“ทำตามที่เขาบอก”อวิ๋นว่านหลี่ให้คำตอบของเขา
เนื่องจากอาจารย์ใหญ่ว่าอย่างนั้น หานยู่เซียงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม
หลังจากที่หานยู่เซียงไปรวบรวมนักเรียน อวิ๋นว่านหลี่กล่าวกับซูผิงว่า “ผู้ท้าทายโชคชะตาซู น้องสาวของคุณหายตัวไปที่นี่ ผมจะไม่มีทางยกโทษให้ตัวเอง ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยให้คุณหาเธอพบ โปรดยกโทษให้ผมด้วย”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ ผมบอกหานยู่เซียงให้ดูแลน้องสาวของผม ถ้าจะต้องโทษใคร เขาจะเป็นคนแรก” ซูผิงตอบ
อวิ๋นว่านหลี่ฝืนยิ้ม “ผู้ท้าทายโชคชะตาซู โปรดไปที่สนามฝึกกับผม ผมจะให้ยู่เซียงรวบรวมนักเรียนไปที่นั่น”
“ตกลง”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ที่ทุ่งโล่งข้างเนินเขา ตรงกลางสถาบัน ผู้คนหลายพันคนมารวมตัวกัน ทุกคนเป็นนักเรียนของสถาบัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เรามาที่นี่ทำไม?”
“ฉันได้ยินจากพวกในสโมสรเฟยว่า VIP บางคนอยู่ที่นี่ แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ยังกลับมา”
“จริงหรอ? ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์ใหญ่อยู่ในระดับตำนาน ฉันได้เจอเขาแค่สามครั้งเท่านั้นและทั้งหมดนั่นอยู่ในช่วงปฐมนิเทศ”
“ข้อมูลจากสโมสรเฟยต้องเป็นเรื่องจริง ฉันไม่คิดว่าจะมีใครกล้าแกล้งเป็นอาจารย์ใหญ่”
“มีอย่างอื่นอีก สถิติใหม่ที่หอคอยมังกรมีคนไปถึงชั้นที่ 33!”
“นายดื่มเหล้าองุ่นไปหรือไง? ชั้นที่ 33? ทำไมนายไม่บอกว่าชั้นที่ 333ไปเลยล่ะ?”
“ใช่ แม้แต่ศิษย์พี่เฟยยังเพิ่งถึงชั้นที่ 17 และคนที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ไปถึงชั้นที่ 22 เท่านั้น ชั้นที่ 33? ทำไมนายถึงเชื่อข่าวลือแบบนั้น”
นักเรียนพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
“ฉันสงสัยว่าใครที่มีความสำคัญมากจนเราทุกคนต้องอยู่ที่นี่”
ในมุมหนึ่งมีกลุ่มนักเรียนที่มีฉินเส้าเทียนยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าของเขาดูขุ่นมัว แววตาของเขาดูเฉียบคมน้อยลง แต่ดูเคร่งขรึมมากขึ้น
ข้างๆเขาคือหลิวฉิงเฟิง เย่หลงเทียน และ โจวหยุน
“ฉันไม่สนใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ทำไมเราถึงต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย? นี่เป็นการเสียเวลาในการฝึกฝนของฉัน!” เย่ หลงเทียนบ่นอย่างไม่พอใจ
หลิวฉิงเฟิงไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลเย่ ถึงเลือกคนที่หุนหันพลันแล่นเป็นว่าที่ผู้นำตระกูล ตระกูลเย่อาจประสบกับสถานการณ์ร้ายแรงหาก VIP นั้นได้ยินคำร้องเรียนนี้และไม่พอใจ
“ดูนั่นสิ นั่นไม่ใช่สวี่คังเหรอ?”
โจวหยุนชี้ไปที่แท่นทันที
คนเหล่านั้นประหลาดใจ
มันคือสวี่คัง!
พวกเขาเจอเขาที่ลีกสูงสุด สวี่คัง สุนัขสีดำตัวใหญ่ตัวนั้นที่เขาเรียกมานั้นสร้างความประทับใจให้กับพวกเขา พวกเขาทุดคนค่อนข้างกลัวมัน
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขามาถึงสถาบัน พวกเขาได้รู้ว่าสวี่คังเช่าอสูรตัวนั้นมา การทดสอบในสถาบันเผยให้เห็นความจริงที่ว่าอันดับของสวี่คังนั้นไม่เหมาะสม ในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นหนึ่งในนักเรียนที่แย่ที่สุด และเขามีชีวิตนักเรียนที่น่าสังเวช เขากำลังทำอะไรอยู่บนแท่นนั่น?
“เขามาที่นี่ทำไม?”หลิวฉิงเฟิงเปล่งเสียงออกมาด้วยความสับสน
เย่หลงเทียนเลิกคิ้ว “คราวนี้เขาไปทำให้ใครโกรธ? พวกเขากำลังจะลงโทษเขาในที่สาธารณะหรอ?”
โจวหยุนพยักหน้า “ดูคราบเลือดสิ ฉันคิดว่านายพูดถูก เขาโชคร้ายจริงๆ การเช่าอสูรสุดท้ายก็จะต้องคืนในไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนต้องพึ่งพาตนเอง”
หลิวฉิงเฟิงส่ายหัว
พวกเขาทั้งหมดมาจากเมืองฐานหลงเจียง แต่สวี่คังไม่ใช่หนึ่งในพวกเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในตระกูลใหญ่ทั้งห้าตระกูล สวี่คังไม่ได้พยายามมายุ่งกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สนใจที่จะไปเป็นเพื่อนกับเขาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไป
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน พวกเขาได้ยินนักเรียนบางคนกรีดร้อง ในไม่ช้าการสนทนาทั้งหมดก็เงียบลง มีคนตะโกนว่า “เขาอยู่ที่นี่!”
ผู้คนหันไปทางนั้น
มีผู้ชายหลายคนลงมาจากฟ้า
“นั่นเขาเหรอ?!”
ความไม่เชื่อเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของฉินเส้าเทียนเมื่อเขาเห็นชายคนหนึ่ง
มันคือผู้ชายคนนั้น!
“นั่นเขานิ!”เย่หลงเทียนจ้องมองด้วยความไม่เชื่อ
หลิวฉิงเฟิงแบ่งปันความประหลาดใจของพวกเขา
“เขามาทำอะไรที่นี่?” โจวหยุนถาม
ไม่ไกลจากพวกเขา ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็จ้องราวกับว่าเขาเห็นผีในเวลากลางวันแสกๆ เขาคือมู่เฉิน
ในบรรดาผู้ชายที่ลงมาจากฟ้า มู่เฉินจำผู้ชายสองคนได้ คนแรกคือหานยู่เซียงรองอาจารย์ใหญ่ และอวิ๋นว่านหลี่ชายลึกลับที่สุดในมหาวิทยาลัย
จากนั้นเขาก็จำซูผิงที่ยืนอยู่ระหว่างหานยู่เซียงกับอวิ๋นว่านหลี่ได้!
ซูผิงซึ่งเขาเจอในเมืองฐานหลงเจียง!
ทำไมเขาถึงมายืนอยู่ข้างอาจารย์ใหญ่!
“มู่เฉิน นายรู้จักเขาไหม?” หญิงสาวที่มีรูปร่างผอมเพรียวและใบหน้าที่สวยจนน่าทึ่งถาม มู่เฉินสับสนอยู่ เขาจึงไม่ได้ยินคำถาม
หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยานี้ มู่เฉินเป็นลูกแกะตั้งแต่เขาเลือกเข้าร่วมกลุ่มกับเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินเสียมารยาทตอนอยู่กับเธอ
แต่สิ่งนี้ทำให้เธออยากรู้มากขึ้น
“ทุกคนอยู่ที่นี่กันครบแล้ว?” ซูผิงถามหานยู่เซียง ตอนนี้ต้องมีผู้คนมากกว่าหนึ่งพันคน
หานยู่เซียงตอบทันที “ใช่ครับ”
ซูผิงพยักหน้า “คุณเป็นอาจารย์ใหญ่ ดังนั้นคุณจะถามแทนผม นักเรียนเคารพคุณ พวกเขาจะไม่โกหก”
อวิ๋นว่านหลี่คิดและพยักหน้า “แน่นอน”
นักเรียนเหล่านั้นไม่รู้จักซูผิง พวกเขาจะไม่ตอบอย่างตรงไปตรงมาถ้าเขาเป็นคนถาม เขาสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมซูผิงจึงขอให้เขาเป็นคนถาม
ซูผิงกระซิบบางอย่างกับอวิ๋นว่านหลี่และเขาก็ตกลง
จากนั้นอวิ๋นว่านหลี่ก็ก้าวไปข้างหน้า เสียงทุ้มลึกและอ่อนโยนของเขาไปถึงหูของทุกคน “ฉันได้รวบรวมพวกเธอทั้งหมดเพราะนักเรียนของเราคนหนึ่งหายไป เชื่อว่าหลายๆ คนคงทราบเรื่องนี้แล้ว เธอคือซูหลิงเยวี่ย นักเรียนที่เข้าร่วมกับเราปีนี้”
“เธอหายตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และถูกพบครั้งสุดท้ายที่หอคอยมังกร ฉันอยากรู้ว่ามีใครเห็นเธอในวันที่เธอหายตัวไปบ้าง”
นักเรียนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือสาเหตุให้พวกเขาถูกเรียกมารวมตัว “ซูหลิงเยวี่ยเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นคนนั้นนะหรอ?”
“ใช่ เด็กใหม่ที่ไปถึงชั้นที่ 10 ในการลองครั้งแรก และในไม่ช้าก็ไปถึงชั้นที่ 14!”
“อ่า เธอ ฉันได้ยินมาว่าเธออาจจะสามารถเทียบกับศิษย์พี่เฟยได้”
“เธอหายไปหรอ? ฉันไม่รู้”
“ทำไมพวกเขาถึงมาถามเราในเมื่อเธอหายไปนานขนาดนั้น? ว่าแต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างอาจารย์ใหญ่คนนั้นเป็นใคร? เขามาจากสถาบันของเราหรือเปล่า? ฉันไม่คิดว่าฉันเคยเห็นเขามาก่อน”
นักเรียนต่างพากันแสดงความคิดเห็น
ฉินเส้าเทียน และเพื่อน ๆ ของเขาเข้าใจดี
“อ่า เขามาตามหาน้องสาว” “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซูหลิงเยวี่ยหายไป”
“สิ่งที่ฉันไม่อยากเชื่อก็คือผู้ชายคนนี้กำลังขอให้อาจารย์ใหญ่ช่วยเขา อาจารย์ใหญ่เป็นนักรบอสูรในตำนานจากที่ฉันเคยได้ยินมา”
หลิวฉิงเฟิงและเย่หลงเทียนยังคงไม่เชื่อ พวกเขาอยู่ที่สถาบันผู้กล้า แม้แต่พวกเขาซึ่งเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลก็ยังต้องทำตัวดีๆ แต่ซูผิงกลับไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ น่าทึ่งเกินไป
“เขา…” ฉินเส้าเทียนหรี่ตา และกำหมัดแน่น เขามาที่สถาบันเพียงเพื่อที่เขาจะได้เท่าเทียมกับซูผิง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเจอเขาที่นี่
คนหนึ่งยืนอยู่บนแท่น และอีกคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชม
คนหนึ่งมากับอาจารย์ใหญ่ และอีกคนถูกนักเรียนรังแก และตกต่ำ!
ไม่นานหลังจากนั้น นักเรียนบางคนก็เริ่มตอบคำถามของอวิ๋นว่านหลี่
อวิ๋นว่านหลี่ได้ยินคำตอบของนักเรียนทีละคนพร้อมๆกับซูผิง
มีคนบอกว่าพวกเขาเห็นซูหลิงเยวี่ยนอกหอคอยมังกร และบางคนอ้างว่าเห็นที่อื่นในสถาบัน
บางคนบอกว่าพวกเขาได้พบกับซูหลิงเยวี่ยข้างดันเจี้ยนของอสูรร้าย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้ามในสถาบัน
นักเรียนหลายสิบคนตอบ
“เธอบอกว่าเธอไปกับศิษย์พี่หนานและจี้เฟิงเหรอ?”
“ใช่ครับ”
นักเรียนที่ตอบคำถามค่อนข้างประหม่า
ซูผิงไม่ห่างจากอวิ๋นว่านหลี่เลย คำตอบนั้นทำให้เขาสนใจ
อวิ๋นว่านหลี่ถามว่า “หนานเฟิงเทียนกับจี้เฟิงอยู่ที่ไหน”
นักเรียนมองหน้ากันแต่ไม่มีใครตอบ
ครึ่งนาทีต่อมา มีคนพูดด้วยเสียงต่ำว่า “อาจารย์ครับ ผมอยู่นี่”
ซูผิงและอวิ๋นว่านหลี่หันไปทางต้นเสียง
โว้ว!
ซูผิงรีบเข้าไปหาชายหนุ่มในทันที
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซูผิงทำให้ชายหนุ่มไม่ทันระวัง เขารู้สึกประหม่ามากจนหน้าซีดเล็กน้อย
เมื่อรู้สึกว่าซูผิงโกรธเพียงใดอวิ๋นว่านหลี่ก็รีบวิ่งไป “ผู้ท้าทายโชคชะตาซูได้โปรดสงบสติอารมณ์ และอนุญาตให้ผมถามเขา”
“น้องสาวของฉันออกไปกับนาย ไปที่ไหน?” ซูผิงจ้องไปที่ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มหันไปหาอาจารย์ใหญ่และตอบเบาๆว่า “อาจารย์ครับ ผมไม่รู้ ผมไม่เคยเจอเธอ นักเรียนคนนั้นคงพูดชื่อผิด ผมกำลังบ่มเพาะ และไม่ได้ออกจากสถาบันในวันนั้น”อวิ๋นว่านหลี่มองไปที่นักเรียนคนนั้นและบอกให้หานยู่เซียงเข้าไปพานักเรียนคนนั้นมา
หานยู่เซียงดึงนักเรียนคนนั้นมาและบินไปหาซูผิง
“เธอเห็นผิดคนหรือพูดชื่อผิดหรือเปล่า?” อวิ๋นว่านหลี่ถาม
นักเรียนคนนั้นเครียด เขามองไปที่อวิ๋นว่านหลี่และจี้เฟิง“ผม ผมคิดว่าผมน่าจะจำผิด” นักเรียนตอบด้วยความกลัวอย่างเห็นได้ชัด “นายกำลังโกหก” ซูผิงโพล่งพูดขึ้นมา เขาไม่ได้บอกว่านักเรียนคนนั้นโกหก แต่หมายถึงชายหนุ่มอีกคนที่ชื่อจี้เฟิง“หัวใจของนายกำลังเต้นรัว และเหงื่อออก นายกำลังโกหกและรู้สึกประหม่า ฉันจะถามอีกครั้ง นายเห็นเธอครั้งสุดท้ายที่ไหน หรือว่านายเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเธอ?”
จี้เฟิงรู้สึกโล่งใจเมื่อนักเรียนคนนั้นบอกว่าเขาจำผิด แต่คำพูดของซูผิงทำให้เขากลัวอีกครั้ง แม้ว่าซูผิงจะก้าวร้าว แต่ชายหนุ่มก็รวบรวมความกล้า “ทำไมนายถึงมาดูถูกฉัน? นายเป็นพี่ชายของซูหลิงเยวี่ยสินะ? ฉันบอกว่าฉันกำลังบ่มเพาะในวันนั้น ฉันไม่เห็นเธอ ใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าฉันเห็น”
“ฉันบอกว่านายโกหก” ซูผิงยังคงจ้องมองเขา
“ทำไมนายถึงคิดว่านายสามารถกล่าวหาฉันในเรื่องนี้ได้? ฉันคือจี้เฟิง ฉันไม่มีวันโกหกหรอก!” ชายหนุ่มพูดด้วยความโกรธ
หานยู่เซียงบอกตัวเองว่าจี้เฟิงล้ำเส้นเกินไป เขาต้องการเตือนนักเรียนคนนั้นแต่มันช้าไปแล้ว
เพี๊ยะ หัวของจี้เฟิงเอียงไปด้านข้าง มีรอยแดงบนใบหน้าของเขา
ทุกคนได้ยินเสียงตบนั้น และมันทำให้พวกเขาตกตะลึง
จี้เฟิงนักเรียนรุ่นพี่ที่กำลังจะจบการศึกษา เขามีความสามารถใกล้เคียงกับระดับกิตติมศักดิ์ และเขามาจากหนึ่งในตระกูลโบราณ วันนี้กลับมีคนตบหน้าเขาในที่สาธารณะ! “ฉันจะถามแกอีกครั้ง แกพาเธอไปที่ไหน?!”
ซูผิงจ้องเขาเขม็ง
ชายหนุ่มคนนั้นใช้เวลาสองสามวินาทีในการกลับมารู้สึกตัว เลือดพุ่งไปที่หัวของเขา พร้อมกับสายตามากมายที่จ้องมองมาที่เขา
“กล้าดียังไงมาตบฉัน! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!”
จี้เฟิงกำลังเสียสติ นักเรียนและอาจารย์ทุกคนอยู่ที่นี่ เขาโกรธจนแทบจะเป็นบ้า
ในขณะที่ยืนอยู่ในระยะไกลฉินเส้าเทียนและเพื่อน ๆ ของเขาก็มึนงง พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าชายคนนั้นจะโหดเหี้ยมเหมือนเดิมแม้แต่ในสถาบันผู้กล้า ไม่ต้องพูดถึงว่าอาจารย์ใหญ่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาช่างกล้าเสียจริงๆ!
ปัง!
มีเสียงอู้อี้ดัง ซูผิงตบหัวจี้เฟิง พื้นดินรอบๆ ชายหนุ่มทรุดตัวลง รอยแยกกระจายออกไปราวกับใยแมงมุม เสื้อผ้าจี้เฟิง กลายเป็นผ้าขี้ริ้ว เขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
จี้เฟิงมีใบหน้าที่หมองคล้ำ
อวิ๋นว่านหลี่หรี่ตาด้วยความประหลาดใจ
เขาสามารถบอกได้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นซับซ้อนเพียงใด ซูผิงไม่ได้ฆ่าจี้เฟิง แต่ทำให้แน่ใจว่าเชาใกล้ตาย
การเคลื่อนไหวนั้นน่าจะฆ่าเขาได้ในทันที แต่เขารอดชีวิต ความเชี่ยวชาญของซูผิงในการควบคุมพลังนั้นสมบูรณ์แบบ!
อวิ๋นว่านหลี่เป็นนักรบอสูรในตำนาน รู้มากกว่าใครว่าการควบคุมพลังนั้นยากเพียงใด
“มีคนชื่อหนานเฟิงเทียนด้วยใช่ไหม? พาเขามาที่นี่” ซูผิงดูอารมณ์เสียมาก
อวิ๋นว่านหลี่มองจี้เฟิงที่หมดสติ และแทบจะไม่หายใจ
เขารู้สึกเสียใจและต้องการเกลี้ยกล่อมซูผิงให้หยุด แต่เจตนาฆ่าบนใบหน้าของซูผิงทำให้เขาคิดอย่างอื่น “หนานเฟิงเทียนอยู่ไหน?” เขาถาม
นักเรียนในปัจจุบันจ้องมาที่ซูผิงอย่างตกตะลึง
ทุกคนสามารถบอกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเขาเป็นนักเรียนใหม่ของอาจารย์ใหญ่
อย่างไรก็ตาม เขาทำให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บในที่สาธารณะ และอาจารย์ใหญ่ไม่ได้ตำหนิเขาในเรื่องนั้น นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
ความสามารถในการทำร้ายจี้เฟิงอย่างรุนแรงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็น่ากลัวมากเช่นกัน“ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างมู่เฉินหรี่ตาซึ่งคล้ายกับ-จันทร์เสี้ยวของเธอ
มู่เฉินจ้องค้างเช่นกัน
คาดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นยังหงุดหงิดได้ขนาดนี้ขณะที่อยู่ที่สถาบันผู้กล้า!
นับตั้งแต่มู่เฉินมาถึงที่นี่ หลังจากบทเรียนมากมายที่เขาได้รับการสอน เขาได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงข้อหนึ่ง
เมืองฐานหลงเจียงเป็นเมืองเล็กๆ
แต่ถึงกระนั้น ซูผิงก็ยัง… ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ที่นี่
นึกไม่ถึงเลย!
ผ่านไปหนึ่งหรือสองนาที แต่ก็ยังไม่มีคำตอบ
อวิ๋นว่านหลี่ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นมีคนกล้าที่จะตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมคิดว่าศิษย์พี่หนานกำลังบ่มเพาะอยู่ในป่าสุสาน เขาไม่อยู่ที่นี่”
ซูผิงขมวดคิ้ว “ป่าสุสาน?”
อวิ๋นว่านหลี่อธิบายทันทีว่า “ป่าสุสานเป็นสนามฝึกที่มีซากศพของอสูรโบราณมากมาย กลิ่นอายในอดีตยังคงอยู่บนซากศพและธรรมชาติที่เลวร้ายสามารถเสริมสร้างจิตวิญญาณของคนๆ หนึ่งได้ การอยู่ที่นั่นนานพอจะช่วยไม่ให้ถูกอสูรร้ายขู่ได้ง่าย”
“เข้าใจล่ะ พาผมไปที่นั่น” ซูผิงกล่าว อวิ๋นว่านหลี่พยักหน้า “ป่าสุสานอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตามผมมา” เขานำทาง ซูผิงตามไป
หานยู่เซียงตามพวกเขาไป อย่างไรก็ตามการไม่พบซูหลิงเยวี่ยมีแต่จะสร้างปัญหาให้กับเขา
นักเรียนมองหน้ากันไม่พูดอะไร พวกเขาควรจะยืนอยู่ที่นี่ต่อไปไหม?
ไม่นาน นักเรียนบางคนก็รีบหลบไป
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างมู่เฉินก็เช่นกัน เธอละทิ้งกฎความประพฤติของนักเรียน
เฟยเทียนอวี่เดินตามฝูงชนเช่นกัน ซูผิงกลายเป็นคนก้าวร้าวมากกว่าที่เขาคิด เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครกล้าใช้ความรุนแรงในที่สาธารณะในโรงเรียน
เฟยเทียนอวี่พบกับจี้เฟิงหลายครั้งตอนจี้เฟิงมาท้าทายเขา จี้เฟิงแพ้ทุกครั้ง แต่เขารู้ว่าเขาไม่ใช่นักเรียนที่อ่อนแอ เป็นคนที่ควรค่าแก่การฝึกฝนด้วย