“…”
ผู้เฒ่าหยานพูดไม่ออก
เขาท้าสิบอันดับแรกได้เมื่อสองปีก่อน?
เขาเพิ่งจะเป็นนักรบระดับดวงดาวได้หนึ่งปี และเป็นแค่เด็กใหม่ ทำไมเขาถึงกล้า?
“เธอเอาชนะอันดับที่สิบเร็วขนาดนั้น เธอต้องสามารถต่อสู้กับคนที่มีอันดับสูงกว่าได้ ฉันนัดให้เธอได้… เธอต้องการท้าทายอันดับไหน?” ผู้เฒ่าหยานถาม
เขากระตือรือร้นที่จะค้นหาขีดจำกัดของซูผิง
อย่างไรก็ตาม ซูผิงส่ายหัว “ช่างมันเถอะครับ อาจารย์บอกว่าผมสามารถออกไปได้ตราบเท่าที่ผมไปถึงสิบอันดับแรก แค่นี้ก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าหยานรู้สึกทึ่งกับคำตอบของเขา เขาถามว่า “เธอไม่ต้องการที่จะค้นหาอันดับของเธอหรอ?”
“มันไม่มีประโยชน์” ซูผิงตอบ “อันดับไม่สำคัญในการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย ผมวัดแล้วว่าผมแข็งแกร่งแค่ไหน และผลคือเพดานของสภาวะเจ้าดวงดาว”
ผู้เฒ่าหยานมองเขาด้วยความงุนงง เขาพบว่ามันยากที่จะจินตนาการว่าอัจฉริยะอย่างซูผิงจะพูดแบบนั้น
ชายหนุ่มอย่างเขาควรจะภูมิใจและกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ตัวเองไม่ใช่หรอ?
“เธอจะจากไปจริง ๆ หรอ?” ผู้เฒ่าหยานพยายามเกลี้ยกล่อมเขา ท้ายที่สุดเขารู้ว่าซูผิงสามารถเอาชนะอันดับที่สิบได้แล้ว เขาไม่สงสัยเลยว่าซูผิงจะอยู่ในอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพเมื่อเขากลายเป็นเจ้าดวงดาว อันดับปัจจุบันของเขาไม่สำคัญ
”ครับ” ซูผิงพยักหน้า
“โลกภายนอกนั้นน่าดึงดูดใจขนาดนั้นเลยหรอ? สภาเทพอมตะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนใฝ่ฝันที่จะมาเยี่ยมชม ที่นี่อยากได้อะไรก็ได้!” ผู้เฒ่าหยานกล่าว
ซูผิงยิ้มและพูดว่า “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เพื่อน”
”เพื่อน?” ผู้เฒ่าหยานรู้สึกงุนงง
“เพื่อนของผมรอผมอยู่อยู่ข้างนอกนั่น ผมไม่ต้องการให้พวกเขารออีกต่อไปแล้ว” ซูผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าหยานเงียบไปขณะจ้องมองซูผิง เขาพูดว่า “ฉันเข้าใจ ฉันจะแจ้งให้นายท่านทราบ เขาจะจัดการกับเรื่องยุ่งยากในภายหลัง เธอต้องระวังให้มากในโลกภายนอก คนส่วนใหญ่เคารพเธอเพราะเธอเป็นศิษย์ของลอร์ดสูงสุด แต่เขาก็มีศัตรูเหมือนกัน พวกเขาอาจไม่สามารถทำร้ายนายท่านได้ แต่พวกเขาสามารถเป็นภัยคุกคามต่อเธอได้”
”ครับ” ซูผิงพยักหน้า
นั่นเป็นสาเหตุที่เซินหวงป้องกันไม่ให้เขาออกไปจนกว่าเขาจะไปถึงสิบอันดับแรก ศัตรูเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นสภาวะเจ้าดวงดาว
สำหรับนักรบสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาจะถูกติดตามแม้ว่าพวกเขาจะสามารถฆ่าเขาได้ ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มสำหรับพวกเขา
“กลับไปรอคำตอบ อาจารย์จะเรียกเธอเมื่อเขาว่าง” ผู้อาวุโสหยานกล่าว
ซูผิงพยักหน้า
ทั้งสองกลับเข้าวิหาร ซูผิงมองไปที่สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่มาเป็นเวลาสามปีเต็ม เหล่าสาวใช้และองครักษ์ที่ทำงานที่นี่ให้เกียรติเขาเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะจากไป พวกเขาก็จะยังอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะกลับมา
ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันยังไม่ได้สำรวจสภาเทพอมตะอย่างละเอียดเลย ซูผิงคิด
อย่างไรก็ตามเขาได้ละทิ้งความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงขนาดของสภาเทพอมตะ เขาต้องใช้เวลาหลายสิบปีหากต้องการสำรวจสถานที่นี้อย่างละเอียด มันดีกว่าที่จะระงับแผนนี้ไว้ก่อนจนกว่าเขาจะไปถึงระดับที่สูงขึ้น นี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาจะไม่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเว้นแต่เขาจะไปถึงสภาวะเทพดวงดาว
เมื่อความคิดสุดท้ายผุดขึ้นในใจของเขา ซูผิงก็แยกตัวไปอยู่ในห้องฝึกอีกครั้ง
ผู้เฒ่าหยานทำได้เพียงส่ายหัวหลังจากที่เห็นว่าซูผิงไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่วินาทีเดียว
สิ่งเดียวที่เขากังวลคือชายหนุ่มจะต้องติดอยู่หน้าประตูสู่สภาวะเทพดวงดาว
เป็นการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นกับดักสำหรับอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากมาย พวกเขาแทบจะไม่สามาถฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกเลยหากความคิดของพวกเขาสูญเสียไป อัจฉริยะที่ครองอันดับสูงๆในอันดับราชาเทพโดยทั่วไปจะมีศักยภาพของสภาวะเทพดวงดาวและยังมีหลายคนติดหล่มอยู่ในสภาวะเจ้าดวงดาว ไม่สามารถก้าวหน้าได้!
ห้าวันผ่านไปในพริบตา ซูผิงถูกอาจารย์ของเขาเรียกในขณะที่เขากำลังบ่มเพาะ
ในไม่ช้าเขาก็ไปที่วิหารอันวิจิตรตระการตาที่สุดใจกลางสภาเทพอมตะพร้อมกับผู้เฒ่าหยาน
ทหารเกราะทองจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่ข้างบันไดหลายพันขั้นนอกวิหาร พวกเขาทั้งหมดเป็นสภาวะเจ้าดวงดาว แม่ทัพของพวกเขาอยู่ในสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาอาจแข็งแกร่งพอๆ กับลอร์ดสวรรค์!
ภายในวิหาร เซินหวงนั่งอยู่ในบัลลังก์ ราวกับเทพที่ครอบครองจักรวาล
“เธอเอาชนะผู้ที่ครองอันดับที่สิบของอันดับราชาเทพได้แล้วหรือ?” สายตาของเซินหวงอบอุ่นเมื่อซูผิงมาถึง เขาตกใจกับรายงานของผู้เฒ่าหยาน ในเวลาเพียงสามปี ซูผิงได้ก้าวขึ้นสู่สิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพ ซึ่งเกินความคาดหมายของเขา
“ครับอาจารย์” ซูผิงโค้งคำนับและตอบอย่างใจเย็น เซินหวงยิ้มหลังจากเห็นว่าซูผิงมั่นใจแค่ไหน ศิษย์ทุกคนของเขาเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าซูผิงเป็นหนึ่งในคนที่มีความสามารถมากที่สุด ตอนแรกเขาคิดว่าซูผิงต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการบ่มเพาะ แต่เขาก็สามารถทำให้สำเร็จได้ในขณะที่ยังอยู่ในระดับดวงดาว
แม้ว่าเขาจะย่อโลกใบเล็กได้ตั้งแต่นตอนที่เขาเป็นนักรบสภาวะชะตากรรม—การเอาชนะสภาวะเจ้าดวงดาวก็ยังเกินตัว—ทุกคนในสิบอันดับแรกล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นในสภาวะเจ้าดวงดาว ไม่มีใครสามารถถือได้ว่าเป็นสภาวะเจ้าดวงดาวธรรมดา
“ความก้าวหน้าของเธอเกินความคาดหมายของฉัน ฉันคิดว่าเธอจะทำภารกิจนี้สำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเธอเป็นเจ้าดวงดาว เมื่อพิจารณาว่าเธอประสบความสำเร็จแล้ว ฉันจะปรับเปลี่ยนโปรแกรมการฝึกอบรมพิเศษที่ฉันเตรียมไว้ตอนที่เธอกลายเป็นเจ้าดวงดาว” เซินหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับอาจารย์” ซูผิงขอบคุณเขาทันที
“ฉันได้ยินมาว่าเธอมาที่นี่เพราะเธอต้องการออกจากสภาเทพอมตะอย่างนั้นหรอ?”เซินหวงไม่ลืมว่าซูผิงเคยถามว่าต้องทำยังไงถึงจะออกจากสภาเทพอมตะได้ ดูเหมือนว่าสามปีที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ได้เปลี่ยนความคิดของเขา ผู้เฒ่าหยานบอกว่าเขาจากไปเพราะเพื่อน…
เพื่อนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?
เซินหวงค่อนข้างอยากรู้ แต่เขาไม่ได้ถาม เขาไม่เคยสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์ ตราบใดที่มันไม่ส่งผลต่อการฝึกของพวกเขา
“ครับ” ซูผิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความดูแลของอาจารย์ตลอดสามปีที่ผ่านมา ผมอยากไปเที่ยวข้างนอกและทำอะไรบางอย่างที่โดนเลื่อนออกไป”
เซินหวงมองเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า“ฉันจะไม่ห้ามเธอ ฉันจะอนุญาตให้เธอออกไปได้ เนื่องจากเธอมีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ครองอันดับราชาเทพสิบอันดับแรก เพียงติดต่อมาที่สภาเทพอมตะหลังจากที่เธอจากไป ถ้าเธอต้องการอะไร มันจะส่งไปถึงเธอ อย่าขี้เกียจบ่มเพาะล่ะ”
ซูผิงรู้สึกสบายใจ เขารีบขอบคุณอีกครั้ง
“อวิ๋นมู่” เซินหวงเรียก
รังสีแสงส่องสว่างและบิดตัวในอากาศข้างหน้าเขา ทันใดนั้น หญิงร่างผอมบางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ เธอสวมเสื้อผ้าโบราณ รูปลักษณ์โดยรวมของเธอดูสวยและอ่อนโยน
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่าน ท่านลอร์สูงสุด”
ผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าต่อหน้าเซินหวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เธอปรากฏตัว
“งานของเธอคือดูแลลูกศิษย์ของฉันเป็นเวลาร้อยปีหรือจนกว่าเขาจะไปถึงอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพ จากนั้นเธอจะเป็นอิสระ” เซินหวงกล่าว “เธอจะถูกกำจัดหากเกิดอะไรขึ้นกับเขา!”
ผู้หญิงคนนั้นดูยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอมองไปที่ซูผิงและยอมรับภารกิจ “ขอบคุณค่ะ ท่านลอร์ดสูงสุด”
เซินหวงมองไปที่ซูผิงและกล่าวว่า “ฉันจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นถ้าอวิ๋นมู่ไปกับเธอด้วย”
ซูผิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับสิ่งนี้ เขามองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและรู้สึกกลัวเล็กน้อย ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่มากพอ เขาสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ใช่สภาวะเจ้าดวงดาวแน่นอน เธอเป็นสภาวะเทพดวงดาว!
อาจารย์ของเขาเพิ่งแต่งตั้งยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวเพื่อปกป้องเขาเป็นเวลาร้อยปี?
ซูผิงขอบคุณเขาอย่างจริงใจอีกครั้ง
“อยากได้อะไรอีกไหม?”เซินหวงถามด้วยรอยยิ้ม
ซูผิงรู้สึกปลื้มปิติมากจริงๆ จากนั้นเขาก็นึกถึงการแข่งขันสุดยอดอัจฉริยะระดับจักรวาลล่าสุด เขาถามคำถามที่กวนใจเขามาเป็นเวลานาน “อาจารย์ครับ ซอมบี้บางตัวที่ผมพบในอาณาจักรลับทะเลเทพดูเหมือนจะยังคงมีสติอยู่ ผมขอถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนั้น?”
เขาไม่เคยลืมซอมบี้ที่เขาเห็น
ดวงตาของเธอทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก ราวกับว่าเขาเคยเห็นเธอมาก่อน
”ฮะ?”
เซินหวงไม่คิดว่าจะถูกถามคำถามเช่นนี้ เนื่องจากมันเป็นเวลาสามปีแล้วที่การแข่งขันสิ้นสุดลง เขาเหลือบมองซูผิงและกล่าวว่า “โลกนั้นเป็นอาณาเขตของมู่เซิน เขารู้ดีกว่าฉัน ตามความเข้าใจของฉัน มันเป็นโลกโบราณที่มีกลิ่นอายของแดนเทพอาเคี่ยน บางคนคาดเดาว่ามันเป็นดินแดนที่แตกมาจากแดนเทพอาเคี่ยน”
จากนั้นเขาก็เสริมด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด จากการสืบสวน มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นในสมัยโบราณ มันทำลายล้างหลายโลก รวมถึงแดนเทพอาเคี่ยนที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดมานานแล้ว เราไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ซูผิงตกตะลึงเล็กน้อย เขาพบว่าทฤษฎีนี้ดูจะเป็นไปได้
ผืนดินนั้นเป็นชิ้นส่วนของแดนเทพอาเคี่ยน!
ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าหลุมศพกึ่งเทพเป็นอีกชิ้นส่วนหนึ่งของแดนเทพอาเคี่ยน
ในกรณีนี้ก็เป็นไปได้ว่าแดนเทพอาเคี่ยนจะแตกสลายไปแล้ว
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ซอมบี้ที่สัญจรไปมาในที่แห่งนั้นเคยเป็นเทพหรอครับ?” ซูผิงถามอย่างรวดเร็ว “แล้วทำไมพวกเขาถึงดูแปลกๆ”
เซินหวงส่ายหัว “อาจเป็นเพราะสงคราม บางทีคงติดเชื้อไวรัสหรือพลังแปลก ๆ บางอย่างทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไป” เขาเหลือบมองซูผิงและถามว่า “ทำไมเธอถึงถามเกี่ยวกับพวกเขา?”
ซูผิงเปลี่ยนสีหน้า ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของเขาจะมองเขาออกได้ง่ายถ้าเขาโกหก เขาต้องยอมสารภาพ “ผมเห็นบางอย่างผิดปกติในซอมบี้ตัวหนึ่ง และรู้สึกว่ามันมีสติสัมปชัญญะและ… คุ้นเคย ดังนั้นผมจึงอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขา”
”คุ้นเคย?”
เซินหวงสามารถบอกได้ว่าคำพูดของซูผิงเป็นความจริง เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “อาจเป็นเพราะสายเลือดของเทพอีกาทองคำภายในร่างกายของเธอ ว่ากันว่าอีกาทองคำมีสายเลือดของเทพ… นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงพบเทพโบราณที่คุ้นเคย”
ซูผิงพยักหน้า ตัดสินใจปล่อยเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปในหัวใจของเขา เขาไม่คิดว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง ท้ายที่สุดเขาไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ เช่นนี้เมื่อเห็นซอมบี้ตัวอื่น
มีเพียงซอมบี้หญิงนั่นเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย
น่าเสียดายที่สถานที่นั้นไม่ใช่ของอาจารย์ของเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะขอไปสำรวจอีกครั้ง
…
เมื่อเขาบอกลาอาจารย์ของเขาแล้ว ซูผิงก็พร้อมที่จะออกจากสภาเทพอมตะ
อวิ๋นมู่จะออกไปกับเขาโดยทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวของเขา
ผู้เฒ่าหยานมองเขาออกไป อาจารย์ของเขามอบยานอวกาศที่มีเพียงสภาวะเทพดวงดาวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะซื้อ ให้เขา มันสามารถกระโดดไปยังที่ใดก็ได้ในจักรวาล และแล่นไปยังดินแดนต้องห้ามและอาณาจักรลับ
ระบบของยานอวกาศก็ทรงพลังเช่นกันมันสามารถทำลายล้างสภาวะเจ้าดวงดาวได้อย่างง่ายดายและเป็นภัยคุกคามต่อสภาวะเทพดวงดาวจำนวนมาก ซูผิงจะปลอดภัยตราบใดที่เขาอยู่บนยาน
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถอยู่ในยานอวกาศได้ตลอดไป นั่นคือเหตุผลที่เซินหวงสั่งให้อวิ๋นมู่ปกป้องเขาเพื่อเป็นมาตรการด้านความปลอดภัยอื่นๆ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาตราบใดที่เขาไม่ประมาทจนเกินไป
ซูผิงรู้สึกขอบคุณอาจารย์ของเขามากสำหรับการเตรียมการเหล่านี้ แม้เขาไม่คิดว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในร้าน แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่ระบบจะขอให้เขาออกไปจับอสูรในภายหลัง
ภายในวิหาร ผู้เฒ่าหยานพูดด้วยรอยยิ้มหลังจากซูผิงจากไป “นายท่านมอบอวิ๋นมู่ให้เขา นั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผน”
เซินหวงหัวเราะและตอบว่า “เด็กคนนั้นก้าวหน้าเร็วเกินไป เขาอยู่ในระดับดวงดาวเท่านั้น แต่เขาสามารถไปถึงสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพได้ภายในสามปี นั่นเป็นความสำเร็จที่แม้แต่ฉันก็ยังทำไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีอันดับราชาเทพในสมัยฉัน ฉันฆ่าสภาวะเจ้าดวงดาวธรรมดาไปเยอะมาก แต่ฉันไม่เคยเจอขั้นสูงสุดของสภาวะนั้น”
มีความเสียใจในดวงตาของเขาขณะที่เขาพูด..
ผู้เฒ่าหยานพูดไม่ออก
เขาท้าสิบอันดับแรกได้เมื่อสองปีก่อน?
เขาเพิ่งจะเป็นนักรบระดับดวงดาวได้หนึ่งปี และเป็นแค่เด็กใหม่ ทำไมเขาถึงกล้า?
“เธอเอาชนะอันดับที่สิบเร็วขนาดนั้น เธอต้องสามารถต่อสู้กับคนที่มีอันดับสูงกว่าได้ ฉันนัดให้เธอได้… เธอต้องการท้าทายอันดับไหน?” ผู้เฒ่าหยานถาม
เขากระตือรือร้นที่จะค้นหาขีดจำกัดของซูผิง
อย่างไรก็ตาม ซูผิงส่ายหัว “ช่างมันเถอะครับ อาจารย์บอกว่าผมสามารถออกไปได้ตราบเท่าที่ผมไปถึงสิบอันดับแรก แค่นี้ก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าหยานรู้สึกทึ่งกับคำตอบของเขา เขาถามว่า “เธอไม่ต้องการที่จะค้นหาอันดับของเธอหรอ?”
“มันไม่มีประโยชน์” ซูผิงตอบ “อันดับไม่สำคัญในการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย ผมวัดแล้วว่าผมแข็งแกร่งแค่ไหน และผลคือเพดานของสภาวะเจ้าดวงดาว”
ผู้เฒ่าหยานมองเขาด้วยความงุนงง เขาพบว่ามันยากที่จะจินตนาการว่าอัจฉริยะอย่างซูผิงจะพูดแบบนั้น
ชายหนุ่มอย่างเขาควรจะภูมิใจและกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ตัวเองไม่ใช่หรอ?
“เธอจะจากไปจริง ๆ หรอ?” ผู้เฒ่าหยานพยายามเกลี้ยกล่อมเขา ท้ายที่สุดเขารู้ว่าซูผิงสามารถเอาชนะอันดับที่สิบได้แล้ว เขาไม่สงสัยเลยว่าซูผิงจะอยู่ในอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพเมื่อเขากลายเป็นเจ้าดวงดาว อันดับปัจจุบันของเขาไม่สำคัญ
”ครับ” ซูผิงพยักหน้า
“โลกภายนอกนั้นน่าดึงดูดใจขนาดนั้นเลยหรอ? สภาเทพอมตะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนใฝ่ฝันที่จะมาเยี่ยมชม ที่นี่อยากได้อะไรก็ได้!” ผู้เฒ่าหยานกล่าว
ซูผิงยิ้มและพูดว่า “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เพื่อน”
”เพื่อน?” ผู้เฒ่าหยานรู้สึกงุนงง
“เพื่อนของผมรอผมอยู่อยู่ข้างนอกนั่น ผมไม่ต้องการให้พวกเขารออีกต่อไปแล้ว” ซูผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าหยานเงียบไปขณะจ้องมองซูผิง เขาพูดว่า “ฉันเข้าใจ ฉันจะแจ้งให้นายท่านทราบ เขาจะจัดการกับเรื่องยุ่งยากในภายหลัง เธอต้องระวังให้มากในโลกภายนอก คนส่วนใหญ่เคารพเธอเพราะเธอเป็นศิษย์ของลอร์ดสูงสุด แต่เขาก็มีศัตรูเหมือนกัน พวกเขาอาจไม่สามารถทำร้ายนายท่านได้ แต่พวกเขาสามารถเป็นภัยคุกคามต่อเธอได้”
”ครับ” ซูผิงพยักหน้า
นั่นเป็นสาเหตุที่เซินหวงป้องกันไม่ให้เขาออกไปจนกว่าเขาจะไปถึงสิบอันดับแรก ศัตรูเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นสภาวะเจ้าดวงดาว
สำหรับนักรบสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาจะถูกติดตามแม้ว่าพวกเขาจะสามารถฆ่าเขาได้ ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มสำหรับพวกเขา
“กลับไปรอคำตอบ อาจารย์จะเรียกเธอเมื่อเขาว่าง” ผู้อาวุโสหยานกล่าว
ซูผิงพยักหน้า
ทั้งสองกลับเข้าวิหาร ซูผิงมองไปที่สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่มาเป็นเวลาสามปีเต็ม เหล่าสาวใช้และองครักษ์ที่ทำงานที่นี่ให้เกียรติเขาเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะจากไป พวกเขาก็จะยังอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะกลับมา
ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันยังไม่ได้สำรวจสภาเทพอมตะอย่างละเอียดเลย ซูผิงคิด
อย่างไรก็ตามเขาได้ละทิ้งความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงขนาดของสภาเทพอมตะ เขาต้องใช้เวลาหลายสิบปีหากต้องการสำรวจสถานที่นี้อย่างละเอียด มันดีกว่าที่จะระงับแผนนี้ไว้ก่อนจนกว่าเขาจะไปถึงระดับที่สูงขึ้น นี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาจะไม่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเว้นแต่เขาจะไปถึงสภาวะเทพดวงดาว
เมื่อความคิดสุดท้ายผุดขึ้นในใจของเขา ซูผิงก็แยกตัวไปอยู่ในห้องฝึกอีกครั้ง
ผู้เฒ่าหยานทำได้เพียงส่ายหัวหลังจากที่เห็นว่าซูผิงไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่วินาทีเดียว
สิ่งเดียวที่เขากังวลคือชายหนุ่มจะต้องติดอยู่หน้าประตูสู่สภาวะเทพดวงดาว
เป็นการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นกับดักสำหรับอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากมาย พวกเขาแทบจะไม่สามาถฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกเลยหากความคิดของพวกเขาสูญเสียไป อัจฉริยะที่ครองอันดับสูงๆในอันดับราชาเทพโดยทั่วไปจะมีศักยภาพของสภาวะเทพดวงดาวและยังมีหลายคนติดหล่มอยู่ในสภาวะเจ้าดวงดาว ไม่สามารถก้าวหน้าได้!
ห้าวันผ่านไปในพริบตา ซูผิงถูกอาจารย์ของเขาเรียกในขณะที่เขากำลังบ่มเพาะ
ในไม่ช้าเขาก็ไปที่วิหารอันวิจิตรตระการตาที่สุดใจกลางสภาเทพอมตะพร้อมกับผู้เฒ่าหยาน
ทหารเกราะทองจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่ข้างบันไดหลายพันขั้นนอกวิหาร พวกเขาทั้งหมดเป็นสภาวะเจ้าดวงดาว แม่ทัพของพวกเขาอยู่ในสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาอาจแข็งแกร่งพอๆ กับลอร์ดสวรรค์!
ภายในวิหาร เซินหวงนั่งอยู่ในบัลลังก์ ราวกับเทพที่ครอบครองจักรวาล
“เธอเอาชนะผู้ที่ครองอันดับที่สิบของอันดับราชาเทพได้แล้วหรือ?” สายตาของเซินหวงอบอุ่นเมื่อซูผิงมาถึง เขาตกใจกับรายงานของผู้เฒ่าหยาน ในเวลาเพียงสามปี ซูผิงได้ก้าวขึ้นสู่สิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพ ซึ่งเกินความคาดหมายของเขา
“ครับอาจารย์” ซูผิงโค้งคำนับและตอบอย่างใจเย็น เซินหวงยิ้มหลังจากเห็นว่าซูผิงมั่นใจแค่ไหน ศิษย์ทุกคนของเขาเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าซูผิงเป็นหนึ่งในคนที่มีความสามารถมากที่สุด ตอนแรกเขาคิดว่าซูผิงต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการบ่มเพาะ แต่เขาก็สามารถทำให้สำเร็จได้ในขณะที่ยังอยู่ในระดับดวงดาว
แม้ว่าเขาจะย่อโลกใบเล็กได้ตั้งแต่นตอนที่เขาเป็นนักรบสภาวะชะตากรรม—การเอาชนะสภาวะเจ้าดวงดาวก็ยังเกินตัว—ทุกคนในสิบอันดับแรกล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นในสภาวะเจ้าดวงดาว ไม่มีใครสามารถถือได้ว่าเป็นสภาวะเจ้าดวงดาวธรรมดา
“ความก้าวหน้าของเธอเกินความคาดหมายของฉัน ฉันคิดว่าเธอจะทำภารกิจนี้สำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเธอเป็นเจ้าดวงดาว เมื่อพิจารณาว่าเธอประสบความสำเร็จแล้ว ฉันจะปรับเปลี่ยนโปรแกรมการฝึกอบรมพิเศษที่ฉันเตรียมไว้ตอนที่เธอกลายเป็นเจ้าดวงดาว” เซินหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับอาจารย์” ซูผิงขอบคุณเขาทันที
“ฉันได้ยินมาว่าเธอมาที่นี่เพราะเธอต้องการออกจากสภาเทพอมตะอย่างนั้นหรอ?”เซินหวงไม่ลืมว่าซูผิงเคยถามว่าต้องทำยังไงถึงจะออกจากสภาเทพอมตะได้ ดูเหมือนว่าสามปีที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ได้เปลี่ยนความคิดของเขา ผู้เฒ่าหยานบอกว่าเขาจากไปเพราะเพื่อน…
เพื่อนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?
เซินหวงค่อนข้างอยากรู้ แต่เขาไม่ได้ถาม เขาไม่เคยสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์ ตราบใดที่มันไม่ส่งผลต่อการฝึกของพวกเขา
“ครับ” ซูผิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความดูแลของอาจารย์ตลอดสามปีที่ผ่านมา ผมอยากไปเที่ยวข้างนอกและทำอะไรบางอย่างที่โดนเลื่อนออกไป”
เซินหวงมองเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า“ฉันจะไม่ห้ามเธอ ฉันจะอนุญาตให้เธอออกไปได้ เนื่องจากเธอมีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ครองอันดับราชาเทพสิบอันดับแรก เพียงติดต่อมาที่สภาเทพอมตะหลังจากที่เธอจากไป ถ้าเธอต้องการอะไร มันจะส่งไปถึงเธอ อย่าขี้เกียจบ่มเพาะล่ะ”
ซูผิงรู้สึกสบายใจ เขารีบขอบคุณอีกครั้ง
“อวิ๋นมู่” เซินหวงเรียก
รังสีแสงส่องสว่างและบิดตัวในอากาศข้างหน้าเขา ทันใดนั้น หญิงร่างผอมบางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ เธอสวมเสื้อผ้าโบราณ รูปลักษณ์โดยรวมของเธอดูสวยและอ่อนโยน
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่าน ท่านลอร์สูงสุด”
ผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าต่อหน้าเซินหวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เธอปรากฏตัว
“งานของเธอคือดูแลลูกศิษย์ของฉันเป็นเวลาร้อยปีหรือจนกว่าเขาจะไปถึงอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพ จากนั้นเธอจะเป็นอิสระ” เซินหวงกล่าว “เธอจะถูกกำจัดหากเกิดอะไรขึ้นกับเขา!”
ผู้หญิงคนนั้นดูยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอมองไปที่ซูผิงและยอมรับภารกิจ “ขอบคุณค่ะ ท่านลอร์ดสูงสุด”
เซินหวงมองไปที่ซูผิงและกล่าวว่า “ฉันจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นถ้าอวิ๋นมู่ไปกับเธอด้วย”
ซูผิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับสิ่งนี้ เขามองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและรู้สึกกลัวเล็กน้อย ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่มากพอ เขาสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ใช่สภาวะเจ้าดวงดาวแน่นอน เธอเป็นสภาวะเทพดวงดาว!
อาจารย์ของเขาเพิ่งแต่งตั้งยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวเพื่อปกป้องเขาเป็นเวลาร้อยปี?
ซูผิงขอบคุณเขาอย่างจริงใจอีกครั้ง
“อยากได้อะไรอีกไหม?”เซินหวงถามด้วยรอยยิ้ม
ซูผิงรู้สึกปลื้มปิติมากจริงๆ จากนั้นเขาก็นึกถึงการแข่งขันสุดยอดอัจฉริยะระดับจักรวาลล่าสุด เขาถามคำถามที่กวนใจเขามาเป็นเวลานาน “อาจารย์ครับ ซอมบี้บางตัวที่ผมพบในอาณาจักรลับทะเลเทพดูเหมือนจะยังคงมีสติอยู่ ผมขอถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนั้น?”
เขาไม่เคยลืมซอมบี้ที่เขาเห็น
ดวงตาของเธอทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก ราวกับว่าเขาเคยเห็นเธอมาก่อน
”ฮะ?”
เซินหวงไม่คิดว่าจะถูกถามคำถามเช่นนี้ เนื่องจากมันเป็นเวลาสามปีแล้วที่การแข่งขันสิ้นสุดลง เขาเหลือบมองซูผิงและกล่าวว่า “โลกนั้นเป็นอาณาเขตของมู่เซิน เขารู้ดีกว่าฉัน ตามความเข้าใจของฉัน มันเป็นโลกโบราณที่มีกลิ่นอายของแดนเทพอาเคี่ยน บางคนคาดเดาว่ามันเป็นดินแดนที่แตกมาจากแดนเทพอาเคี่ยน”
จากนั้นเขาก็เสริมด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด จากการสืบสวน มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นในสมัยโบราณ มันทำลายล้างหลายโลก รวมถึงแดนเทพอาเคี่ยนที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดมานานแล้ว เราไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ซูผิงตกตะลึงเล็กน้อย เขาพบว่าทฤษฎีนี้ดูจะเป็นไปได้
ผืนดินนั้นเป็นชิ้นส่วนของแดนเทพอาเคี่ยน!
ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าหลุมศพกึ่งเทพเป็นอีกชิ้นส่วนหนึ่งของแดนเทพอาเคี่ยน
ในกรณีนี้ก็เป็นไปได้ว่าแดนเทพอาเคี่ยนจะแตกสลายไปแล้ว
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ซอมบี้ที่สัญจรไปมาในที่แห่งนั้นเคยเป็นเทพหรอครับ?” ซูผิงถามอย่างรวดเร็ว “แล้วทำไมพวกเขาถึงดูแปลกๆ”
เซินหวงส่ายหัว “อาจเป็นเพราะสงคราม บางทีคงติดเชื้อไวรัสหรือพลังแปลก ๆ บางอย่างทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไป” เขาเหลือบมองซูผิงและถามว่า “ทำไมเธอถึงถามเกี่ยวกับพวกเขา?”
ซูผิงเปลี่ยนสีหน้า ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของเขาจะมองเขาออกได้ง่ายถ้าเขาโกหก เขาต้องยอมสารภาพ “ผมเห็นบางอย่างผิดปกติในซอมบี้ตัวหนึ่ง และรู้สึกว่ามันมีสติสัมปชัญญะและ… คุ้นเคย ดังนั้นผมจึงอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขา”
”คุ้นเคย?”
เซินหวงสามารถบอกได้ว่าคำพูดของซูผิงเป็นความจริง เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “อาจเป็นเพราะสายเลือดของเทพอีกาทองคำภายในร่างกายของเธอ ว่ากันว่าอีกาทองคำมีสายเลือดของเทพ… นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงพบเทพโบราณที่คุ้นเคย”
ซูผิงพยักหน้า ตัดสินใจปล่อยเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปในหัวใจของเขา เขาไม่คิดว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง ท้ายที่สุดเขาไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ เช่นนี้เมื่อเห็นซอมบี้ตัวอื่น
มีเพียงซอมบี้หญิงนั่นเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย
น่าเสียดายที่สถานที่นั้นไม่ใช่ของอาจารย์ของเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะขอไปสำรวจอีกครั้ง
…
เมื่อเขาบอกลาอาจารย์ของเขาแล้ว ซูผิงก็พร้อมที่จะออกจากสภาเทพอมตะ
อวิ๋นมู่จะออกไปกับเขาโดยทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวของเขา
ผู้เฒ่าหยานมองเขาออกไป อาจารย์ของเขามอบยานอวกาศที่มีเพียงสภาวะเทพดวงดาวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะซื้อ ให้เขา มันสามารถกระโดดไปยังที่ใดก็ได้ในจักรวาล และแล่นไปยังดินแดนต้องห้ามและอาณาจักรลับ
ระบบของยานอวกาศก็ทรงพลังเช่นกันมันสามารถทำลายล้างสภาวะเจ้าดวงดาวได้อย่างง่ายดายและเป็นภัยคุกคามต่อสภาวะเทพดวงดาวจำนวนมาก ซูผิงจะปลอดภัยตราบใดที่เขาอยู่บนยาน
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถอยู่ในยานอวกาศได้ตลอดไป นั่นคือเหตุผลที่เซินหวงสั่งให้อวิ๋นมู่ปกป้องเขาเพื่อเป็นมาตรการด้านความปลอดภัยอื่นๆ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาตราบใดที่เขาไม่ประมาทจนเกินไป
ซูผิงรู้สึกขอบคุณอาจารย์ของเขามากสำหรับการเตรียมการเหล่านี้ แม้เขาไม่คิดว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในร้าน แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่ระบบจะขอให้เขาออกไปจับอสูรในภายหลัง
ภายในวิหาร ผู้เฒ่าหยานพูดด้วยรอยยิ้มหลังจากซูผิงจากไป “นายท่านมอบอวิ๋นมู่ให้เขา นั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผน”
เซินหวงหัวเราะและตอบว่า “เด็กคนนั้นก้าวหน้าเร็วเกินไป เขาอยู่ในระดับดวงดาวเท่านั้น แต่เขาสามารถไปถึงสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพได้ภายในสามปี นั่นเป็นความสำเร็จที่แม้แต่ฉันก็ยังทำไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีอันดับราชาเทพในสมัยฉัน ฉันฆ่าสภาวะเจ้าดวงดาวธรรมดาไปเยอะมาก แต่ฉันไม่เคยเจอขั้นสูงสุดของสภาวะนั้น”
มีความเสียใจในดวงตาของเขาขณะที่เขาพูด..