”ไป อย่าฆ่าเขาล่ะ” ซูผิงพูดเบา ๆ
หวืด!
โครงกระดูกน้อยรับคำสั่งจากซูผิงทันทีที่มันปรากฏขึ้น เจ้าตัวเล็กพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มในสนามรบทันที
”ฮะ?”
ชายหนุ่มตกตะลึง จากนั้นใบหน้าและลำคอของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาเป็นอัจฉริยะของกาแล็กซี่ เขาอาจจะไม่มีความสามารถเท่าซูผิง แต่เขาจะแพ้อสูรได้ยังไง?
”แก…”
โครงกระดูกน้อยพุ่งเข้าหาเขาก่อนที่เขาจะพูดจบ เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ทั้งหมด มันเพียงส่งคลื่นดาบดำที่คมกริบซึ่งสามารถตัดมิติเวลาออกจากกัน
รูม่านตาของชายหนุ่มหดเกร็ง เขาเรียกอสูรของเขาทันที อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวหกตัวปรากฏขึ้นถัดจากเขา สี่ตัวเป็นมังกร และอีกสองตัวเป็นอสูรหายาก
พวกมันรู้สึกกดดันและตื่นตัวในทันทีที่ปรากฏตัว มังกรสองตัวได้ปลดปล่อยทักษะป้องกันหลายอย่างต่อหน้าชายหนุ่ม โลกใบเล็กสองใบถูกสร้างขึ้นพร้อม ๆ กันเพื่อซ่อนชายหนุ่ม ไม่มีใครสามารถหาเขาได้เว้นแต่อสูรสองตัวของเขาจะพ่ายแพ้
“คนที่พึ่งพาอสูรของตนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่มีค่าอะไรเลย!” ชายหนุ่มคำรามอย่างโกรธจัด
ซูผิงยังคงนั่งอยู่บนแท่นสูงอย่างสบายๆ
ในสนามรบ—รัศมีดาบของโครงกระดูกน้อยถูกปิดกั้น มันมองไปที่อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวทั้งหก กลิ่นอายที่น่ากลัวของพวกมันได้กระตุ้นสถานะการต่อสู้ของมัน ตอนนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ และกระดูกสีขาวของมันแทบจะมองไม่เห็น ราวกับปีศาจจากขุมนรก ฟ่อ! ฟ่อ!
ทันใดนั้น รังสีแสงรอบๆ ตัวของมันก็หายไป ราวกับกลืนกินอะไรบางอย่าง จากนั้นครึ่งวงกลมสีเข้มก็ปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นรูปทรงของสิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งปล่อยเสียงคำรามกระหายเลือด
“โลกใบเล็ก?”
“โครงกระดูกนั่นอยู่ในแค่ระดับดวงดาวไม่ใช่หรอ?”
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวบนแท่นสูงต่างตกตะลึง เป็นที่เข้าใจกันดีที่จะพบว่าอัจฉริยะมนุษย์สามารถรวมโลกใบเล็กในขณะอยู่แค่ระดับดวงดาวได้ แต่อสูรก็ทำได้เช่นกัน?
พุทธองค์หกชีวิตและลิเลียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน โครงกระดูกระดับดวงดาวของซูผิงรวมโลกใบเล็กได้ … นี่มันอะไรกัน?
อ๊ากกก! เสียงคำรามออกมาจากโลกใบเล็ก หลังจากนั้นเงาหนาก็พุ่งออกมาจากความมืด รวมตัวกันในดาบของโครงกระดูกน้อย อาวุธปล่อยรัศมีแห่งความมืดตัดมิติออกจากกันทันที รวมไปถึงพลังงานที่ใกล้เข้ามาทั้งหมด มันคือกฎแห่งการทำลายล้าง!
ซูผิงสอนกฎนั้นให้กับโครงกระดูกน้อยโดยใช้ทักษะที่เขาได้รับจากระบบ!
โลกใบเล็กของมันกำลังแตะขีดจำกัดของระดับแรก!
พลังแห่งศรัทธาก็พุ่งออกมาจากโลกใบเล็กที่มืดมิดเช่นกัน ผีนับไม่ถ้วนดูเหมือนจะคลานออกมาและมอบพลังแห่งศรัทธาตลอดชีวิตให้กับโครงกระดูกน้อย ผีเหล่านั้นถูกโครงกระดูกน้อยพิชิตในการต่อสู้ครั้งก่อนที่เคยต่อสู้ในสนามบ่มเพาะ
รัศมีดาบส่องสว่างไปทั่วทั้งลานประลอง จากนั้นก็ตกลงมาจากฟากฟ้า!
”เอ่อ…” ในลานประลอง—ชายหนุ่มตกใจกับคลื่นดาบ จิตใจของเขาถูกครอบงำเกินกว่าจะทำอะไร แม้แต่ความคิดที่จะหลบหลีกก็ไม่มี เขาเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่น ตกตะลึง
มังกรที่อยู่ถัดจากเขาพุ่งออกมาพร้อมเสียงคำราม ในขณะที่ปกคลุมไปด้วยโลกใบเล็กของมัน
ปัง!
เลือดพุ่งกระฉูดและเสียงร้องโหยหวนของมังกรก็ดังขึ้น
มังกรยักษ์ล้มลง มันถูกฟันที่หน้าอก โลกใบเล็กของมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างนั้นตกลงมาต่อหน้าชายหนุ่ม เลือดของมันพุ่งออกมาราวกับน้ำตกและย้อมพื้นจนเป็นสีแดง หัวของมันห้อยแตะพื้น ชายหนุ่มมองเห็นหัวตัวเองในนัยน์ตาโตของมัน
ในที่สุด มันก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยความรักและไม่เต็มใจ
ฉากนี้ยังคงติดอยู่ในตาของชายหนุ่มและเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันใด เหงื่อเย็นปกคลุมทั้งตัวเขา ความเศร้าโศกมาจากก้นบึ้งของหัวใจและในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นความกลัว เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเงาดำเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเทพแห่งความตายสะบัดดาบของมันอีกครั้ง!
”ไม่ ไม่…”
ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบราวกับมองเห็นความตาย ดวงตาของเขาแดงก่ำ ขณะที่เขากระตุ้นให้อสูรตัวอื่นๆ โจมตี แต่พวกมันทั้งหมดถูกโครงกระดูกน้อยข่มขู่ พวกมันเป็นเจ้าดวงดาว แต่ทุกคนถูกครอบงำจากการกลัวความตายที่เกิดจากโลกใบเล็กของโครงกระดูกน้อย
พวกมันค่อยๆ ถอยกลับ ขัดคำสั่งของชายหนุ่ม สิ่งนี้ทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเนื่องจากสัญญา แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าก้าวออกมา
ท้ายที่สุด ความเจ็บปวดและความตายมันแตกต่างกัน
ทันใดนั้น มีคนอื่นบินเข้ามาในลานประลองและทิ้งตัวลงต่อหน้าชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะร้องเรียกซูผิงว่า “ขอความเมตตาด้วย!”
ซูผิงก้มมอง และโครงกระดูกน้อยก็หยุดลงมือ อย่างไรก็ตามหมอกสีดำรอบๆ ตัวมันยังคงพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง
“คะ คุณซู เขาโง่เขลาเกินไป อย่าถือสาเขาเลย ผมขอโทษแทนเขา…”
ชายวัยกลางคนยืนเหงื่อไหล เขาพบว่าเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลเมื่ออยู่ต่อหน้าโครงกระดูกเช่นกัน แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าดวงดาวมาเป็นเวลานาน
“เขายังไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ยังไม่จบ” ซูผิงกล่าวอย่างเฉยเมย
ชายวัยกลางคนรีบหันกลับมาบอกให้ชายหนุ่มยอมแพ้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นและกำลังจะยอมแพ้ มันน่าขายหน้าจริงๆ เขามาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้ต่ออัจฉริยะที่เก่งที่สุดในจักรวาลอยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าชายคนนี้จะทำให้เขายอมแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยนอกจากอสูร
ทันทีที่เขากำลังจะอ้าปาก… เงาดำก็เคลื่อนตัว โครงกระดูกน้อยบนท้องฟ้าหายไปในทันใด ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วต่อหน้าชายหนุ่มราวกับผี
”ผะ ผม…”
พุฟ!
เขายังไม่ทันได้พูดคำนั้นออกมาก็ถูกขัดจังหวะด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แขนของเขาร่วงตกลงมาต่อหน้าเขา โครงกระดูกน้อยยืนอยู่ข้างหน้าเขาในระยะครึ่งเมตร จ้องมาที่เขาด้วยแสงสีแดงในเบ้าตา
ชายหนุ่มกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดและคำราม “ผมยอมแพ้!”
แสงสีแดงในเบ้าตาของโครงกระดูกน้อยหายไป อสูรกระดูกดูดกลืนหมอกสีดำรอบตัวมัน จากนั้นมันก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปหาซูผิง ก้าวเข้าไปในวังวนอัญเชิญ ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทั้งสถานที่กลับเงียบสงัด
ทุกคนมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนแท่นสูงด้วยท่าทางแปลกๆ
“ขะ-ขอบคุณที่ไว้ชีวิตครับคุณซู” ใบหน้าของชายวัยกลางคนซีด เขาพบว่าเขาไม่สามารถหยุดการโจมตีนั้นได้อย่างสมบูรณ์ หรือแม้แต่จับร่องรอยของโครงกระดูก เขาคงไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยซ้ำหากโครงกระดูกโจมตีเขา มันเป็นอสูรระดับดวงดาวจริงหรอ?
อสูรประหลาดกับสัตว์ประหลาด นั่นคือทรัพยากรสูงสุดที่ศิษย์ของลอร์ดสูงสุดได้หรอ?
ซูผิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองออกไป
ชายหนุ่มที่แขนขาดพยายามห้ามเลือด แต่กลับพบว่าทำไม่ได้ เขาเริ่มตื่นตระหนกและเวียนหัวเพราะเสียเลือดอยู่ตลอดเวลา กฎแห่งการทำลายล้างที่ยังคงอยู่บนบาดแผลของเขาไม่สามารถลบล้างได้
พุฟ!
เขาควบคุมพลังงานและเฉือนแผลตัวเอง ซึ่งในที่สุดเขาก็หยุดเลือดไม่ให้ไหลได้
เขามองไปยังชายที่อยู่บนแท่นสูงด้วยความเกลียดชังและความกลัว พวกเขาทั้งคู่อยู่ในระดับดวงดาว แต่ผู้ชายคนนั้นกลับมีพลังที่จะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย อสูรเจ้าดวงดาวทั้ง 6 ตัวของเขาไม่เพียงพอที่จะทำให้ตัวเขาเองปลอดภัย นั่นคือความสามารถของอัจฉริยะชั้นนำของจักรวาลสินะ
เขาไม่เคยติดต่อกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้เพื่อแลกกับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ
ชายหนุ่มพยายามระงับความเศร้าโศกขณะที่มองแขนที่ขาดและซากมังกร เขาซื้ออสูรตัวนี้มาตอนที่เขาอยู่ในสภาวะชะตากรรมและไม่คิดว่ามันจะถูกฆ่าในวันนี้
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวบางคนของตระกูลโหลวหลานขอให้เขาออกไปทันที เมื่อเขายอมรับความพ่ายแพ้ ความแข็งแกร่งของซูผิงเปลี่ยนความประทับใจที่หลายคนมีต่อเขา ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นความแข็งแกร่งและศักยภาพของอัจฉริยะชั้นนำระดับจักรวาล
คนอื่นๆ ขึ้นไปบนลานประลองต่อไปหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปแล้ว บรรยากาศเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหัวข้อหลักของการสนทนาคืออสูรของซูผิง
โครงกระดูกนั่นอยู่ในระดับดวงดาวเท่านั้น เจ้าดวงดาวและแม้แต่นักรบระดับดวงดาวก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ ถึงกระนั้นมันย่อโลกใบเล็กได้แล้ว ซึ่งเป็นความจริงที่ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัว มีอัจฉริยะระดับแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น พุทธองค์หกชีวิต
เป็นเรื่องน่าตกใจที่อสูรก็ทำได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโครงกระดูกสภาวะเทพดวงดาวมาก่อน มันไม่มีบันทึกไว้ในสหพันธ์
ถ้ามันเป็นอสูรหายากที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน มันจะต้องหายากขนาดไหน?
นอกจากนี้แม้แต่อสูรที่มีสายเลือดสภาวะเทพดวงดาวก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนี้ในขณะที่อยู่ระดับดวงดาว
“ศิษย์ของลอร์ดสูงสุดมีความพิเศษอย่างแท้จริง อสูรนั่นต้องได้รับการฝึกฝนโดยผู้ฝึกสอนอัศจรรย์ที่เขาเชิญมาแน่ๆ?”
“มีเพียงผู้ฝึกสอนอัศจรรย์เท่านั้นที่สามารถฝึกอสูรที่มีพรสวรรค์แบบนี้ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้!”
“อสูรนั่นไม่สามารถบดขยี้อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวทั้งหมดได้หรอกใช่ไหม? เขาสามารถเอาชนะเจ้าดวงดาวส่วนใหญ่ได้ด้วยอสูรของเขา หากเขาลงมือเอง เขาก็จะกลายเป็นผู้ครอบครองอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพใช่ไหม?” ทุกคนถือว่าความแข็งแกร่งของโครงกระดูกมาจากอาจารย์ของซูผิง ท้ายที่สุดนั่นเป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่ดูจะเป็นไปได้
ซูผิงไม่ได้ใส่ใจกับความคิดเห็นเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการโฆษณาร้านของเขา แต่ตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำการตลาดใดๆ แล้ว เพราะเขามีลูกค้ารออยู่นอกร้านมากเกินไปแล้ว
“โครงกระดูก…”
บนแท่นสูง—อี้หลิงสวมเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ เขามองทุกอย่างด้วยความเย็นชา เขาไม่คิดว่าซูผิงจะมีอสูรที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้
ย้อนกลับไปในกลุ่มคน มังกรชีพาร์ดมีท่าทีตกใจ เขารู้สึกว่าโลกของเขากลับตาลปัตร
ทุกคนไม่ได้บอกว่ามังกรเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดหรอกหรอ?
โครงกระดูกกลายพันธุ์กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นได้ยังไง? “โครงกระดูกนั้นแข็งแกร่งพอๆ กับมังกรของฉันสองหรือสามตัวรวมกัน…” ความรู้สึกของมังกรชีพาร์ดนั้นยุ่งเหยิง เขาอาศัยอสูรของเขาเป็นส่วนใหญ่ เขารู้สึกไม่สบายใจ
“ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเราถูกอสูรของเขาตบหน้า?” พุทธองค์หกชีวิตที่อยู่ใกล้ๆกล่าวพร้อมกับยกมือลูบแก้ม เขามองซูผิงที่ยังคงนิ่งตลอดการต่อสู้บนแท่นสูง เขามีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นพยายามจะอวด!
“…”
ลิเลียนก็เงียบเช่นกัน
พวกเขาพยายามที่จะตามซูผิงให้ทัน แต่พวกเขาพบว่าแม้แต่อสูรของเขาก็ยังเกือบจะตามพวกเขาทัน นั่นเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่จริงๆ!
หลังจากนั้น เหล่าอัจฉริยะจากตระกูลโหลวหลานและเขตดวงดาวอื่น ๆ ก็ขึ้นไปบนเวทีและต่อสู้อีกครั้ง ไม่นานชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือด—ซึ่งออกไปจัดการตัวเองก่อนหน้านี้—ก็กระโดดกลับขึ้นมาบนเวที ซวนหยวนหลงอัจฉริยะจากเขตดาวกะโหลกดาบขึ้นไปบนลานประลอง
ในไม่ช้าการต่อสู้อันดุเดือดก็เกิดขึ้น ทุกคนตั้งใจดูการต่อสู้ของพวกเขามาก รวมถึงสภาวะเทพดวงดาวบนแท่นสูงด้วย ทั้งสองได้รับการพิจารณาว่าเป็นนักรบที่เก่งที่สุดที่อยู่ใต้สภาวะเทพดวงดาวแล้ว
“เป็นความจริงที่คนที่มีอันสูงในอันดับราชาเทพเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง พวกเขามาถึงขีดจำกัดของสภาวะเจ้าดวงดาวแล้ว” ใครบางคนในกลุ่มผู้ชมกล่าว
“ผมได้ยินมาว่าคุณพุ่งชนเพดานทันทีคุณเชี่ยวชาญกฎสูงสุดสี่ข้ออย่างเต็มที่ เฉพาะอัจฉริยะเท่านั้นถึงมีพรสวรรค์ที่จะเข้าใจพวกมันทั้งหมด พรสวรรค์ของผมขาดหายไป ดังนั้นผมจึงมีศักยภาพที่จะเข้าใจแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น โชคดีที่ผมสามารถเห็นที่มาของมันและสร้างวิถีของตัวเองได้
“หากพวกเขาอุทิศตนให้กับวิถีเดียว ก็มีโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวได้”
“หลายคนคงเคยบอกพวกเขาแล้ว อย่างไรก็ตามอัจฉริยะเป็นอัจฉริยะเพราะพวกเขาแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป”
“เจ้าดวงดาวที่มีความสามารถมากเคยบอกผมว่ามันไร้จุดหมายที่จะขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวหากคุณไม่สามารถเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับนั้นได้… จากคำประกาศที่เย่อหยิ่งนั้น มีเพียงเด็กที่มีพรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถมั่นใจได้ น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นถูกฆ่าตายก่อนที่เขาจะไปถึงสภาวะเทพดวงดาว”
ซูผิงฟังการสนทนาของพวกเขาและชมการต่อสู้ที่ลานประลอง ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองมีปริมาณพลังงานที่เท่ากัน และโลกใบเล็กของพวกเขาก็แข็งแกร่งมาก พวกเขาเข้าใจกฎสูงสุดสามข้อในลักษณะเดียวกัน พวกเขาอ่อนแอกว่าเขาเพียงเล็กน้อยในขณะนี้
อาจารย์ของฉันสอนฉันถึงพื้นฐานที่จะเข้าใจกฎแห่งชีวิต ฉันยังต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองหากต้องการเข้าใจอย่างเต็มที่ แม้แต่สภาวะเทพอมตะก็ไม่สามารถบอกสิ่งนี้กับคุณได้โดยตรง ซูผิงสังเกตเงียบๆ เป็นที่ชัดเจนว่าสหพันธ์อ่อนแอกว่าแดนเทพอาเคี่ยนที่ซึ่งยอดฝีมือย่อโลกใบเล็กได้หลายใบ
เมื่อยอดฝีมือระดับเทพเหล่านั้นก้าวขึ้นสู่ระดับที่เทียบเท่ากับสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาจะแซงหน้ายอดฝีมือระดับสภาวะเทพดวงดาวของสหพันธ์อย่างไม่ต้องสงสัยและแข็งแกร่งพอๆ กับลอร์ดสวรรค์
ฉันต้องไปให้ถึงขีดจำกัดโดยเร็วที่สุดและย่อโลกใบที่สอง ฉันจะหาความหมายของลอร์ดใหม่เมื่อฉันไปถึงสภาวะเทพดวงดาวในสักวันหนึ่ง! ซูผิงคิดด้วยแววตาเป็นประกาย..
หวืด!
โครงกระดูกน้อยรับคำสั่งจากซูผิงทันทีที่มันปรากฏขึ้น เจ้าตัวเล็กพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มในสนามรบทันที
”ฮะ?”
ชายหนุ่มตกตะลึง จากนั้นใบหน้าและลำคอของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาเป็นอัจฉริยะของกาแล็กซี่ เขาอาจจะไม่มีความสามารถเท่าซูผิง แต่เขาจะแพ้อสูรได้ยังไง?
”แก…”
โครงกระดูกน้อยพุ่งเข้าหาเขาก่อนที่เขาจะพูดจบ เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ทั้งหมด มันเพียงส่งคลื่นดาบดำที่คมกริบซึ่งสามารถตัดมิติเวลาออกจากกัน
รูม่านตาของชายหนุ่มหดเกร็ง เขาเรียกอสูรของเขาทันที อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวหกตัวปรากฏขึ้นถัดจากเขา สี่ตัวเป็นมังกร และอีกสองตัวเป็นอสูรหายาก
พวกมันรู้สึกกดดันและตื่นตัวในทันทีที่ปรากฏตัว มังกรสองตัวได้ปลดปล่อยทักษะป้องกันหลายอย่างต่อหน้าชายหนุ่ม โลกใบเล็กสองใบถูกสร้างขึ้นพร้อม ๆ กันเพื่อซ่อนชายหนุ่ม ไม่มีใครสามารถหาเขาได้เว้นแต่อสูรสองตัวของเขาจะพ่ายแพ้
“คนที่พึ่งพาอสูรของตนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่มีค่าอะไรเลย!” ชายหนุ่มคำรามอย่างโกรธจัด
ซูผิงยังคงนั่งอยู่บนแท่นสูงอย่างสบายๆ
ในสนามรบ—รัศมีดาบของโครงกระดูกน้อยถูกปิดกั้น มันมองไปที่อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวทั้งหก กลิ่นอายที่น่ากลัวของพวกมันได้กระตุ้นสถานะการต่อสู้ของมัน ตอนนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ และกระดูกสีขาวของมันแทบจะมองไม่เห็น ราวกับปีศาจจากขุมนรก ฟ่อ! ฟ่อ!
ทันใดนั้น รังสีแสงรอบๆ ตัวของมันก็หายไป ราวกับกลืนกินอะไรบางอย่าง จากนั้นครึ่งวงกลมสีเข้มก็ปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นรูปทรงของสิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งปล่อยเสียงคำรามกระหายเลือด
“โลกใบเล็ก?”
“โครงกระดูกนั่นอยู่ในแค่ระดับดวงดาวไม่ใช่หรอ?”
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวบนแท่นสูงต่างตกตะลึง เป็นที่เข้าใจกันดีที่จะพบว่าอัจฉริยะมนุษย์สามารถรวมโลกใบเล็กในขณะอยู่แค่ระดับดวงดาวได้ แต่อสูรก็ทำได้เช่นกัน?
พุทธองค์หกชีวิตและลิเลียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน โครงกระดูกระดับดวงดาวของซูผิงรวมโลกใบเล็กได้ … นี่มันอะไรกัน?
อ๊ากกก! เสียงคำรามออกมาจากโลกใบเล็ก หลังจากนั้นเงาหนาก็พุ่งออกมาจากความมืด รวมตัวกันในดาบของโครงกระดูกน้อย อาวุธปล่อยรัศมีแห่งความมืดตัดมิติออกจากกันทันที รวมไปถึงพลังงานที่ใกล้เข้ามาทั้งหมด มันคือกฎแห่งการทำลายล้าง!
ซูผิงสอนกฎนั้นให้กับโครงกระดูกน้อยโดยใช้ทักษะที่เขาได้รับจากระบบ!
โลกใบเล็กของมันกำลังแตะขีดจำกัดของระดับแรก!
พลังแห่งศรัทธาก็พุ่งออกมาจากโลกใบเล็กที่มืดมิดเช่นกัน ผีนับไม่ถ้วนดูเหมือนจะคลานออกมาและมอบพลังแห่งศรัทธาตลอดชีวิตให้กับโครงกระดูกน้อย ผีเหล่านั้นถูกโครงกระดูกน้อยพิชิตในการต่อสู้ครั้งก่อนที่เคยต่อสู้ในสนามบ่มเพาะ
รัศมีดาบส่องสว่างไปทั่วทั้งลานประลอง จากนั้นก็ตกลงมาจากฟากฟ้า!
”เอ่อ…” ในลานประลอง—ชายหนุ่มตกใจกับคลื่นดาบ จิตใจของเขาถูกครอบงำเกินกว่าจะทำอะไร แม้แต่ความคิดที่จะหลบหลีกก็ไม่มี เขาเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่น ตกตะลึง
มังกรที่อยู่ถัดจากเขาพุ่งออกมาพร้อมเสียงคำราม ในขณะที่ปกคลุมไปด้วยโลกใบเล็กของมัน
ปัง!
เลือดพุ่งกระฉูดและเสียงร้องโหยหวนของมังกรก็ดังขึ้น
มังกรยักษ์ล้มลง มันถูกฟันที่หน้าอก โลกใบเล็กของมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างนั้นตกลงมาต่อหน้าชายหนุ่ม เลือดของมันพุ่งออกมาราวกับน้ำตกและย้อมพื้นจนเป็นสีแดง หัวของมันห้อยแตะพื้น ชายหนุ่มมองเห็นหัวตัวเองในนัยน์ตาโตของมัน
ในที่สุด มันก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยความรักและไม่เต็มใจ
ฉากนี้ยังคงติดอยู่ในตาของชายหนุ่มและเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันใด เหงื่อเย็นปกคลุมทั้งตัวเขา ความเศร้าโศกมาจากก้นบึ้งของหัวใจและในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นความกลัว เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเงาดำเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเทพแห่งความตายสะบัดดาบของมันอีกครั้ง!
”ไม่ ไม่…”
ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบราวกับมองเห็นความตาย ดวงตาของเขาแดงก่ำ ขณะที่เขากระตุ้นให้อสูรตัวอื่นๆ โจมตี แต่พวกมันทั้งหมดถูกโครงกระดูกน้อยข่มขู่ พวกมันเป็นเจ้าดวงดาว แต่ทุกคนถูกครอบงำจากการกลัวความตายที่เกิดจากโลกใบเล็กของโครงกระดูกน้อย
พวกมันค่อยๆ ถอยกลับ ขัดคำสั่งของชายหนุ่ม สิ่งนี้ทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเนื่องจากสัญญา แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าก้าวออกมา
ท้ายที่สุด ความเจ็บปวดและความตายมันแตกต่างกัน
ทันใดนั้น มีคนอื่นบินเข้ามาในลานประลองและทิ้งตัวลงต่อหน้าชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะร้องเรียกซูผิงว่า “ขอความเมตตาด้วย!”
ซูผิงก้มมอง และโครงกระดูกน้อยก็หยุดลงมือ อย่างไรก็ตามหมอกสีดำรอบๆ ตัวมันยังคงพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง
“คะ คุณซู เขาโง่เขลาเกินไป อย่าถือสาเขาเลย ผมขอโทษแทนเขา…”
ชายวัยกลางคนยืนเหงื่อไหล เขาพบว่าเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลเมื่ออยู่ต่อหน้าโครงกระดูกเช่นกัน แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าดวงดาวมาเป็นเวลานาน
“เขายังไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ยังไม่จบ” ซูผิงกล่าวอย่างเฉยเมย
ชายวัยกลางคนรีบหันกลับมาบอกให้ชายหนุ่มยอมแพ้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นและกำลังจะยอมแพ้ มันน่าขายหน้าจริงๆ เขามาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้ต่ออัจฉริยะที่เก่งที่สุดในจักรวาลอยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าชายคนนี้จะทำให้เขายอมแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยนอกจากอสูร
ทันทีที่เขากำลังจะอ้าปาก… เงาดำก็เคลื่อนตัว โครงกระดูกน้อยบนท้องฟ้าหายไปในทันใด ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วต่อหน้าชายหนุ่มราวกับผี
”ผะ ผม…”
พุฟ!
เขายังไม่ทันได้พูดคำนั้นออกมาก็ถูกขัดจังหวะด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แขนของเขาร่วงตกลงมาต่อหน้าเขา โครงกระดูกน้อยยืนอยู่ข้างหน้าเขาในระยะครึ่งเมตร จ้องมาที่เขาด้วยแสงสีแดงในเบ้าตา
ชายหนุ่มกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดและคำราม “ผมยอมแพ้!”
แสงสีแดงในเบ้าตาของโครงกระดูกน้อยหายไป อสูรกระดูกดูดกลืนหมอกสีดำรอบตัวมัน จากนั้นมันก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปหาซูผิง ก้าวเข้าไปในวังวนอัญเชิญ ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทั้งสถานที่กลับเงียบสงัด
ทุกคนมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนแท่นสูงด้วยท่าทางแปลกๆ
“ขะ-ขอบคุณที่ไว้ชีวิตครับคุณซู” ใบหน้าของชายวัยกลางคนซีด เขาพบว่าเขาไม่สามารถหยุดการโจมตีนั้นได้อย่างสมบูรณ์ หรือแม้แต่จับร่องรอยของโครงกระดูก เขาคงไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยซ้ำหากโครงกระดูกโจมตีเขา มันเป็นอสูรระดับดวงดาวจริงหรอ?
อสูรประหลาดกับสัตว์ประหลาด นั่นคือทรัพยากรสูงสุดที่ศิษย์ของลอร์ดสูงสุดได้หรอ?
ซูผิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองออกไป
ชายหนุ่มที่แขนขาดพยายามห้ามเลือด แต่กลับพบว่าทำไม่ได้ เขาเริ่มตื่นตระหนกและเวียนหัวเพราะเสียเลือดอยู่ตลอดเวลา กฎแห่งการทำลายล้างที่ยังคงอยู่บนบาดแผลของเขาไม่สามารถลบล้างได้
พุฟ!
เขาควบคุมพลังงานและเฉือนแผลตัวเอง ซึ่งในที่สุดเขาก็หยุดเลือดไม่ให้ไหลได้
เขามองไปยังชายที่อยู่บนแท่นสูงด้วยความเกลียดชังและความกลัว พวกเขาทั้งคู่อยู่ในระดับดวงดาว แต่ผู้ชายคนนั้นกลับมีพลังที่จะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย อสูรเจ้าดวงดาวทั้ง 6 ตัวของเขาไม่เพียงพอที่จะทำให้ตัวเขาเองปลอดภัย นั่นคือความสามารถของอัจฉริยะชั้นนำของจักรวาลสินะ
เขาไม่เคยติดต่อกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้เพื่อแลกกับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ
ชายหนุ่มพยายามระงับความเศร้าโศกขณะที่มองแขนที่ขาดและซากมังกร เขาซื้ออสูรตัวนี้มาตอนที่เขาอยู่ในสภาวะชะตากรรมและไม่คิดว่ามันจะถูกฆ่าในวันนี้
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวบางคนของตระกูลโหลวหลานขอให้เขาออกไปทันที เมื่อเขายอมรับความพ่ายแพ้ ความแข็งแกร่งของซูผิงเปลี่ยนความประทับใจที่หลายคนมีต่อเขา ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นความแข็งแกร่งและศักยภาพของอัจฉริยะชั้นนำระดับจักรวาล
คนอื่นๆ ขึ้นไปบนลานประลองต่อไปหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปแล้ว บรรยากาศเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหัวข้อหลักของการสนทนาคืออสูรของซูผิง
โครงกระดูกนั่นอยู่ในระดับดวงดาวเท่านั้น เจ้าดวงดาวและแม้แต่นักรบระดับดวงดาวก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ ถึงกระนั้นมันย่อโลกใบเล็กได้แล้ว ซึ่งเป็นความจริงที่ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัว มีอัจฉริยะระดับแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น พุทธองค์หกชีวิต
เป็นเรื่องน่าตกใจที่อสูรก็ทำได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโครงกระดูกสภาวะเทพดวงดาวมาก่อน มันไม่มีบันทึกไว้ในสหพันธ์
ถ้ามันเป็นอสูรหายากที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน มันจะต้องหายากขนาดไหน?
นอกจากนี้แม้แต่อสูรที่มีสายเลือดสภาวะเทพดวงดาวก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนี้ในขณะที่อยู่ระดับดวงดาว
“ศิษย์ของลอร์ดสูงสุดมีความพิเศษอย่างแท้จริง อสูรนั่นต้องได้รับการฝึกฝนโดยผู้ฝึกสอนอัศจรรย์ที่เขาเชิญมาแน่ๆ?”
“มีเพียงผู้ฝึกสอนอัศจรรย์เท่านั้นที่สามารถฝึกอสูรที่มีพรสวรรค์แบบนี้ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้!”
“อสูรนั่นไม่สามารถบดขยี้อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวทั้งหมดได้หรอกใช่ไหม? เขาสามารถเอาชนะเจ้าดวงดาวส่วนใหญ่ได้ด้วยอสูรของเขา หากเขาลงมือเอง เขาก็จะกลายเป็นผู้ครอบครองอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพใช่ไหม?” ทุกคนถือว่าความแข็งแกร่งของโครงกระดูกมาจากอาจารย์ของซูผิง ท้ายที่สุดนั่นเป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่ดูจะเป็นไปได้
ซูผิงไม่ได้ใส่ใจกับความคิดเห็นเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการโฆษณาร้านของเขา แต่ตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำการตลาดใดๆ แล้ว เพราะเขามีลูกค้ารออยู่นอกร้านมากเกินไปแล้ว
“โครงกระดูก…”
บนแท่นสูง—อี้หลิงสวมเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ เขามองทุกอย่างด้วยความเย็นชา เขาไม่คิดว่าซูผิงจะมีอสูรที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้
ย้อนกลับไปในกลุ่มคน มังกรชีพาร์ดมีท่าทีตกใจ เขารู้สึกว่าโลกของเขากลับตาลปัตร
ทุกคนไม่ได้บอกว่ามังกรเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดหรอกหรอ?
โครงกระดูกกลายพันธุ์กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นได้ยังไง? “โครงกระดูกนั้นแข็งแกร่งพอๆ กับมังกรของฉันสองหรือสามตัวรวมกัน…” ความรู้สึกของมังกรชีพาร์ดนั้นยุ่งเหยิง เขาอาศัยอสูรของเขาเป็นส่วนใหญ่ เขารู้สึกไม่สบายใจ
“ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเราถูกอสูรของเขาตบหน้า?” พุทธองค์หกชีวิตที่อยู่ใกล้ๆกล่าวพร้อมกับยกมือลูบแก้ม เขามองซูผิงที่ยังคงนิ่งตลอดการต่อสู้บนแท่นสูง เขามีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นพยายามจะอวด!
“…”
ลิเลียนก็เงียบเช่นกัน
พวกเขาพยายามที่จะตามซูผิงให้ทัน แต่พวกเขาพบว่าแม้แต่อสูรของเขาก็ยังเกือบจะตามพวกเขาทัน นั่นเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่จริงๆ!
หลังจากนั้น เหล่าอัจฉริยะจากตระกูลโหลวหลานและเขตดวงดาวอื่น ๆ ก็ขึ้นไปบนเวทีและต่อสู้อีกครั้ง ไม่นานชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือด—ซึ่งออกไปจัดการตัวเองก่อนหน้านี้—ก็กระโดดกลับขึ้นมาบนเวที ซวนหยวนหลงอัจฉริยะจากเขตดาวกะโหลกดาบขึ้นไปบนลานประลอง
ในไม่ช้าการต่อสู้อันดุเดือดก็เกิดขึ้น ทุกคนตั้งใจดูการต่อสู้ของพวกเขามาก รวมถึงสภาวะเทพดวงดาวบนแท่นสูงด้วย ทั้งสองได้รับการพิจารณาว่าเป็นนักรบที่เก่งที่สุดที่อยู่ใต้สภาวะเทพดวงดาวแล้ว
“เป็นความจริงที่คนที่มีอันสูงในอันดับราชาเทพเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง พวกเขามาถึงขีดจำกัดของสภาวะเจ้าดวงดาวแล้ว” ใครบางคนในกลุ่มผู้ชมกล่าว
“ผมได้ยินมาว่าคุณพุ่งชนเพดานทันทีคุณเชี่ยวชาญกฎสูงสุดสี่ข้ออย่างเต็มที่ เฉพาะอัจฉริยะเท่านั้นถึงมีพรสวรรค์ที่จะเข้าใจพวกมันทั้งหมด พรสวรรค์ของผมขาดหายไป ดังนั้นผมจึงมีศักยภาพที่จะเข้าใจแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น โชคดีที่ผมสามารถเห็นที่มาของมันและสร้างวิถีของตัวเองได้
“หากพวกเขาอุทิศตนให้กับวิถีเดียว ก็มีโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวได้”
“หลายคนคงเคยบอกพวกเขาแล้ว อย่างไรก็ตามอัจฉริยะเป็นอัจฉริยะเพราะพวกเขาแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป”
“เจ้าดวงดาวที่มีความสามารถมากเคยบอกผมว่ามันไร้จุดหมายที่จะขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวหากคุณไม่สามารถเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับนั้นได้… จากคำประกาศที่เย่อหยิ่งนั้น มีเพียงเด็กที่มีพรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถมั่นใจได้ น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นถูกฆ่าตายก่อนที่เขาจะไปถึงสภาวะเทพดวงดาว”
ซูผิงฟังการสนทนาของพวกเขาและชมการต่อสู้ที่ลานประลอง ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองมีปริมาณพลังงานที่เท่ากัน และโลกใบเล็กของพวกเขาก็แข็งแกร่งมาก พวกเขาเข้าใจกฎสูงสุดสามข้อในลักษณะเดียวกัน พวกเขาอ่อนแอกว่าเขาเพียงเล็กน้อยในขณะนี้
อาจารย์ของฉันสอนฉันถึงพื้นฐานที่จะเข้าใจกฎแห่งชีวิต ฉันยังต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองหากต้องการเข้าใจอย่างเต็มที่ แม้แต่สภาวะเทพอมตะก็ไม่สามารถบอกสิ่งนี้กับคุณได้โดยตรง ซูผิงสังเกตเงียบๆ เป็นที่ชัดเจนว่าสหพันธ์อ่อนแอกว่าแดนเทพอาเคี่ยนที่ซึ่งยอดฝีมือย่อโลกใบเล็กได้หลายใบ
เมื่อยอดฝีมือระดับเทพเหล่านั้นก้าวขึ้นสู่ระดับที่เทียบเท่ากับสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาจะแซงหน้ายอดฝีมือระดับสภาวะเทพดวงดาวของสหพันธ์อย่างไม่ต้องสงสัยและแข็งแกร่งพอๆ กับลอร์ดสวรรค์
ฉันต้องไปให้ถึงขีดจำกัดโดยเร็วที่สุดและย่อโลกใบที่สอง ฉันจะหาความหมายของลอร์ดใหม่เมื่อฉันไปถึงสภาวะเทพดวงดาวในสักวันหนึ่ง! ซูผิงคิดด้วยแววตาเป็นประกาย..