปค้นหาวัตถุดิบหายากและเป็นที่ต้องการในทะเล ลูกคงรู้ใช่ไหมว่ามีรอยแยกมิติในดินแดนรกร้าง แต่ลูกอาจไม่รู้ว่าลูกสามารถพบรอยแยกเหล่านั้นในทะเลได้เช่นกัน แน่นอนว่าลูกจะไม่เห็นผู้คนมากมายต่อสู้กับสิ่งต่างๆในทะเลพร้อมกับอสูรป่ามากมายที่นั่น ใครก็ตามที่เจอวัตถุดิบจะเป็นเจ้าของโดยชอบธรรม
“ ลูกสามารถรวบรวมและหยิบอะไรก็ได้ที่เจอในรอยแยกมิติที่ในทะเล ตามธรรมชาติแล้วอาจเป็นอันตรายได้ ลูกอาจเจอราชาอสูรร้ายอยู่ในรอยแยกเหล่านั้น นั่นคือเวลาที่ผู้คนต้องการเรา ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบ”
“ แล้วพ่อจะทำอย่างนั้นได้ยังไง?”
“ เป็นงานที่ต้องทุ่มเทและใส่ใจเป็นพิเศษ เราอาจใช้อสูรบางตัวที่มีสัญญาชั่วคราว พวกเราชาวเรือจะเข้าไปเองถ้าไม่มีอสูร”
IIII
ซูผิงหมดคำจะพูด การสำรวจทะเลอาจถึงแก่ชีวิต แล้วคำว่าใส่ใจเป็นพิเศษหมายความว่าไง ซูหยวนชานเล่าต่อและแบ่งปันเรื่องราวของนักเดินเรือคนอื่น ๆ และอธิบายถึงรอยแยกมิติที่แปลกประหลาดที่สุดที่เขาเคยเห็น
ซูผิงฟังด้วยความสนใจ
พ่อของเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการผจญภัยของเขา แต่ซูผิงสามารถเข้าใจลักษณะที่น่ากลัวของงานได้ บางครั้งเขารู้สึกกลัวแทนพ่อของเขา
พวกเขาใกล้จะไม่มีเรื่องคุยต่อ ซูผิงก็ถามคำถาม “ จากสิ่งที่พ่อบอกผม ผมสามารถบอกได้ว่ายิ่งพ่อมีพลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีขึ้นเมื่อเป็นนักเดินเรือ ทำไมผู้ชายทั่วไปจึงชอบทำงานในทะเลกัน?”
เหตุผลสำหรับคำถามนั้นคือซูผิงไม่สามารถตรวจพบสัญญาณของพลังดวงดาวที่มีจากพ่อของเขา ซึ่งเขาไม่ใช่นักรบอสูรต่อสู้ เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
“ สิ่งที่ลูกพูดไม่ใช่แค่กฎสำหรับนักเดินเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาชีพทั้งหมดด้วย อย่างไรก็ตามผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าจะไม่ต้องการเป็นนักเดินเรือ แล้วทำไมไม่เลือกที่จะหารายได้ง่ายๆบนดิน? เฉพาะคนที่ชีวิตมีค่าน้อยเท่านั้นที่จะรับงานเป็นลูกเรือ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเป็นคนที่มีความกล้าที่จะทำงานนี้ด้วย” ซูหยวนชาน ตอบ
“ พวกเรามีลูกเรือหลายระดับ นักรบอสูรเป็นนักเดินเรือขั้นสูง และคนอย่างพ่อที่รับผิดชอบการขนส่งวัสดุก็เป็นแค่คนเดินเรือธรรมดาเท่านั้น”
ซูผิงตอบด้วยความเงียบชั่วขณะ
จากนั้นแม่ของเขาก็ขึ้นมาเรียกพวกเขา และให้พวกเขาไปช่วยทำเกี๊ยว
ซูหยวนชาน เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับซูผิง
ซูหยวนชาน สวมผ้ากันเปื้อนและไปที่ห้องครัวเพื่อสับหมูในขณะที่หลี่ฉิงรู่ล้างผัก ซูผิงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นมองพ่อแม่ของเขาที่ช่วยกัน ช่างเป็นภาพที่อบอุ่น แต่ยังขาดบางอย่าง เมื่อคิดต่อไปเขาก็ตระหนักว่าตัวขี้แกล้งของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
เขาสงสัยว่าเธอทำอะไรอยู่ที่สถาบัน
ซูผิงส่ายหัว
หลังจากนั้นไม่นานไส้เกี๊ยวก็พร้อม พ่อแม่ของเขาทำเกี๊ยว ในขณะที่ซูผิงนั่งรออาหารอยู่
พวกเขาทำเกี๊ยวค่อนข้างน้อย แม่ของเขาทำอาหารสำหรับซูผิงและ ซูหยวนชาน จากนั้นเธอก็กลับไปทำอาหารส่วนของเธอ
พ่อลูกนั่งลงบนโต๊ะกินข้าวและคุยกัน ซูหยวนชาน ถามสิ่งต่างๆเกี่ยวกับลูกชายของเขาเช่น ถามว่าเขาก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงเช่นนี้ได้ยังไง
ซูผิงหาข้ออ้าง แต่เขากลัวว่าจะถูกหาว่าไม่เหมาะสมเพราะเขามีความรู้สึกว่าจะหลอกพ่อของเขาได้ไม่ง่ายเหมือนแม่ เขาสงสัยว่าพ่อสืบเรื่องของเขามาหรือเปล่า สิ่งที่โชคดีก็คือ ซูหยวนชาน ไม่ใช่นักรบอสูร เขาอาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับนักรบอสูร แต่เขาก็เป็นคนธรรมดาซึ่งเป็นโอกาสที่ซูผิงสามารถสร้างเรื่องราวขึ้นมา
ทีวีเปิดอยู่
ทันใดนั้นรายงานข่าวก็ขัดจังหวะ ซูหยวนชานและซูผิง นั่นคือช่องทีวีอย่างเป็นทางการของเมืองฐานหลงเจียง ซึ่งจะรายงานข่าวจริงเสมอ เนื่องจากเป็นช่องอย่างเป็นทางการจึงไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ข่าวปลอมเพื่อดึงดูดความสนใจ มีภาพของเมืองฐานอื่น ๆ ในทีวีขณะนี้ เมืองฐานจิงไห่เป็นเมืองที่ไม่ไกลหรือใกล้จากเมืองฐานหลงเจียง แม้ว่ามันจะอยู่ใกล้ทะเลมากกว่าก็ตาม เรือที่ซูหยวนชานโดยสารกลับมาจอดที่ท่าเรือเมืองฐานจิงไห่
เมืองฐานจิงไห่ก็ตกอยู่ภายใต้การโจมตีเช่นกัน
ภาพของบ้านที่พังทลาย เศษซาก ซากศพที่ผิดรูป และเปื้อนเลือดของอสูรป่ากำลังฉายอยู่บนหน้าจอ
มีราชาอสูรร้ายอยู่ท่ามกลางอสูรป่าที่โจมตีเมืองฐานนั้น! แม้ว่าจะมีเพียงราชาอสูรร้ายเพียงตัวเดียว แต่ภัยคุกคามนั้นร้ายแรงต่อเมืองฐานจิงไห่ซึ่งเป็นเมืองฐานระดับ B โชคดีที่หลายคนจากเมืองฐานอื่น ๆ เข้ามาช่วย แม้เมืองฐานจิงไห่จะถูกทำลาย และมีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ราชาอสูรร้ายก็ไม่ได้กวาดล้างเมืองฐานให้หมดสิ้น!
นอกเหนือจากเมืองฐานทั้งสามที่ถูกโจมตีไปแล้ว เมืองฐานสองเมืองยังถูกล้อมรอบไปด้วยอสูรป่า นักข่าวกำลังสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เมืองฐานแห่งหนึ่ง
ซูผิงหมดความอยากอาหารหลังมองความเละเทะ
เขาจำฉากนรกด้านนอกเมืองฐานหลงเจียงได้ เมืองฐานพวกเขารอดและอสูรป่าด้านนอกไม่ได้เข้าเมือง แต่การบาดเจ็บล้มตายก็ยังมากกว่าเมืองฐานอื่น เขาช่วยเหลือ แต่จำนวนอสูรป่ามากเกินไป เขาได้ออกโรงจัดการราชาอสูร แต่ทว่า อสูรป่าที่เหลือก็พอจะบุกเมืองฐานชั้นนำอื่น ห้าตระกูลใหญ่กับกำลังเสริมที่เดินทางจากเมืองฐานอื่นต้องเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเมืองฐาน
พวกเขาชนะเพราะพวกเขามีจำนวนเยอะกว่าอสูรป่า
“ที่นั่นไม่ปลอดภัย..”ซูหยวนชานถอนหายใจ เขาหยิบเกี๊ยวขึ้นมากินเพิ่มและส่ายหัว
ซูผิงตอบกลับด้วยความเงียบ
เขาจำสิ่งที่เขาได้ยินเกี่ยวกับถ้ำลึกในหอคอยได้ เขาไม่รู้รายละเอียด แต่ทว่า การปรากฏของราชาสวรรค์ต่างโลกและการโจมตีเมืองฐานหลายแห่งได้บอกเขาว่าสิ่งนั้นเริ่มหลุดกรอบ
นอกจากเมืองฐานสามแห่งที่โดนโจมตีแล้ว เมืองฐานสองแห่งโดนล้อมด้วยอสูรป่า นักข่าวกำลังสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เมืองแห่งหนึ่ง
“ ผมมั่นใจไหม? นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงความมั่นใจ แต่เมืองฐานหานเฉิงพร้อมที่จะต่อสู้จนลมหายใจสุดท้ายของเรา!
“ เราตรวจพบการปรากฏตัวของราชาอสูรร้ายสองตัว เราขอความช่วยเหลือจากภายนอกอย่างจริงจัง นักรบอสูรกิตติมศักดิ์โปรดมาช่วยเราด้วย ผู้คนในเมืองฐานหานเฉิงจะไม่มีวันลืมความเมตตาของคุณ!”
ซูผิงสงสัยว่าหอคอยจะส่งกำลังเสริมไปยังเมืองฐานหานเฉิงหรือไม่ เมื่อไม่มีราชาอสูรร้ายอย่างราชาสวรรค์ต่างโลกอยู่ที่นั่น
ภาพที่น่าเศร้าและรอยเลือดในเมืองฐานหลงเจียงทำให้ซูผิงต้องการออกไป และช่วยเหลือเมืองฐานเหล่านั้นทันที
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งซูผิงก็ทำเกี๊ยวเสร็จ และกลับไปที่ร้านของเขาโดยไม่ค้างที่บ้าน
ที่ร้านของเขา
ซูผิงสังเกตว่าทุกคนที่รออยู่นั้นเป็นคนรู้จักทั้งนั้น
พวกเขาทักทายซูผิงทันที ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมเมื่อมองมาที่เขา ชื่อของเขาได้ยินไปทั่วเมืองฐานหลงเจียงในช่วงสองวันที่ซูผิงอยู่ในอาการโคม่า
หลังจากการต่อสู้ผู้คนเห็นว่าเมืองได้รับการปกป้องยังไง
บรรดาผู้ที่ได้รับการยกย่องจากห้าตระกูลใหญ่ได้ต่อสู้โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง อาสาสมัครนักรบอสูรกิตติมศักดิ์จากเมืองฐานอื่น ๆ พุ่งเข้าใส่อสูรป่าอย่างดุเดือด คนที่โดดเด่นที่สุดคือซูผิงที่ต่อสู้กับราชาสวรรค์อย่างสะเทือนฟ้าดิน
ซูผิงกลายเป็นชื่อที่ทุกครอบครัวพูดถึง
ผู้คนต่างรู้ดีว่าเป็นเพราะซูผิง ตระกูลใหญ่ทั้งห้าและผู้ที่เดินทางมาจากเมืองฐานอื่น ๆ จึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้
ซูผิงทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่นก่อนที่เขาจะเดินไปที่มุมหนึ่ง และโทรหาเพื่อนอย่างปรมาจารย์ดาบ
“คุณซูเกิดอะไรขึ้น?”
ปรมาจารย์ดาบไม่คิดว่าจะมีสายจากซูผิง “คุณอยู่ที่ไหน? คุณพอมีเวลามาที่ร้านของผมไหม?”
“ ผมกำลังเดินทางไปที่เมืองฐานหานเฉิง คุณซูมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ปรมาจารย์ดาบถาม
“ ผมบอกว่าผมจะให้ของขวัญคุณหลังจากการต่อสู้ถ้าคุณมาช่วยเรา คุณต้องไปช่วยต่อสู้กับอสูรป่าที่เมืองฐานหานเฉิง ของขวัญของผมสามารถช่วยคุณได้” ซูผิงตอบ
“คุณซู คุณทราบแล้วหรอว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองฐานนั่น?ไม่มีปัญหา ผมกำลังไป”ปรมาจารย์ดาบกล่าว
หลังจากวางสาย ซูผิงได้โทรหาอู่กวนเฉิงซึ่งเป็นคนสอนทักษะการรักษาให้ซูหลิงเยวี่ย เขาตกลงที่จะเดินทางไปยังเมืองฐานหานเฉิงเพื่อให้การช่วยเหลือ “คุณอู่ขอบคุณสำหรับสิ่งที่คุณทำเพื่อเมืองฐานหลงเจียง เมื่อคุณว่างเชิญมาที่ร้านของผม ผมมีของขวัญให้คุณ”
“คุณซูคุณใจดีมาก ผมจะไปแม้ว่าคุณจะไม่ได้ขอ ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองฐานจิงไห่ นักรบอสูรจำนวนมากกำลังรอให้ผมไปรักษาบาดแผลของพวกเขา ผมจะแวะไปที่ร้านของคุณเมื่อมีเวลา”อู่กวนเฉิงดีใจและประหลาดใจที่ได้รับสายจากซูผิง
ซูผิงจำข่าวที่เขาเห็นได้ เขาพยักหน้าแม้ว่าอู่กวนเฉิงจะไม่สามารถมองเห็น
เขาเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรับลูกค้าหลังจากโทรเสร็จ
ความจริงคือถังยู่หรานสามารถดูแลลูกค้าเหล่านั้นให้เขาได้สบายๆ การปรากฏตัวของเขาจำเป็นก็ต่อเมื่อลูกค้าต้องการการฝึกฝนมืออาชีพ
ลูกค้าประจำเหล่านั้นมาที่นี่หลายครั้ง แต่สถานะทางการเงินของพวกเขาไม่อนุญาตให้พวกเขาเลือกการฝนมืออาชีพ การโจมตีของอสูรร้ายยังก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งทุกคนรู้สึกได้ นอกจากประชาชนทั่วไปแล้วแม้แต่ครัวเรือนที่ร่ำรวยก็มีปัญหาจากการล้มละลาย บริษัทบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเข้าส่งออกได้รับความเดือดร้อนอย่างมากเมื่อเมืองฐานหลงเจียงตัดสินใจปิดพรมแดนเพื่อเยียวยา
ซูผิงรับออเดอร์ของลูกค้า และมองดูพวกเขาแต่ละคนเดินไปที่ประตู ลังจากลูกค้าขอบคุณสำหรับสิ่งที่เขาทำเพื่อเมืองฐานหลงเจียงอีกครั้ง
ซูผิงเดินกลับเข้ามาข้างในซึ่งดูเหมือนจะค่อนข้างว่างเปล่าหลังจากที่ลูกค้าจากไป การต่อสู้ได้ส่งผลกระทบต่อร้านค้าของเขาเช่นกัน ลูกค้าเก่าหลายคนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะฝึกอสูรของพวกเขาในขณะนี้
ซูผิงสงสัยว่าเขาควรติดต่อฉินตู้หวงและขอให้ตระกูลใหญ่ทั้งห้ามาสนับสนุนธุรกิจของเขาไหม ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถรวบรวมแต้มพลังงานได้เพียงพอที่จะชุบชีวิตมังกรเพลิงและอัปเกรดร้านค้าของเขาโดยเร็วที่สุด
ในขณะที่เขากำลังคิด เขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่นอกร้าน
เขาเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นเคย
บางอย่างไม่ใช่ใครบางคน
หนูตัวจ้ำม่ำ
ขนสีม่วงนั่นบอกซูผิงว่ามันคือหนูสายฟ้า
แต่ตัวนี้ค่อนข้างอ้วน เจ้านายของมันเลี้ยงดูมันอย่างดี
ซูผิงจำดวงตาของหนูสายฟ้าได้ในพริบตา เขาเป็นคนฝึกฝนหนูสายฟ้า มันเป็นอสูรของซูหยานหยิง
วินาทีต่อมาซูผิงก็หน้าซีดเผือด! เขาสัมผัสได้ว่าหนูสายฟ้าไม่มีเจ้านาย เขาสามารถทำสัญญากับมันได้!
นั่นทำให้ซูผิงเจ็บปวดใจ ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเขา แต่เขาปัดมันออกไป และรีบไปหาหนูสายฟ้า
อสูรตัวน้อยกำลังนั่งยองๆบนบันได มองไปรอบ ๆ อย่างสับสน ซูผิงขยับเข้าไปใกล้ๆมัน
หนูสายฟ้าจำซูผิงได้เช่นกัน
ภาพความทรงจำหลั่งไหลกลับมาในหัวของหนูสายฟ้า ขนของมันตั้งตรง หนูสายฟ้าแยกฟันใส่ซูผิง
น่าแปลกใจนะเนี่ย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าตัวน้อยนี่ก็ยังจำฝังใจ
เขาลูบหัวหนูสายฟ้า “แกมาทำอะไรที่นี่? เจ้านายของแกไปไหน?”
หนูสายฟ้าต้องการเอาหัวออกจากการลูบเบา ๆ แต่ก็ระวังบางอย่างในเวลาเดียวกัน ในที่สุดหนูสายฟ้าก็ยอมให้ซูผิงลูบมัน อย่างไรก็ตามประกายไฟฟ้ากำลังเต้นอยู่รอบ ๆ และมันยังคงแยกเขี้ยว
แต่ถึงกระนั้นหนูสายฟ้าก็หยุดกะทันหัน ขนของมันอ่อนลงขณะที่ซูผิงตั้งคำถามเหล่านั้น ประกายไฟฟ้าดับลง อสูรร้ายตัวน้อยมองซูผิงด้วยความงุนงง
หัวใจของซูผิงเต้นผิดจังหวะ
หนูสายฟ้ามองไปรอบ ๆ และพยายามดิ้นรนให้ห่างจากมือของซูผิง มันหันกลับไปมองไปที่ถนน พยายามหาอะไรบางอย่าง
ซูผิงอยู่ในความงุนงง มีเงาทอดอยู่บนใบหน้าของเขา ซ่อนการแสดงออกของเขา
“ อสูรตัวนี้มาจากไหน?”ถังยู่หรานประหลาดใจที่เห็นหนูสายฟ้า
จงหลิงถงออกมากับเธอ เธอสามารถบอกบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว“ ฉันไม่คิดว่ามันจะมีเจ้าของ นี่คือหนูสายฟ้าใช่ไหม ฉันตรวจพบระดับพลังสายฟ้าที่น่ากลัวอยู่ข้างใน”
“ ไม่มีเจ้าของ? มันเป็นอสูรร้ายหรือเปล่า? ไม่ ดูสร้อยคอนั่นสิ หนูสายฟ้าตัวนี้ต้องมีเจ้าของ” ถังยู่หรานกล่าวหลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียด
หลังจากนั้นซูผิงก็สังเกตเห็นสร้อยคอที่ซ่อนอยู่ในขนสีม่วง จี้เป็นรูปหัวใจสีเงิน ซูผิงเอื้อมมือไปจับสร้อยคอ แต่การกระทำนั้นทำให้หนูสายฟ้าลุกขึ้น มันกระโดดตัวยืนทันที และแยกฟันใส่ซูผิงอีกครั้ง
คราวนี้หนูสายฟ้าไม่ได้ซ่อนความดุร้ายของมัน พลังสายฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากหนูสายฟ้านั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ทั้งถังยู่หรานและจงหลิงถงต่างตกตะลึงกับระดับพลังงานนั้น
ถังยู่หรานจำอะไรบางอย่างได้ เธอจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มักจะเอาหนูสายฟ้ามาฝึกอยู่ตลอดเวลา
เธอตระหนักถึงบางสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของเธอขุ่นมัว
ซูผิงไม่ได้โกรธที่หนูสายฟ้าตั้งตัวเป็นศัตรู เขาไม่ได้พยายามที่จะบังคับมัน เขาเพ่งมองและเห็นคำว่า “หยิน” สลักอยู่บนจี้เงิน
แกมาที่นี่…
เพื่อรอเจ้านายของแกใช่ไหม?
ซูผิงกำหมัดแน่น
เขามั่นใจว่าซูหยานหยิงจะไม่มีทางทิ้งหนูสายฟ้า อสูรที่ทรงพลังที่สุดของเธอ เว้นแต่จะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ
ซูผิงจำตอนที่ซูหยานหยิงและเย่ห่าวแวะมาบอกลาก่อนการต่อสู้ได้
เขาไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พูดกับซูหยานหยิง
ซูผิงกัดฟัน
เขาเต็มใจที่จะไปเผชิญหน้ากับราชาสวรรค์ต่างโลกเพราะเขาไม่ต้องการเห็นอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนของเขา ลูกค้าของเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ล้มเหลวในการปกป้องพวกเขาทั้งหมด
หนูสายฟ้าจ้องมองซูผิงชั่วครู่ หนูสายฟ้าสงบลงเนื่องจากเขาไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม หนูอ้วนมาที่นี่ และมองไปรอบ ๆ เพื่อรออะไรบางอย่าง
แต่ถนนว่างเปล่า ไม่มีคนเดินเท้าแม้แต่คนเดียว
ทันใดนั้นซูผิงก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมา เขาพบหมายเลขของเย่ห่าว เขาโทรหาทันที เสียงรอสายทำให้เขายิ่งเครียด เขากังวลว่าจะได้ยินสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยิน แต่ในไม่ช้าปลายสายก็รับ และเย่ห่าวเป็นคนรับสาย
“คุณซู?”
ซูผิงรู้สึกโล่งใจ “ คุณบอกว่าคุณจะเข้าร่วมการต่อสู้ ซูหยานหยิงเป็นยังไงบ้าง?”
เขาไม่ได้รับการตอบกลับ ความหวังสุดท้ายนั้นได้ดับลง