แขกถูกจัดอยู่กันคนละโซนภายในงานกาล่า
ลอร์ดสวรรค์อยู่ที่หนึ่ง สภาวะเทพดวงดาวอยู่อีกที่หนึ่ง ในขณะที่แขกคนอื่นๆ ของตระกูลอย่างซูผิง มีโซนอิสระเป็นของตัวเอง ผู้ที่มีความสำคัญน้อยกว่า เช่น เจ้าแห่งกาแล็กซี่บางคนถูกจัดให้อยู่อีกโซต
แขกที่เหลือนั่งในห้องประชุมที่มีผู้คนพลุกพล่านด้านหลังเวที
ซูผิงเห็นพุทธองค์หกชีวิต ลิเลียน และมังกรชีพาร์ดนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าเจ้าดวงดาว พวกเขามีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา และไม่ถือเป็นการดูถูกที่จะนั่งกับกลุ่มเจ้าดวงดาว
ซูผิงเห็นอี้หลิง—ซึ่งเพิ่งเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้—นั่งบนอีกโซน เขาเป็นเพียงเจ้าดวงดาวแต่ตระกูลโหลวหลานปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นสภาวะเทพดวงดาว คนรอบตัวเขาไม่บ่นเรื่องนี้ ท้ายที่สุดอี้หลิงเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสจะก้าวหน้า ไม่เป็นการดูหมิ่นที่จะนั่งร่วมกับเขา
จากนั้นได้ยินเสียงอุทานดังมาจากภายนอก
คนกลุ่มหนึ่งบินเข้ามาและเข้าไปในงาน พวกเขาไปที่โซนหลักของผู้นำตระกูลโหลวหลาน พวกเขาสวมชุดสีขาว ดูสง่างามราวกับเซียน
สภาวะเทพดวงดาวหลายคนจำเขาได้และลุกขึ้นยืนทันที
ชายชราที่มีคิ้วสีแดงถัดจากซูผิงอุทานว่า “นี่คือลอร์ดสวรรค์ อี้หลาน! เขามาที่นี่ด้วย!”
“อี้หลาน?” ซูผิงถามด้วยความสงสัย
ชายชราเหลือบมองซูผิงและกล่าวว่า “เขาเป็นอันดับสูงสุดในอันดับราชาเทพของเขตดวงดาวเงาแดงเมื่อห้าร้อยปีก่อน เขาเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเขาบรรลุถึงสภาวะเทพดวงดาว เขาเคยฆ่าอสูรสภาวะเทพดวงดาวสิบตัวในเขตดวงดาวเงาแดง เขาเป็นลอร์ดสวรรค์คนใหม่ล่าสุดในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา!”
“ลอร์ดสวรรค์คนใหม่ล่าสุด…” ซูผิงคิดไม่ถึงว่าโหลวหลานจะเชิญลอร์ดสวรรค์คนใหม่ล่าสุดมาได้ ดูเหมือนพวกเขาจะมีอิทธิพลมากจริงๆ
แขกคนอื่นๆ ของตระกูลโหลวหลานก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน สภาวะเทพดวงดาวที่นั่งใกล้ลอร์ดสวรรค์อี้หลานอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน ท้ายที่สุดแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาวะเทพดวงดาว แต่ลอร์ดสวรรค์ก็ใกล้กับสภาวะเทพอมตะมาก!
ในไม่ช้าผู้นำของตระกูลโหลวหลานก็เชิญลอร์ดสวรรค์อี้หลานให้นั่งลงและพูดคุยกัน
ขณะที่งานกาล่าดำเนินไป ดาราชั้นนำได้รับเชิญให้มาทำการแสดงของพวกเขา ในขณะที่อสูรหายากก็เดินไปมาเพื่อสร้างบรรยากาศ หลายคนชอบการแสดงและคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า ซูผิงไม่มีอะไรทำ ดังนั้นเขาจึงกินอย่างตะกละตะกลาม อาหารบนโต๊ะไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น มันเต็มไปด้วยพลังงานที่อุดมสมบูรณ์ มันทำหน้าที่เป็นยาชูกำลังที่ดีสำหรับคนธรรมดา ขณะรับประทานอาหารและย่อยอาหาร เขาขอให้พนักงานเสิร์ฟสาวสวยทานอาหารกับเขา
พนักงานเสิร์ฟเหล่านั้นถือเป็นดาวเด่นในกาแล็กซี่ต่างๆ พวกเธอเป็นนักรบอสูรจริง ๆ แต่ไม่มีใครอยู่เหนือสภาวะสมุทร พวกเธอลังเลที่จะตอบรับคำเชิญของซูผิง แต่อาหารก็ทำให้พวกเธอหลงใหลและตาเป็นประกาย
อาหารทั้งหมดบนโต๊ะหมดแล้ว และซูผิงก็สั่งอาหารใหม่ อาหารทั้งหมดนี้ฟรีอยู่แล้ว
ขณะกินดื่ม เขาก็ได้ยินเสียงจากลานประลองด้านล่าง เขามองไปที่มาของเสียง มีชายหนุ่มสองสามคนสวมเสื้อผ้าแปลก ๆ กำลังกวาดมองไปรอบแท่น ผู้คนจำนวนมากที่สนิทกับพุทธองค์หกชีวิตโกรธ บางคนถึงกับลุกขึ้นยืน ”เกิดอะไรขึ้น?” ซูผิงรู้สึกประหลาดใจ ชายหนุ่มเหล่านั้นเป็นแค่เจ้าดวงดาว พวกเขากล้าสร้างปัญหาที่นี่?
“พวกเขาเป็นเด็กจากเขตดาวอาคมเลือด พวกเขาหยิ่งทะนง ชอบท้าทายเจ้าดวงดาวคนอื่นๆ” ชายชราเหลือบไปที่จานเปล่ากองสูงบนโต๊ะของซูผิง แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมได้ยินมาเสมอว่าผู้คนในเขตดวงดาวนั้นกระหายเลือด ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง”
“ไม่มีใครจะหยุดความโง่เขลานี้ได้หรอ?” ซูผิงมองไปที่ตระกูลโหลวหลาน
ชายชราคิ้วสีแดงส่ายหัว “ผู้นำตระกูลตั้งใจเชิญอัจฉริยะจำนวนมากเพราะเขาต้องการให้พวกเขามาแสดงความสามารถ และเพราะเขาต้องการให้ลูกหลานของเขาเอาชนะคนพวกนั้นต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติอื่นๆ อย่างไรก็ตามเด็กเหล่านั้นดูแข็งแกร่งมาก ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้”
ซูผิงเข้าใจในทันที ดังนั้นทุกอย่างถูกวางแผนไว้แล้ว เขาล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปแทรกแซงทันที เขากินและพร้อมที่จะเห็นความสามารถของเจ้าดวงดาวคนอื่น ๆ ในอันดับราชาเทพ
”ทำไม? ไม่มีใครที่นี่กล้าพอที่จะสู้กับฉันเลยหรอ?” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดที่อยู่ตรงกลางมองไปรอบ ๆ และยิ้มอย่างดูถูก
”ฮึ ฉันจะสอนนายถึงความสำคัญในการเคารพผู้อื่น!”
จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง เขาเป็นเจ้าดวงดาวที่สวมชุดเกราะพิเศษดูแข็งแกร่ง เขาพูดภาษาสากลด้วยสำเนียงหนักแน่น
หนึ่งในสภาวะเทพดวงดาวตระกูลโหลวหลานล้อมรอบลานประลองหลังจากที่ชายคนนั้นขึ้นไปสู่ลานประลอง
บนลานประลอง—เพื่อนของชายหนุ่มที่สวมชุดสีแดงถอยห่างออกมาและยืนนิ่ง การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที ชายหนุ่มสวมชุดเกราะและชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดปลดปล่อยโลกใบเล็กของพวกเขาและต่อสู้กัน พวกเขาโจมตีโดยใช้พลังแห่งศรัทธา คำรามเหมือนมังกร อสูรทั้งหมดของพวกเขาเป็นอสูรหายาก อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวทำให้ลานประลองสั่นสะเทือนตลอดเวลา สถานที่จะถูกทำลายหากสนามรบไม่ถูกปิดล้อมไว้
อัจฉริยะในอันดับราชาเทพดูเหมือนจะไม่มีอสูรสภาวะเทพดวงดาว
ซูผิงมองเงียบๆ เขาได้ตระหนักถึงปัญหาเดียวกันนี้เมื่อเขาท้าทายอันดับราชาเทพ แม้แต่อันดับสูงๆก็ยังใช้แค่อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวเท่านั้น
ตามทฤษฎีแล้ว เจ้าดวงดาวสามารถทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาวได้
เป็นเพราะช่องว่างระหว่างทั้งสองใหญ่มากจนอาจควบคุมอสูรไม่ได้แม้ว่าจะทำสัญญาหรือเปล่า? ซูผิงเดา แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นเหตุผลที่แท้จริง
ท้ายที่สุด อสูรอาจดุร้าย แต่ก็ไม่ยากสำหรับอัจฉริยะชั้นนำเหล่านั้นที่จะเลี้ยงอสูรให้ซื่อสัตย์ พวกเขามีทรัพยากรและคนรู้จักมากพอที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ฝึกสอนชั้นนำ
นอกจากนี้อสูรสภาวะเทพดวงดาวยังฉลาดมาก พวกเขาสามารถขอให้คนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาช่วยสะกดข่มอสูร อสูรส่วนใหญ่มักจะอ่อนลง
ซูผิงครุ่นคิดครู่หนึ่งและถามชายชราที่อยู่ข้างๆ เขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไม?”
ชายชรารู้สึกประหลาดใจ ความเคร่งขรึมบนใบหน้าของซูผิงทำให้เขาตระหนักว่าชายหนุ่มไม่ได้อยากกวนเขา เขาตอบด้วยท่าทีแปลก ๆ “เหตุผลนั้นง่ายมาก อสูรสภาวะเทพดวงดาวได้รวมตราเทพแล้ว จิตใจของคุณจะเชื่อมโยงกันถ้าคุณทำสัญญากับพวกมัน ยิ่งคุณสนิทกันมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นเท่านั้น ตราเทพของพวกมันจะส่งผลต่อเจ้าของของพวกมัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สำคัญสำหรับเจ้าดวงดาว เนื่องจากจะป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างผนึกดวงดาว”
“ยิ่งเจ้าดวงดาวมีความสามารถมากเท่าไร โอกาสที่พวกเขาจะทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาวก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น หากพวกเขาได้รับอิทธิพลจากวิถีอื่นมากเกินไป มันจะยากสำหรับพวกเขาที่จะปลดปล่อยตัวเอง อสูรดังกล่าวจะเป็นแหล่งการแทรกแซงอย่างต่อเนื่อง คุณต้องไม่ทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาวเว้นแต่ว่าคุณจะกลายเป็นสภาวะเทพดวงดาวแล้ว มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถไปถึงระดับนั้นได้!”
ซูผิงไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เขาถามด้วยความสงสัย “ไม่มีทางที่จะปิดกั้นอิทธิพลนั้นหรอ?”
“ยังไม่มีใครพบ” ชายชราส่ายหัว “อย่างไรก็ตามสภาวะเทพดวงดาวยังคงเป็นระดับที่ลึกลับ สหพันธ์ไม่สามารถวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันได้อย่างเต็มที่ ส่วนระดับดวงดาวและเจ้าดวงดาว สหพันธ์ได้บรรลุผลการวิจัยมากมายแล้ว โดยได้สร้างสิ่งมีชีวิตสภาวะเจ้าดวงดาวเทียมขึ้นมามากมาย อย่างไรก็ตามสำหรับสภาวะเทพดวงดาวนั้นแตกต่างออกไป”
ซูผิงเลิกคิ้วและมองลงมา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งและถามว่า “ถ้างั้น ถ้าเกิดเจ้าดวงดาวคนนั้นไม่มีโอกาสได้ขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวและทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาว เขาจะไม่อันตรายกว่าอัจฉริยะในอันดับราชาเทพหรอกหรือ?”
“นั่นก็จริง” ชายชราพยักหน้า “ดังนั้น เจ้าดวงดาวจึงค่อนข้างซับซ้อน อย่ารุกรานเจ้าดวงดาวที่ดูไม่ธรรมดา มิฉะนั้นคุณอาจถูกฆ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตามเจ้าดวงดาวแบบนั้นยาก เพราะมันยากสำหรับเจ้าดวงดาวที่จะทำให้อสูรสภาวะเทพดวงดาวเชื่องในช่วงเริ่มต้น
“อสูรดังกล่าวมักจะได้รับเป็นของขวัญจากผู้อาวุโสที่ให้การสนับสนุน แต่ลองพิจารณาว่าอสูรสภาวะเทพดวงดาวนั้นดุร้ายและฉลาดเพียงใด แม้ในขณะที่ถูกสะกดข่มพวกมันก็มักจะมองหาโอกาสฆ่าเจ้าของของพวกมันและหลบหนี ใครบ้างจะหาพวกมันเจอ? แม้แต่ลอร์ดสวรรค์อาจพบว่าเป็นการยากที่จะติดตามอสูรร้ายสภาวะเทพดวงดาวเมื่อมันไม่อยากให้ใครเจอ”
ซูผิงรู้แจ้งทันที งั้นก็ต้องพูดว่าเขาต้องระมัดระวังเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าดวงดาวธรรมดาๆ บางคนอาจมีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในมือ หากพวกเขาสามารถหาอสูรสภาวะเทพดวงดาวได้!
อย่างไรก็ตาม ฉันมีกระจกท้องฟ้า ไม่ใช่แค่อสูรสภาวะเทพดวงดาวเท่านั้น ฉันยังมีโอกาสหลบหนีและรอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะเจอสภาวะเทพดวงดาวที่เป็นมนุษย์ก็ตาม ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย
เขาพกกระจกท้องฟ้าไปด้วยทุกที่ตั้งแต่เขาได้รับมันมาจากสภาะทพอมตะ และได้ทดสอบพลังของมันในสนามบ่มเพาะด้วย มันทำให้เขาสามารถเดินทางไปในที่ต่างๆ ได้และยังสามารถสร้างร่างโคลนตัวเองเพื่อเบี่ยงเบนความเสียหายได้
การต่อสู้สิ้นสุดลงในขณะที่ซูผิงพูดคุยกับชายชรา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดก็ชนะ ผู้ที่แพ้ดูเหมือนจะมีชื่อเสียงในอันดับราชาเทพ ถึงกระนั้นก็ยังแพ้
“ใครต่อไป!?”
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดมองไปรอบๆ เสื้อผ้าของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดตัวเองและคู่ต่อสู้
”ฉัน!”
เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านล่างของแท่น จากนั้น หญิงสาวที่มีรูปร่างเย้ายวนก็พุ่งตัวลงไปที่ลานประลอง เธอสวมชุดเกราะรัดรูป แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะบดบังความเซ็กซี่ของเธอ
“เห้อ เลือกได้แย่!” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดเย้ยหยัน “ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิง เว้นแต่พวกเธอจะทำให้ฉันขุ่นเคือง พิจารณาใหม่ดีกว่า!”
“ขอฉันดูหน่อยว่าผู้ครอบครองอันดับห้าของอันดับราชาเทพจากเขตดาวอาคมเลือดจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน!” ผู้หญิงคนนั้นท้าทาย
“ฉันคิดว่าเธอคือ ซือเซียวเฟิง อันดีบสี่ของอันดับราชาเทพจากเขตดวงดาวเมฆบิน!”
“หนึ่งในนั้นคืออันดับที่สี่ในอันดับราชาเทพ ในขณะที่อีกคนอยู่ในอันดับห้า จิ๊ ฉันพนันว่าคนที่มีหน้าอกใหญ่กว่านั่นจะต้องเป็นผู้ชนะ!”
“อยากโดนฆ่าหรือไง? เธอจะถลกหนังนายทั้งเป็นถ้าเธอได้ยินอย่างนั้น!”
เสียงกระซิบต่างๆดังระงม หลายคนเชียร์ซื่อเซียวเฟิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจชายหนุ่ม
ทั้งคู่ต่อสู้อย่างดุเดือดในลานประลองขณะที่เสียงเชียร์ดำเนินต่อไป ในที่สุดพลังที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็ทำให้ทุกคนเงียบลง เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาดูน่าตกใจจริงๆ
พวกเขาเป็นแค่เจ้าดวงดาว แต่แข็งแกร่งกว่าลอร์ดของระบบดาวเคราะห์
ด้านบน—เหล่าสภาวะเทพดวงดาวจากเขตดวงดาวต่างๆและตระกูลโหลวหลานก็เฝ้าดูเหตุการณ์เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว หากอัจฉริยะระดับสูงของอันดับราชาเทพไปถึงสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาก็จะเป็นคู่ต่อสู้ที่ยุ่งยากเช่นกัน
“เขาแข็งแกร่งมาก!”
โหลวหลานหลินมองด้วยความงุนงง ทั้งสองคนต่อสู้โดยใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งคู่น่ากลัวไม่แพ้กัน โลกใบเล็กของพวกเขาไม่สามารถทำลายได้ และพลังแห่งศรัทธาของพวกเขาก็เยอะมากราวกับมหาสมุทรลึก กายาและเทคนิคลับของพวกเขาก็ค่อนข้างน่ากลัวเช่นกัน
“ผลาญท้องฟ้า!” ซื่อเซียวเฟิงคำราม โลกใบเล็กของเธอกลายเป็นเปลวเพลิงโหมกระหน่ำในทันใด ราวกับลูกไฟขนาดมหึมาเธอผลักโลกใบเล็กของเธอเข้าหาคู่ต่อสู้เหมือนดาวตก
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดเคลื่อนไหวราวกับผี โลกใบเล็กของเขาปรากฏขึ้นและหายไป ทันใดนั้นเขาก็แยกตัวและปรากฏตัวขึ้นด้านหลังซื่อเซียวเฟิง โจมตีเธออย่างคาดเดาไม่ได้
เสียงร้องของฟีนิกซ์ดังขึ้นด้านหลังซื่อเซียวเฟิง อสูรของเธอพุ่งออกมาและพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือด
“ช่างเป็นอสูรที่ฉลาดอะไรอย่างนี้!”
“เทคนิคลับของเขตดาวอาคมเลือดล้วนเกี่ยวกับการลอบสังหาร พวกเขาล้วนคาดเดาไม่ได้!”
สภาวะเทพดวงดาวหลายคนพยักหน้าขณะดู
มีคนอุทานออกมาในทันใดพอเห็นจุดสีดำปรากฏขึ้นในโลกใบเล็กที่ลุกโชนของซื่อเซียวเฟิง จากนั้นสีดำก็ทะลุผ่านโลกใบเล็กของเธอราวกับหนามแหลม อุกกาบาตที่ลุกไหม้แตกออกเป็นชิ้น ๆ ทำให้ซื่อเซียวเฟิงบาดเจ็บ ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดก็กระโดดออกมาจากเปลวเพลิง
กริชสีดำและน่ากลัวจ่ออยู่ที่หน้าผากของซื่อเซียวเฟิง
การต่อสู้สิ้นสุดลงและชัยชนะก็ชัดเจน
ผู้ชมเงียบสนิท จากนั้นทุกคนก็อุทานเสียงดัง
ไม่มีใครคาดคิดว่าซื่อเซียวเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่แพ้ง่ายๆจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนประหลาดใจที่เห็นรอยไหม้บนร่างของชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือด เขาแอบเข้าไปในโลกใบเล็กของซื่อเซียวเฟิงตอนไหน? เขาจงใจปล่อยร่างโคลนเพื่อโจมตีเธอจากด้านหลังหรอ?
“อันดับห้าของเขตดาวเมฆบินก็งั้นๆ!”
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดดึงกริชของเขากลับ ยิ้มอย่างเย็นชาและดูถูก ใบหน้าของซื่อเซียวเฟิงซีด เธอมองคู่ต่อสู้อย่างโกรธเคืองขณะหายใจแรง แต่เธอพูดอะไรไม่ได้
ผู้ชมไม่มีอะไรจะพูดหลังจากผลลัพธ์ดังกล่าว.. แม้ว่าความเย่อหยิ่งของเขาจะน่ารำคาญ แต่เขาก็คู่ควรกับความเย่อหยิ่งนั้นจริงๆ!
ลอร์ดสวรรค์อยู่ที่หนึ่ง สภาวะเทพดวงดาวอยู่อีกที่หนึ่ง ในขณะที่แขกคนอื่นๆ ของตระกูลอย่างซูผิง มีโซนอิสระเป็นของตัวเอง ผู้ที่มีความสำคัญน้อยกว่า เช่น เจ้าแห่งกาแล็กซี่บางคนถูกจัดให้อยู่อีกโซต
แขกที่เหลือนั่งในห้องประชุมที่มีผู้คนพลุกพล่านด้านหลังเวที
ซูผิงเห็นพุทธองค์หกชีวิต ลิเลียน และมังกรชีพาร์ดนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าเจ้าดวงดาว พวกเขามีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา และไม่ถือเป็นการดูถูกที่จะนั่งกับกลุ่มเจ้าดวงดาว
ซูผิงเห็นอี้หลิง—ซึ่งเพิ่งเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้—นั่งบนอีกโซน เขาเป็นเพียงเจ้าดวงดาวแต่ตระกูลโหลวหลานปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นสภาวะเทพดวงดาว คนรอบตัวเขาไม่บ่นเรื่องนี้ ท้ายที่สุดอี้หลิงเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสจะก้าวหน้า ไม่เป็นการดูหมิ่นที่จะนั่งร่วมกับเขา
จากนั้นได้ยินเสียงอุทานดังมาจากภายนอก
คนกลุ่มหนึ่งบินเข้ามาและเข้าไปในงาน พวกเขาไปที่โซนหลักของผู้นำตระกูลโหลวหลาน พวกเขาสวมชุดสีขาว ดูสง่างามราวกับเซียน
สภาวะเทพดวงดาวหลายคนจำเขาได้และลุกขึ้นยืนทันที
ชายชราที่มีคิ้วสีแดงถัดจากซูผิงอุทานว่า “นี่คือลอร์ดสวรรค์ อี้หลาน! เขามาที่นี่ด้วย!”
“อี้หลาน?” ซูผิงถามด้วยความสงสัย
ชายชราเหลือบมองซูผิงและกล่าวว่า “เขาเป็นอันดับสูงสุดในอันดับราชาเทพของเขตดวงดาวเงาแดงเมื่อห้าร้อยปีก่อน เขาเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเขาบรรลุถึงสภาวะเทพดวงดาว เขาเคยฆ่าอสูรสภาวะเทพดวงดาวสิบตัวในเขตดวงดาวเงาแดง เขาเป็นลอร์ดสวรรค์คนใหม่ล่าสุดในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา!”
“ลอร์ดสวรรค์คนใหม่ล่าสุด…” ซูผิงคิดไม่ถึงว่าโหลวหลานจะเชิญลอร์ดสวรรค์คนใหม่ล่าสุดมาได้ ดูเหมือนพวกเขาจะมีอิทธิพลมากจริงๆ
แขกคนอื่นๆ ของตระกูลโหลวหลานก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน สภาวะเทพดวงดาวที่นั่งใกล้ลอร์ดสวรรค์อี้หลานอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน ท้ายที่สุดแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาวะเทพดวงดาว แต่ลอร์ดสวรรค์ก็ใกล้กับสภาวะเทพอมตะมาก!
ในไม่ช้าผู้นำของตระกูลโหลวหลานก็เชิญลอร์ดสวรรค์อี้หลานให้นั่งลงและพูดคุยกัน
ขณะที่งานกาล่าดำเนินไป ดาราชั้นนำได้รับเชิญให้มาทำการแสดงของพวกเขา ในขณะที่อสูรหายากก็เดินไปมาเพื่อสร้างบรรยากาศ หลายคนชอบการแสดงและคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า ซูผิงไม่มีอะไรทำ ดังนั้นเขาจึงกินอย่างตะกละตะกลาม อาหารบนโต๊ะไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น มันเต็มไปด้วยพลังงานที่อุดมสมบูรณ์ มันทำหน้าที่เป็นยาชูกำลังที่ดีสำหรับคนธรรมดา ขณะรับประทานอาหารและย่อยอาหาร เขาขอให้พนักงานเสิร์ฟสาวสวยทานอาหารกับเขา
พนักงานเสิร์ฟเหล่านั้นถือเป็นดาวเด่นในกาแล็กซี่ต่างๆ พวกเธอเป็นนักรบอสูรจริง ๆ แต่ไม่มีใครอยู่เหนือสภาวะสมุทร พวกเธอลังเลที่จะตอบรับคำเชิญของซูผิง แต่อาหารก็ทำให้พวกเธอหลงใหลและตาเป็นประกาย
อาหารทั้งหมดบนโต๊ะหมดแล้ว และซูผิงก็สั่งอาหารใหม่ อาหารทั้งหมดนี้ฟรีอยู่แล้ว
ขณะกินดื่ม เขาก็ได้ยินเสียงจากลานประลองด้านล่าง เขามองไปที่มาของเสียง มีชายหนุ่มสองสามคนสวมเสื้อผ้าแปลก ๆ กำลังกวาดมองไปรอบแท่น ผู้คนจำนวนมากที่สนิทกับพุทธองค์หกชีวิตโกรธ บางคนถึงกับลุกขึ้นยืน ”เกิดอะไรขึ้น?” ซูผิงรู้สึกประหลาดใจ ชายหนุ่มเหล่านั้นเป็นแค่เจ้าดวงดาว พวกเขากล้าสร้างปัญหาที่นี่?
“พวกเขาเป็นเด็กจากเขตดาวอาคมเลือด พวกเขาหยิ่งทะนง ชอบท้าทายเจ้าดวงดาวคนอื่นๆ” ชายชราเหลือบไปที่จานเปล่ากองสูงบนโต๊ะของซูผิง แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมได้ยินมาเสมอว่าผู้คนในเขตดวงดาวนั้นกระหายเลือด ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง”
“ไม่มีใครจะหยุดความโง่เขลานี้ได้หรอ?” ซูผิงมองไปที่ตระกูลโหลวหลาน
ชายชราคิ้วสีแดงส่ายหัว “ผู้นำตระกูลตั้งใจเชิญอัจฉริยะจำนวนมากเพราะเขาต้องการให้พวกเขามาแสดงความสามารถ และเพราะเขาต้องการให้ลูกหลานของเขาเอาชนะคนพวกนั้นต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติอื่นๆ อย่างไรก็ตามเด็กเหล่านั้นดูแข็งแกร่งมาก ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้”
ซูผิงเข้าใจในทันที ดังนั้นทุกอย่างถูกวางแผนไว้แล้ว เขาล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปแทรกแซงทันที เขากินและพร้อมที่จะเห็นความสามารถของเจ้าดวงดาวคนอื่น ๆ ในอันดับราชาเทพ
”ทำไม? ไม่มีใครที่นี่กล้าพอที่จะสู้กับฉันเลยหรอ?” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดที่อยู่ตรงกลางมองไปรอบ ๆ และยิ้มอย่างดูถูก
”ฮึ ฉันจะสอนนายถึงความสำคัญในการเคารพผู้อื่น!”
จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง เขาเป็นเจ้าดวงดาวที่สวมชุดเกราะพิเศษดูแข็งแกร่ง เขาพูดภาษาสากลด้วยสำเนียงหนักแน่น
หนึ่งในสภาวะเทพดวงดาวตระกูลโหลวหลานล้อมรอบลานประลองหลังจากที่ชายคนนั้นขึ้นไปสู่ลานประลอง
บนลานประลอง—เพื่อนของชายหนุ่มที่สวมชุดสีแดงถอยห่างออกมาและยืนนิ่ง การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที ชายหนุ่มสวมชุดเกราะและชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดปลดปล่อยโลกใบเล็กของพวกเขาและต่อสู้กัน พวกเขาโจมตีโดยใช้พลังแห่งศรัทธา คำรามเหมือนมังกร อสูรทั้งหมดของพวกเขาเป็นอสูรหายาก อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวทำให้ลานประลองสั่นสะเทือนตลอดเวลา สถานที่จะถูกทำลายหากสนามรบไม่ถูกปิดล้อมไว้
อัจฉริยะในอันดับราชาเทพดูเหมือนจะไม่มีอสูรสภาวะเทพดวงดาว
ซูผิงมองเงียบๆ เขาได้ตระหนักถึงปัญหาเดียวกันนี้เมื่อเขาท้าทายอันดับราชาเทพ แม้แต่อันดับสูงๆก็ยังใช้แค่อสูรสภาวะเจ้าดวงดาวเท่านั้น
ตามทฤษฎีแล้ว เจ้าดวงดาวสามารถทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาวได้
เป็นเพราะช่องว่างระหว่างทั้งสองใหญ่มากจนอาจควบคุมอสูรไม่ได้แม้ว่าจะทำสัญญาหรือเปล่า? ซูผิงเดา แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นเหตุผลที่แท้จริง
ท้ายที่สุด อสูรอาจดุร้าย แต่ก็ไม่ยากสำหรับอัจฉริยะชั้นนำเหล่านั้นที่จะเลี้ยงอสูรให้ซื่อสัตย์ พวกเขามีทรัพยากรและคนรู้จักมากพอที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ฝึกสอนชั้นนำ
นอกจากนี้อสูรสภาวะเทพดวงดาวยังฉลาดมาก พวกเขาสามารถขอให้คนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาช่วยสะกดข่มอสูร อสูรส่วนใหญ่มักจะอ่อนลง
ซูผิงครุ่นคิดครู่หนึ่งและถามชายชราที่อยู่ข้างๆ เขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไม?”
ชายชรารู้สึกประหลาดใจ ความเคร่งขรึมบนใบหน้าของซูผิงทำให้เขาตระหนักว่าชายหนุ่มไม่ได้อยากกวนเขา เขาตอบด้วยท่าทีแปลก ๆ “เหตุผลนั้นง่ายมาก อสูรสภาวะเทพดวงดาวได้รวมตราเทพแล้ว จิตใจของคุณจะเชื่อมโยงกันถ้าคุณทำสัญญากับพวกมัน ยิ่งคุณสนิทกันมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นเท่านั้น ตราเทพของพวกมันจะส่งผลต่อเจ้าของของพวกมัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สำคัญสำหรับเจ้าดวงดาว เนื่องจากจะป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างผนึกดวงดาว”
“ยิ่งเจ้าดวงดาวมีความสามารถมากเท่าไร โอกาสที่พวกเขาจะทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาวก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น หากพวกเขาได้รับอิทธิพลจากวิถีอื่นมากเกินไป มันจะยากสำหรับพวกเขาที่จะปลดปล่อยตัวเอง อสูรดังกล่าวจะเป็นแหล่งการแทรกแซงอย่างต่อเนื่อง คุณต้องไม่ทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาวเว้นแต่ว่าคุณจะกลายเป็นสภาวะเทพดวงดาวแล้ว มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถไปถึงระดับนั้นได้!”
ซูผิงไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เขาถามด้วยความสงสัย “ไม่มีทางที่จะปิดกั้นอิทธิพลนั้นหรอ?”
“ยังไม่มีใครพบ” ชายชราส่ายหัว “อย่างไรก็ตามสภาวะเทพดวงดาวยังคงเป็นระดับที่ลึกลับ สหพันธ์ไม่สามารถวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันได้อย่างเต็มที่ ส่วนระดับดวงดาวและเจ้าดวงดาว สหพันธ์ได้บรรลุผลการวิจัยมากมายแล้ว โดยได้สร้างสิ่งมีชีวิตสภาวะเจ้าดวงดาวเทียมขึ้นมามากมาย อย่างไรก็ตามสำหรับสภาวะเทพดวงดาวนั้นแตกต่างออกไป”
ซูผิงเลิกคิ้วและมองลงมา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งและถามว่า “ถ้างั้น ถ้าเกิดเจ้าดวงดาวคนนั้นไม่มีโอกาสได้ขึ้นสู่สภาวะเทพดวงดาวและทำสัญญากับอสูรสภาวะเทพดวงดาว เขาจะไม่อันตรายกว่าอัจฉริยะในอันดับราชาเทพหรอกหรือ?”
“นั่นก็จริง” ชายชราพยักหน้า “ดังนั้น เจ้าดวงดาวจึงค่อนข้างซับซ้อน อย่ารุกรานเจ้าดวงดาวที่ดูไม่ธรรมดา มิฉะนั้นคุณอาจถูกฆ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตามเจ้าดวงดาวแบบนั้นยาก เพราะมันยากสำหรับเจ้าดวงดาวที่จะทำให้อสูรสภาวะเทพดวงดาวเชื่องในช่วงเริ่มต้น
“อสูรดังกล่าวมักจะได้รับเป็นของขวัญจากผู้อาวุโสที่ให้การสนับสนุน แต่ลองพิจารณาว่าอสูรสภาวะเทพดวงดาวนั้นดุร้ายและฉลาดเพียงใด แม้ในขณะที่ถูกสะกดข่มพวกมันก็มักจะมองหาโอกาสฆ่าเจ้าของของพวกมันและหลบหนี ใครบ้างจะหาพวกมันเจอ? แม้แต่ลอร์ดสวรรค์อาจพบว่าเป็นการยากที่จะติดตามอสูรร้ายสภาวะเทพดวงดาวเมื่อมันไม่อยากให้ใครเจอ”
ซูผิงรู้แจ้งทันที งั้นก็ต้องพูดว่าเขาต้องระมัดระวังเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าดวงดาวธรรมดาๆ บางคนอาจมีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในมือ หากพวกเขาสามารถหาอสูรสภาวะเทพดวงดาวได้!
อย่างไรก็ตาม ฉันมีกระจกท้องฟ้า ไม่ใช่แค่อสูรสภาวะเทพดวงดาวเท่านั้น ฉันยังมีโอกาสหลบหนีและรอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะเจอสภาวะเทพดวงดาวที่เป็นมนุษย์ก็ตาม ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย
เขาพกกระจกท้องฟ้าไปด้วยทุกที่ตั้งแต่เขาได้รับมันมาจากสภาะทพอมตะ และได้ทดสอบพลังของมันในสนามบ่มเพาะด้วย มันทำให้เขาสามารถเดินทางไปในที่ต่างๆ ได้และยังสามารถสร้างร่างโคลนตัวเองเพื่อเบี่ยงเบนความเสียหายได้
การต่อสู้สิ้นสุดลงในขณะที่ซูผิงพูดคุยกับชายชรา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดก็ชนะ ผู้ที่แพ้ดูเหมือนจะมีชื่อเสียงในอันดับราชาเทพ ถึงกระนั้นก็ยังแพ้
“ใครต่อไป!?”
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดมองไปรอบๆ เสื้อผ้าของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดตัวเองและคู่ต่อสู้
”ฉัน!”
เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านล่างของแท่น จากนั้น หญิงสาวที่มีรูปร่างเย้ายวนก็พุ่งตัวลงไปที่ลานประลอง เธอสวมชุดเกราะรัดรูป แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะบดบังความเซ็กซี่ของเธอ
“เห้อ เลือกได้แย่!” ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดเย้ยหยัน “ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิง เว้นแต่พวกเธอจะทำให้ฉันขุ่นเคือง พิจารณาใหม่ดีกว่า!”
“ขอฉันดูหน่อยว่าผู้ครอบครองอันดับห้าของอันดับราชาเทพจากเขตดาวอาคมเลือดจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน!” ผู้หญิงคนนั้นท้าทาย
“ฉันคิดว่าเธอคือ ซือเซียวเฟิง อันดีบสี่ของอันดับราชาเทพจากเขตดวงดาวเมฆบิน!”
“หนึ่งในนั้นคืออันดับที่สี่ในอันดับราชาเทพ ในขณะที่อีกคนอยู่ในอันดับห้า จิ๊ ฉันพนันว่าคนที่มีหน้าอกใหญ่กว่านั่นจะต้องเป็นผู้ชนะ!”
“อยากโดนฆ่าหรือไง? เธอจะถลกหนังนายทั้งเป็นถ้าเธอได้ยินอย่างนั้น!”
เสียงกระซิบต่างๆดังระงม หลายคนเชียร์ซื่อเซียวเฟิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจชายหนุ่ม
ทั้งคู่ต่อสู้อย่างดุเดือดในลานประลองขณะที่เสียงเชียร์ดำเนินต่อไป ในที่สุดพลังที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็ทำให้ทุกคนเงียบลง เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาดูน่าตกใจจริงๆ
พวกเขาเป็นแค่เจ้าดวงดาว แต่แข็งแกร่งกว่าลอร์ดของระบบดาวเคราะห์
ด้านบน—เหล่าสภาวะเทพดวงดาวจากเขตดวงดาวต่างๆและตระกูลโหลวหลานก็เฝ้าดูเหตุการณ์เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว หากอัจฉริยะระดับสูงของอันดับราชาเทพไปถึงสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาก็จะเป็นคู่ต่อสู้ที่ยุ่งยากเช่นกัน
“เขาแข็งแกร่งมาก!”
โหลวหลานหลินมองด้วยความงุนงง ทั้งสองคนต่อสู้โดยใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งคู่น่ากลัวไม่แพ้กัน โลกใบเล็กของพวกเขาไม่สามารถทำลายได้ และพลังแห่งศรัทธาของพวกเขาก็เยอะมากราวกับมหาสมุทรลึก กายาและเทคนิคลับของพวกเขาก็ค่อนข้างน่ากลัวเช่นกัน
“ผลาญท้องฟ้า!” ซื่อเซียวเฟิงคำราม โลกใบเล็กของเธอกลายเป็นเปลวเพลิงโหมกระหน่ำในทันใด ราวกับลูกไฟขนาดมหึมาเธอผลักโลกใบเล็กของเธอเข้าหาคู่ต่อสู้เหมือนดาวตก
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดเคลื่อนไหวราวกับผี โลกใบเล็กของเขาปรากฏขึ้นและหายไป ทันใดนั้นเขาก็แยกตัวและปรากฏตัวขึ้นด้านหลังซื่อเซียวเฟิง โจมตีเธออย่างคาดเดาไม่ได้
เสียงร้องของฟีนิกซ์ดังขึ้นด้านหลังซื่อเซียวเฟิง อสูรของเธอพุ่งออกมาและพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือด
“ช่างเป็นอสูรที่ฉลาดอะไรอย่างนี้!”
“เทคนิคลับของเขตดาวอาคมเลือดล้วนเกี่ยวกับการลอบสังหาร พวกเขาล้วนคาดเดาไม่ได้!”
สภาวะเทพดวงดาวหลายคนพยักหน้าขณะดู
มีคนอุทานออกมาในทันใดพอเห็นจุดสีดำปรากฏขึ้นในโลกใบเล็กที่ลุกโชนของซื่อเซียวเฟิง จากนั้นสีดำก็ทะลุผ่านโลกใบเล็กของเธอราวกับหนามแหลม อุกกาบาตที่ลุกไหม้แตกออกเป็นชิ้น ๆ ทำให้ซื่อเซียวเฟิงบาดเจ็บ ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดก็กระโดดออกมาจากเปลวเพลิง
กริชสีดำและน่ากลัวจ่ออยู่ที่หน้าผากของซื่อเซียวเฟิง
การต่อสู้สิ้นสุดลงและชัยชนะก็ชัดเจน
ผู้ชมเงียบสนิท จากนั้นทุกคนก็อุทานเสียงดัง
ไม่มีใครคาดคิดว่าซื่อเซียวเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่แพ้ง่ายๆจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนประหลาดใจที่เห็นรอยไหม้บนร่างของชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือด เขาแอบเข้าไปในโลกใบเล็กของซื่อเซียวเฟิงตอนไหน? เขาจงใจปล่อยร่างโคลนเพื่อโจมตีเธอจากด้านหลังหรอ?
“อันดับห้าของเขตดาวเมฆบินก็งั้นๆ!”
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเลือดดึงกริชของเขากลับ ยิ้มอย่างเย็นชาและดูถูก ใบหน้าของซื่อเซียวเฟิงซีด เธอมองคู่ต่อสู้อย่างโกรธเคืองขณะหายใจแรง แต่เธอพูดอะไรไม่ได้
ผู้ชมไม่มีอะไรจะพูดหลังจากผลลัพธ์ดังกล่าว.. แม้ว่าความเย่อหยิ่งของเขาจะน่ารำคาญ แต่เขาก็คู่ควรกับความเย่อหยิ่งนั้นจริงๆ!