ซูผิงก้าวไปข้างหน้า
หมอกเหนือป่าสุสานกระจายออกไป เผยให้เห็นมุมมองที่สมบูรณ์แบบ บางทีอาจเป็นเพราะค่ายกลที่ถูกทำลาย
ป่าสุสานอยู่ในพื้นที่ต่ำ มีม่านพลังที่มีเส้นสีม่วงวิ่งไปทั่วเนิน ม่านพลังล้อมรอบพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเมตร; พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในม่านพลังว่างเปล่า บางส่วนถูกครอบครอง น่าจะเป็นนักเรียนที่บ่มเพาะอยู่
ที่นี่ถูกจัดวางเหมือนนาขั้นบันได ซูผิงจ้องมองไปไกล ยิ่งอยู่ในแอ่งลึกเท่าไร คนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น
เขาเห็นคนนั่งอยู่ในที่ลึกที่สุดและฝึกฝนอยู่ อย่างไรก็ตามราวกับว่ารู้สึกอะไรบางอย่างบุคคลนั้นหยุดการทำสมาธิ
ซูผิงจำได้ว่าหานยู่เซียงและอวิ๋นว่านหลี่พูดว่าหนานเฟิงเทียนอยู่ที่ชั้นที่ 19 เขาจ้องไปที่นักเรียนคนนั้น และเดินไป
ปีศาจกรีดร้องและลมก็พัดแรง พลังงานชั่วร้ายต้องการมาหาซูผิง แต่ยังคงเว้นระยะอยู่รอบตัวเขาขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าราวกับว่ามันกลัวอะไรบางอย่าง
ชั้นที่ 19
ภายในม่านพลัง
หนานเฟิงเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ ขมวดคิ้วแน่นเพราะเขารู้สึกว่าการโจมตีจากพลังงานชั่วร้ายลดลง เสียงร้องและเสียงกรีดร้องที่เขาได้ยินในจิตใจของเขาลดลง เขางุนงง เขาไม่เคยมีประสบการณ์นี้ในการฝึกฝนของเขา
เป็นเพราะมรดกที่เขาได้รับจากตระกูลของเขาหรือเปล่า?
เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าหน้าอก และหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมา
หยกมีรูปทรงผิดปกติ ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับมัน นอกจากแสงอ่อนโยนที่ส่องประกายออกมา
อย่างไรก็ตามหนานเฟิงเทียนตระหนักดีถึงคุณค่าของหยกชิ้นนี้ มันสามารถปกป้องหัวใจกับวิญญาณของผู้คนและช่วยให้ต้านทานการโจมตีของราชาอสูรร้ายได้!
แม้แต่นักรบอสูรในตำนานก็ยังต้องการสมบัติเช่นนี้!
หน่านเฟิงเทียนกล่าวกับตัวเองว่า “การมาที่นี่ไม่มีความหมาย หากหยกนี้ขับไล่พลังชั่วร้าย…”
เขาเก็บหยกไปเวลาที่เขาบ่มเพาะ เพราะเขาต้องการถูกโจมตีด้วยพลังงานชั่วร้ายอย่างสูงสุด เพื่อที่เขาจะได้ฝึกฝนจิตวิญญาณของเขา
หากหยกนั้นทำให้พลังชั่วร้ายอ่อนลง การอยู่ที่ชั้นที่ 19 จะไม่เป็นประโยชน์เท่ากับการอยู่ที่ชั้นที่ 18 โดยไม่มีหยก
หน่านเฟิงเทียนส่ายหัว เขากำลังจะออกไปแต่ผนึกรอบตัวเขาเริ่มสั่น เส้นสีม่วงที่ซ่อนอยู่ในม่านพลังก็ปรากฏให้เห็น
นั่นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับหนานเฟิงเทียนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เกิดอะไรขึ้นกับป่าสุสาน?
หนานเฟิงเทียนตัดสินใจที่จะไม่อยู่ต่อ นั่นเป็นสถานที่สำหรับบ่มเพาะ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย หากมีอะไรเกิดขึ้น การอยู่นานเกินความจำเป็นอาจนำไปสู่ความตายและอันตรายได้
ม่านพลังแตกเมื่อหนานเฟิงเทียนกำลังจะออกจากพื้นที่ ร่างที่ล้อมรอบด้วยความมืดโผล่เข้ามา
หนานเฟิงเทียนก้าวถอยหลังและหัวใจของเขาเต้นแรง “อะไร นายเป็นใคร?” เขารู้สึกว่าพลังงานชั่วร้ายที่อยู่รอบๆ ตัวคนๆนี้น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เขารู้สึกในการบ่มเพาะ
เขายังคงบ่มเพาะ?
เขาอยู่ในจิตสำนึกของเขาหรือเปล่า?
“นายคือหนานเฟิงเทียน?” ซูผิงมองเขาจากที่สูง
หนานเฟิงเทียนรู้สึกสับสน “นายรู้ได้ยังไง??”
“นายรู้จักซูหลิงเยวี่ยไหม? เห็นเธอครั้งสุดท้ายที่ไหน? ซูผิงถาม
หนานเฟิงเทียนยิ่งงุนงงมากขึ้นไปอีก “ซูหลิงเยวี่ย?”
หวืด! หวืด!
สองคนมาถึงอวิ๋นว่านหลี่และหานยู่เซียง
อวิ๋นว่านหลี่แนะนำซูผิงตอนเขาเห็นหนานเฟิงเทียนที่ตกตะลึง และสับสน “ผู้ท้าทายโชคชะตาซู ออกจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกันเถอะ”
“อาจารย์?”
หนานเฟิงเทียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขากำลังเห็นอวิ๋นว่านหลี่และหานยู่เซียงอยู่ในนี้ เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเขายังคงฝึกฝนอยู่ มิฉะนั้นทำไมอาจารย์ใหญ่ที่หาตัวยากจึงมาปรากฏตัวที่นี่?
“แน่นอน”
ซูผิงมองหนานเฟิงเทียนแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
อวิ๋นว่านหลี่โล่งใจ เขาคว้าหนานเฟิงเทียน และบินกลับไปพร้อมกับหานยู่เซียง
พวกเขาออกจากป่าสุสาน
ในที่สุดเฟยเทียนอวี่และนักเรียนคนอื่น ๆ ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นอวิ๋นว่านหลี่จับหนานเฟิงเทียนไว้ในมือ พวกเขาไปถึงชั้นที่ 19 ในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นชั้นที่ยากเกินไปสำหรับนักเรียนทั่วไป
นักเรียนจ้องมองไปที่ซูผิงที่เลิกแผ่เจตนาฆ่าของเขาแล้ว ทว่าสิ่งที่เขาทำได้สร้างความประทับใจให้นักเรียนอย่างลึกซึ้งและยาวนาน
“คุณหนาน ผู้ท้าทายโชคชะตาซูอยากถามอะไรคุณบางอย่าง ตอบคำถามของเขาอย่างตรงไปตรงมา อย่าโกหก!”อวิ๋นว่านหลี่วางหนานเฟิงเทียนลงและเตือนเขา
เขาแอบมองซูผิง
เขาเพิ่งคิดว่าซูผิงและเขามีพลังเท่าๆกัน
แต่สิ่งที่ซูผิงเพิ่งจะทำไปทำให้เขาตระหนักว่าชายหนุ่มคนนี้น่าจะอยู่ในสภาวะว่างเปล่า!
นั่นคือสภาวะที่อวิ๋นว่านหลี่ไม่สามารถไปถึงได้ เมื่อพิจารณาถึงความแก่ของเขา หากไม่มีโชคใดๆ เลย เขาจะตายในฐานะนักรบอสูรในตำนานสภาวะสมุทร
“อาจารย์?”
หนานเฟิงเทียนถาม “นี่เป็นความจริงเหรอครับ?”
อวิ๋นว่านหลี่เรียกชายวัยกลางคนให้เข้ามาหาเขา “จุดตะเกียงให้เขา”
ชายวัยกลางคนหยิบตะเกียงออกมาแล้วใส่พลังดวงดาวเข้าไปข้างในแล้วค่อยๆจุดไฟ
หนานเฟิงเทียนมั่นใจว่าเขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว
ตะเกียงเป็นเครื่องพิสูจน์
ตะเกียงไม่สามารถมองเห็นได้ในจิตสำนึกของบุคคล ตะเกียงนั้นเป็นสมบัติลึกลับและผู้คนไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบอื่น ๆ ยกเว้นว่าจะไม่มีใครสามารถเห็นตะเกียงนี้ได้เมื่อพวกเขาติดอยู่ในจิตสำนึก ตะเกียงสามารถมองเห็นได้ในความเป็นจริงเท่านั้น “ผู้สังเกตการณ์ป่า” จะใช้ตะเกียงช่วยนักเรียนบอกว่านี่คือความจริง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”
หลังจากยืนยันว่าเขาอยู่ในโลกแห่งความจริง หนานเฟิงเทียนทักทายอวิ๋นว่านหลี่อย่างรวดเร็ว
อวิ๋นว่านหลี่โบกมือ “หนาน ตอนนี้บอกผู้ท้าทายโชคชะตาซูทุกสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับคุณหนูซู”
“ผู้ท้าทายโชคชะตาซู?”
หนานเฟิงเทียนสงสัยว่าเขาได้ยินถูกต้องหรือเปล่า…
แต่ไม่กล้าถาม เขายังคงจำได้ว่าชายหนุ่มปรากฏตัวต่อหน้าเขายังไง เจตนาฆ่าของชายหนุ่มทำให้เขาเชื่อว่าเขายังติดอยู่ในจิตสำนึกของเขา มิฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องใช้ตะเกียงเพื่อช่วยให้เขารู้ว่าเขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงจากประสบการณ์อันยาวนานในการฝึกฝนที่นี่
“อาจารย์ คุณหนูซู อาจารย์หมายถึง…?” หนานเฟิงเทียนถาม
“อย่าชักช้า เรากำลังถามแกเกี่ยวกับผู้หญิงที่หายตัวไปเพราะแก!” ซูผิงตะโกน
หนานเฟิงเทียนกลัว แต่เขาก็สงบลงทันที “ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร เรามีคนมากมายที่ชื่อซูในสถาบัน ผมจะรู้ได้ยังไงถ้าคุณไม่บอกชื่อ ส่วนใครหายไปเพราะผม… ผมกำลังบ่มเพาะ ผมไม่เคยและจะไม่สนใจเกี่ยวกับการรังแกนักเรียนคนอื่น”
ซูผิงหรี่ตาลง “แกโกหก”
หนานเฟิงเทียนรู้สึกขุ่นเคือง “ทำไมคุณพูดแบบนั้น? ผมเป็นลูกหลานของนักรบอสูรในตำนาน และมีสายเลือดอันสูงส่งในตัว ผมจะโกหกทำไม”
อวิ๋นว่านหลี่จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจี้เฟิง เขาสังเกตเห็นสัญญาณอันตรายบนใบหน้าของซูผิง“ผู้ท้าทายโชคชะตาได้โปรดใจเย็นๆ ครับ ฟังที่เฟิงเทียนจะพูดก่อน”
เขาพูดกับซูผิงด้วยความเคารพมากขึ้น
สิ่งที่ซูผิงทำในการบุกเข้าไปในป่าสุสานทำให้เขาตกตะลึงอย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะว่าหนานเฟิงเทียนเป็นทายาทของนักรบอสูรในตำนาน และเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ดีที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของสถาบัน อวิ๋นว่านหลี่คงไม่ทำให้ซูผิงขุ่นเคืองเพราะนักเรียนคนเดียว
“เรากำลังถามคุณเกี่ยวกับซูหลิงเยวี่ย มีคนเห็นเธออยู่กับคุณและจี้เฟิงก่อนที่เธอจะหายตัวไป รู้ไหมว่าเธอไปไหน” อวิ๋นว่านหลี่ถาม
หนานเฟิงเทียนส่ายหัว “อาจารย์ครับ ผมไม่รู้จริงๆ คุณหนูซูเป็นนักเรียนใหม่ เธอมีความสามารถและผมต้องการให้เธอเข้าร่วมกับผมเพื่อมาปกป้องตระกูลของเรา แต่ผมบ่มเพาะอยู่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผมไม่รู้ว่าเธอหายตัวไปก่อนที่คุณจะบอกผม”
“อย่างที่บอก แกโกหก”
ซูผิงจ้องหนานเฟิงเทียนเขม็ง “ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับสายเลือดของแก หรือว่าตระกูลของแกมีนักรบอสูรในตำนาน ฉันจะฆ่าทั้งแกและนักรบอสูรในตำนานที่อยู่ในตระกูลของแก!” หนานเฟิงเทียนไม่อยากจะเชื่อคำพูดที่รุนแรงนี้
นักรบอสูรในตำนานของตระกูลเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ความจริงนั้นยังเตือนให้เขานึกถึงความภาคภูมิใจของสมาชิกทุกคนในตระกูล
“แกกำลังดูถูกนักรบอสูรในตำนาน แกรู้ไหมว่าแกก่ออาชญากรรมอะไรอยู่?” หนานเฟิงเทียนตะโกน
อวิ๋นว่านหลี่และหานยู่เซียงต่างหวาดกลัว อวิ๋นว่านหลี่เตือนหนานเฟิงเทียนทันที “หุบปาก ผู้ท้าทายโชคชะตาซูสามารถฆ่านักรบอสูรในตำนานได้ รักษามารยาทด้วย!”
หนานเฟิงเทียนประหลาดใจ
เขาสามารถฆ่านักรบอสูรในตำนานได้เนี่ยนะ?
ชายหนุ่มคนนี้ก็อยู่ในระดับตำนานหรอ?!
หัวใจของหนานเฟิงเทียนเต้นแรงและเลือดของเขากำลังเดือด เหงื่อของเขาไหลทะลักออกมา
อาจารย์ใหญ่อยู่ที่ระดับตำนาน และเขารู้เรื่องนั้นดี
นักรบอสูรในตำนานจะไม่โกหกเขา
“ผม ผมขอโทษ…” หนานเฟิงเทียนคุกเข่าลงและขอโทษทันที
หนานเฟิงเทียนรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกว่าอวิ๋นว่านหลี่ให้ความเคารพต่อซูผิงยังไง เขาจะต้องตายหากตอบไม่ดี