ซูผิงพยายามลืมตา ไม่มีอะไรให้มองนอกจากหมอกทรายที่บังตาเขา เขารู้สึกเวียนหัวและร่างกายของเขาดูเหมือนโดนถ่วงตกอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาไม่มีร่างกาย แต่เขาก็รู้สึกหนาวมากขึ้น
เวลาผ่านไปนานจนในที่สุดเขาก็เห็นประตู
แสงอนันต์มาจากที่ไกลออกไปนอกประตูซึ่งปกคลุมร่างกายของเขา ซูผิงรู้สึกอบอุ่นและสบายในทันที เหมือนกับได้กลับไปอยู่ในอ้อมแขนของแม่
เขาชอบความรู้สึกนี้ แต่เขาก็รีบบังคับตัวเองให้ลืมตาอีกครั้งและตรวจสอบสภาพแวดล้อม
ซูผิงพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอวกาศ ผู้คนที่คุ้นเคยรออยู่รอบๆตัวเขา รวมทั้งผู้ดูแลถานและโหลวหลานเฟิง นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวคนอื่นๆ ของตระกูลโหลวหลานอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนโล่งใจเมื่อเห็นเขาตื่น
”ยอดเยี่ยม! กลับมาแล้ว”โหลวหลานเฟิงกล่าวด้วยความยินดีและโล่งใจ
ซูผิงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับร่างกายของเขา แม้จะระวัดระวัง แต่น้ำเสียงของเขาก็สงบในขณะที่เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นในทะเลมายา”
สภาวะเทพดวงดาวของตระกูลโหลวหลานพูดอย่างเศร้าโศกว่า “คลื่นทมิฬมาก่อนกำหนดและปะทุขึ้นทันที ผู้ตรวจสอบภายในไม่สังเกตเห็นอะไรเลย ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดพลาดลึกลงไปในทะเลมายา เราถอยกลับมาทันเวลา แต่บางคนยังหลงทางอยู่ที่นั่น…”
ซูผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาได้พบกับคลื่นทมิฬก่อนจะจากมา ซึ่งทำให้เขาสงสัยว่าเขายังคงจมอยู่ในภาพมายาหรือว่าเขากลับมาในความเป็นจริงแล้ว
“ผมรู้สึกว่าเราอยู่ที่นั่นไม่นาน ไม่ใช่อย่างนั้นหรอ?” ซูผิงถามผู้ดูแลถาน
ผู้ดูแลถานสีหน้าดีขึ้นมากหลังจากที่เห็นว่าซูผิงรู้สึกตัวแล้ว เธอมองมาที่เขา รู้สึกโชคดี “การรับรู้เวลาของเธอในทะเลมายานั้นไม่ถูกต้อง เธอแทบจะไม่สามารถแยกแยะการไหลของเวลาได้ แม้ว่าเธอจะเชี่ยวชาญกฎของเวลาก็ตาม เธออาจใช้เวลาหลายเดือนที่นั่นโดยคิดว่าเธอเพิ่งจะก้าวเข้าไปในประตูนั้น”
ซูผิงขมวดคิ้ว มันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถรู้สึกถึงมิติเวลาอย่างถูกต้องในขณะที่สำรวจสถานที่ ไม่มีอะไรถูกรับรู้ยกเว้นพลังจิตของเขา
“คุณบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมเข้าไปข้างใน?” ซูผิงถาม “แล้วผมอยู่ข้างในนานแค่ไหน?”
เขาสร้างดาบเงียบ ๆ ด้วยวิถีแห่งมายาขณะที่เขาถามคำถาม แต่ดาบไม่ปรากฏ การสร้างล้มเหลว
ซูผิงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด เขากลับรู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าเขาจะออกจากทะเลมายาแล้วจริงๆ
กฎแห่งมายาที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาได้กลับสู่ความเป็นจริงแล้ว เพราะมันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะใช้พลังลึกลับนั้นนอกทะเลแห่งภาพมายา
เป็นไปได้ไหมที่ความไร้ประสิทธิภาพของมันเป็นภาพมายาด้วย? สิ่งที่สามารถยืนยันได้ด้วยวิถีแห่งมายา จิตใจของเขาไม่สามารถถูกโจมตีได้เมื่อเขาใช้วิถีแห่งมายา แม้ว่าจินตนาการของเขาจะเป็นจริงได้เพราะวิถี โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงกลับมาในความเป็นจริงได้!
พูดได้เลยว่าฉันเจอคลื่นสีดำที่นั่น มันไม่ใช่ภาพมายา ซูผิงจำสิ่งที่พวกเขาพูดและระมัดระวัง
“เมื่อเราเข้าไปข้างใน ฉันรู้สึกว่าความคิดที่ฉันทิ้งไว้ในหัวของเธอขาดหายไป ซึ่งหมายความว่าเธอตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง โชคร้ายที่ความคิดของฉันไม่สามารถนำสติของเธอกลับมาได้ หมายความว่ามันจะต้องถูกลบโดยอันตรายที่เธอเจอ”
ผู้ดูแลถานดูสงบ แต่จริงๆ แล้วเธอตกใจมาก
หัวใจของเธอรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ในสายตาของเธออัจฉริยะอันดับต้นๆ ที่เธอต้องดูแล—ศิษย์ของลอร์ดสูงสุด คนสำคัญแบบนี้—น่าจะตายไปแล้ว!
หากความคิดของเธอล้มเหลวในการปกป้องเขา แสดงว่าอันตรายนั้นต้องสูงจนแม้แต่เจ้าดวงดาวชั้นนำก็ไม่น่ารอด ไม่ต้องพูดถึงว่าซูผิงอยู่แค่ระดับดวงดาว
แม้ว่าซูผิงจะมีความสามารถและโดนเด่นมากกว่าคนรอบข้าง แต่เขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน?
หลังจากที่เธอเอาร่างของซูผิงออกมา เธอพบว่าจิตสำนึกของเขาไม่ได้อยู่กับตัว ดูเหมือนว่าจะติดอยู่ในทะเลมายา หรือไม่ก็ถูกลบทิ้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าทิ้งเขาง่ายๆ พวกเขารออยู่กับร่างของซูผิง ถ้าจิตสำนึกของซูผิงไม่กลับมาก่อนประตูปิด เขาคงตายไปแล้วจริงๆ
ซูผิงจะกลายร่างไร้วิญญาณ มีเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
จากนั้น ตระกูลโหลวหลานจะต้องแบกรับความโกรธของสภาวะเทพอมตะ
ตระกูลจะไม่ถูกลงโทษ ท้ายที่สุดการตายของซูผิงเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังจะต้องประสบความสูญเสียบางอย่าง ผู้ดูแลถานซึ่งรับผิดชอบความปลอดภัยของเขา อาจต้องรับผิด
“จิตสำนึกของเธออยู่ที่นั่นครึ่งเดือน…” ผู้ดูแลถานเหลือบมองซูผิงและกล่าวว่า “คลื่นทมิฬยังไม่ลดลง เราวางแผนที่จะหาเธอเมื่อคลื่นลดลง แต่แล้วเธอก็กลับมาด้วยตัวเองอย่างน่าประหลาดใจ”
สภาวะเทพดวงดาวคนอื่น ๆ ของตระกูลโหลวหลานก็พยักหน้าเช่นกันขณะที่มองซูผิงแปลก ๆ
เขาเป็นเพียงนักรบระดับดวงดาว แต่ถึงกระนั้นเขาก็สามารถเอาชีวิตรอดในทะเลมายาเป็นเวลาครึ่งเดือนในขณะที่คลื่นทมิฬอาละวาด มันเกือบจะเป็นปาฏิหาริย์!
เห็นได้ชัดว่าซูผิงต้องมีความสำคัญมากต่อลอร์ดสูงสุด
ในความเห็นของพวกเขา ซูผิงคงไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีสมบัติปกป้องที่ลอร์ดสูงสุดมอบให้เขา ท้ายที่สุด แม้แต่สภาวะเทพดวงดาวก็ยังต้องหนีจากคลื่นทมิฬ และแทบจะเอาชีวิตรอดจากพวกมันไม่ได้
“ครึ่งเดือน…”
ซูผิงไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น เขารู้สึกว่าน่าจะใช้เวลาเพียงวันเดียวในการทำความเข้าใจกฎแห่งมายาและล่าวิญญาณ
ฉันอาจจะทุ่มเทเกินไปในการพยายามรับรู้กฎแห่งมายา ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย เขาลุกขึ้นและกางแขนออก รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจในทันที
ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบแหลมราวกับเครื่องจักร เขาสามารถตรวจจับทุกเซลล์ในร่างกายของเขา และความสามารถในการเคลื่อนไหวของเขาก็สูงกว่าปกติถึงสิบเท่า
นอกจากนี้ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวอย่างผู้ดูแลถานก็ยังดูชัดเจนขึ้นในสายตาของเขา เขาสามารถมองเห็นรัศมีสีทองของพวกเขาได้
ดูเหมือนจะเป็นพลังงานพิเศษบางอย่าง แต่มันอ่อนมาก
จิตสำนึกของฉันแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ… ซูผิงดูสงบ แต่เขารู้สึกมีความสุขมาก เขาเกือบถูกฆ่าตายในการเดินทางครั้งนี้ แต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นยิ่งใหญ่มาก
ไม่เพียงแต่จิตสำนึกของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขายังเข้าใจวิถีแห่งมายาและพบแนวทางสำหรับโลกใบที่สองของเขา
ซูผิงรู้สึกงงเมื่อเขานึกว่าเขาออกมาได้ยังไง
พวกเขาเรียกสิ่งนั้นว่าคลื่นทมิฬ ภาพมายาที่ฉันพบเรียกกันว่าแบบนั้น… เป็นเพราะจิตสำนึกของฉันอนุมานจากข้อมูลของตระกูลโหลวหลานว่ามันคือคลื่นทมิฬหรือเปล่า? ภาพมายาผลักฉันออกมา จิตสำนึกของฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องไปทางไหนหากฉันไม่รู้มาก่อน?
เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของซูผิง โหลวหลานเฟิงจึงถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”
ซูผิงเหลือบมองเขาและส่ายหัว ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้
ท้ายที่สุดแล้วมันเกี่ยวข้องกับจิตสำนึกของเขา นอกจากนี้ทะเลมายานั้นแปลกเกินไป บางสิ่งไม่สามารถอธิบายได้ ข้อมูลที่เป็นความลับของโหลวหลานไม่มีคำอธิบายโดยละเอียด
“ต้องมีคนจำนวนมากเข้ามาก่อนเรา พวกเขากลับมาแล้วหรือ?” ซูผิงถาม
ผู้ดูแลถานมองไปไกลและพูดว่า “บางคนกลับมา แต่บางคนก็หมดสติไปที่นั่น เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นกับเธอ พวกเขาอาจจะไม่สามารถกลับมาได้หากไม่มีขั้นตอนพิเศษ”
ซูผิงมองไปไกล มีเพียงคนที่หมดสติอยู่รอบประตูเท่านั้น เขาเป็นหนึ่งในคนที่นอนใกล้ประตูมากที่สุด ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวตนของเขา
สภาวะเทพดวงดาวที่ติดตามพวกเขาแสดงความประหลาดใจและยินดีอย่างเปิดเผยเมื่อซูผิงลุกขึ้นนั่ง
หวืด!
สภาวะเทพดวงดาวอีกคนหนึ่งบินมาอย่างรวดเร็ว แต่ถูกโหลวหลานเฟิงและผู้ดูแลถานขวางไว้
“ซูผิง คุณซู คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในทะเลมายา?” ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวค่อนข้างตื่นเต้น การกลับมาของซูผิงเป็นสัญญาณว่าคนอื่นๆ ก็สามารถกลับมาได้เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าสภาวะเทพดวงดาวจำนวนมากกำลังมองมาที่เขา เขาพูดอย่างสงบว่า “คลื่นทมิฬเพิ่มขึ้นตอนที่ผมจากมา ต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะผมออกมาเพราะแรงผลักของคลื่น”
“เกิดอะไรขึ้นกับคลื่นทมิฬ?”
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวตกตะลึงครู่หนึ่ง
สภาวะเทพดวงดาวอื่น ๆ ก็หน้าดำเช่นกัน คลื่นทมิฬนั้นอันตรายพออยู่แล้ว มันจะอันตรายกว่าเดิมถ้าเกิดปัญหาขึ้น
การสำรวจภายในทะเลมายาจนถึงขณะนี้ได้ถูกปิดกั้นโดยคลื่นทมิฬ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นเมื่อมันปะทุ วิญญาณที่ดุร้ายที่สุดก็อาจปรากฏขึ้นเช่นกัน
มีวิญญาณตั้งแต่ระดับ S ถึงระดับ SSS ในคลื่นทมิฬ แม้แต่สภาวะเทพดวงดาวก็สามารถถึงจุดจบได้ เนื่องจากไม่มีอาณาจักรใดสามารถต้านทานพลังของวิญญาณระดับ SSS ได้!
ทันใดนั้นก็มีคนพูดด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด “ฮึ่ม ตอนนั้นเธอทำได้ยังไง?”
คนที่พูดเป็นยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวเช่นกัน เธอคือหญิงชราในชุดเกราะสีทองและกระโปรงที่เผยให้เห็นขายาวตรง เธอสวยจริงๆ แต่ดูน่ากลัวด้วย มีเจ้าดวงดาวนอนอยู่ข้างๆเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหนึ่งในอันดับราชาเทพของเขตดาวไหนสักแห่ง
เมื่อเขาได้ยินผู้หญิงคนนั้นถามเขา ซูผิงก็เลิกคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อที่จะกลับมา ทำไมคุณถึงสนใจว่าผมกลับมาได้ยังไง?”
”เธอ!”
เธอไม่คิดคว่าซูผิงจะกล้าต่อต้านเธอในที่สาธารณะ ยังไงซะเธอก็เป็นสภาวะเทพดวงดาวและซูผิงเป็นแค่นักรบระดับดวงดาว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของเทพอมตะก็ตาม เธอสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
โหลวหลานเฟิงก้าวขึ้นมาและพูดอย่างสงบว่า “คุณเหม่ยกุ่ย คุณซูเป็นแขกของตระกูลผมและเป็นศิษย์ของลอร์ดสูงสุดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่จะมีสมบัติมากมายที่ทำให้เขาปลอดภัย มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะกลับมา… ผมหวังว่าคุณจะไม่เอาความโชคร้ายของคนอื่นมาลงกับเขา”
สภาวะเทพดวงดาวตระกูลโหลวหลานทุกคนจ้องเธอเงียบๆ แม้จะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะปกป้องซูผิงหากเธอโจมตี
เหม่ยกุ่ยหน้าดำ เธอต้องระงับความโกรธอย่างยากลำบาก เธอมองซูผิงที่อยู่ท่ามกลางยอดฝีมือเหล่านั้นและทำได้เพียงขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเท่านั้น “ศิษย์ของลอร์ดสูงสุดหยิ่งทะนงจริงๆ เขาต้องไม่เคารพสภาวะเทพดวงดาวคนอื่นอย่างแน่นอนเมื่อเขามาถึงอาณาจักรของเรา!”
ซูผิงหรี่ตาลง ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะปลุกระดมผู้คนให้ต่อต้านเขา
ก่อนที่เขาจะตอบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไหนสักแห่งในอวกาศ “แม้ว่าเขาจะดูหมิ่นคนแบบเธอ แต่แล้วยังไง? เธอเป็นแค่ผู้บ่มเพาะสภาวะเทพดวงดาวขั้นสาม สมควรได้รับความเคารพหรอ?
หลังจากพูดคำเหล่านั้น ลำแสงอันเจิดจ้าก็มาจากจักรวาลอันมืดมิดและหยุดอยู่ข้างๆ ซูผิง เมื่อแสงเจิดจรัสหายไป บุคคลผู้สง่างามก็ปรากฏตัว
ซูผิงกล่าวด้วยความยินดี “ศิษย์พี่โหยวหลง!”
คนที่มาถึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโหยวหลง ศิษย์พี่เจ็ดของเขา!
โหยวหลงหันกลับมาและพูดกับซูผิงพร้อมกับหัวเราะ “อาจารย์ทำนายว่านายจะเจอปัญหาในทะเลมายา เขาจึงส่งฉันมาช่วยชีวิตนาย ฉันไม่คิดว่านายจะกลับมาด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องของฉัน!”
ซูผิงรู้สึกเข้าใจและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ผมคงไม่รอดถ้าไม่มีคำอวยพรของศิษย์พี่และอาจารย์”
โหยวหลงมองซูผิงและยิ้ม “ฉันไม่มั่นใจอย่างเต็มที่ตอนที่ผู้หยานบอกว่านายสามารถท้าทายสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพได้ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำไป นายแซงหน้าศิษย์พี่ไปแล้ว อีกไม่นานนายคงเป็นอันดับหนึ่งในเขตดาวเรา”
ซูผิงกระแอมและพูดว่า “ศิษย์พี่ เรามาทำตัวธรรมดาก่อนหน่อยดีกว่า…”
พวกเขาไม่ได้พูดแบบกระซิบ เสียงของโหยวหลงค่อนข้างดัง คำพูดที่กล้าหาญของเขาทำให้สภาวะเทพดวงดาวหน้าเปลี่ยนสี พวกเขามองที่ซูผิงด้วยความตกใจ
เขาน่ากลัวขนาดนี้เชียวตอนเป็นแค่นักรบสภาวะดวงดาว?
เป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับดวงดาวที่จะท้าทายเจ้าดวงดาว อัจฉริยะเท่านั้นถึงสามารถทำได้ ซูผิงจะไม่เก่งที่สุดในอันดับราชาเทพเมื่อเขากลายเป็นเจ้าดวงดาวหรอกหรอ?
ห่างออกไป—เหม่ยกุ่ยหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าเหตุใดตระกูลโหลวหลานจึงเสนอสิทธิพิเศษดังกล่าวให้กับซูผิงแม้ว่าเขาจะอยู่แค่ระดับดวงดาว นั่นก็เพราะศักยภาพของอัจฉริยะนั้นเกินความคาดหมายของเธอ การย่อโลกใบเล็กตั้งแต่สภาวะชะตากรรมและขึ้นสู่สิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพขณะที่อยู่ในระดับดวงดาวล้วนเป็นปาฏิหาริย์!
แม้แต่เทพอมตะบางคนก็ยังไม่สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ตอนที่พวกเขายังเด็ก!
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เธอทำ!
“เธอมาจากเขตดาวไหน? กล้ามาโทษว่าศิษย์น้องของฉัน ฉันจะให้โอกาสเธอขอโทษ ถ้าเธอขอโทษฉันก็จะให้อภัย”
โหยวหลงหันไปมอง รอยยิ้มที่เขามีตอนคุยกับซูผิงหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาจ้องเหม่ยกุ่ยด้วยท่าทางเหมือนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
��
เวลาผ่านไปนานจนในที่สุดเขาก็เห็นประตู
แสงอนันต์มาจากที่ไกลออกไปนอกประตูซึ่งปกคลุมร่างกายของเขา ซูผิงรู้สึกอบอุ่นและสบายในทันที เหมือนกับได้กลับไปอยู่ในอ้อมแขนของแม่
เขาชอบความรู้สึกนี้ แต่เขาก็รีบบังคับตัวเองให้ลืมตาอีกครั้งและตรวจสอบสภาพแวดล้อม
ซูผิงพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอวกาศ ผู้คนที่คุ้นเคยรออยู่รอบๆตัวเขา รวมทั้งผู้ดูแลถานและโหลวหลานเฟิง นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวคนอื่นๆ ของตระกูลโหลวหลานอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนโล่งใจเมื่อเห็นเขาตื่น
”ยอดเยี่ยม! กลับมาแล้ว”โหลวหลานเฟิงกล่าวด้วยความยินดีและโล่งใจ
ซูผิงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับร่างกายของเขา แม้จะระวัดระวัง แต่น้ำเสียงของเขาก็สงบในขณะที่เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นในทะเลมายา”
สภาวะเทพดวงดาวของตระกูลโหลวหลานพูดอย่างเศร้าโศกว่า “คลื่นทมิฬมาก่อนกำหนดและปะทุขึ้นทันที ผู้ตรวจสอบภายในไม่สังเกตเห็นอะไรเลย ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดพลาดลึกลงไปในทะเลมายา เราถอยกลับมาทันเวลา แต่บางคนยังหลงทางอยู่ที่นั่น…”
ซูผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาได้พบกับคลื่นทมิฬก่อนจะจากมา ซึ่งทำให้เขาสงสัยว่าเขายังคงจมอยู่ในภาพมายาหรือว่าเขากลับมาในความเป็นจริงแล้ว
“ผมรู้สึกว่าเราอยู่ที่นั่นไม่นาน ไม่ใช่อย่างนั้นหรอ?” ซูผิงถามผู้ดูแลถาน
ผู้ดูแลถานสีหน้าดีขึ้นมากหลังจากที่เห็นว่าซูผิงรู้สึกตัวแล้ว เธอมองมาที่เขา รู้สึกโชคดี “การรับรู้เวลาของเธอในทะเลมายานั้นไม่ถูกต้อง เธอแทบจะไม่สามารถแยกแยะการไหลของเวลาได้ แม้ว่าเธอจะเชี่ยวชาญกฎของเวลาก็ตาม เธออาจใช้เวลาหลายเดือนที่นั่นโดยคิดว่าเธอเพิ่งจะก้าวเข้าไปในประตูนั้น”
ซูผิงขมวดคิ้ว มันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถรู้สึกถึงมิติเวลาอย่างถูกต้องในขณะที่สำรวจสถานที่ ไม่มีอะไรถูกรับรู้ยกเว้นพลังจิตของเขา
“คุณบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมเข้าไปข้างใน?” ซูผิงถาม “แล้วผมอยู่ข้างในนานแค่ไหน?”
เขาสร้างดาบเงียบ ๆ ด้วยวิถีแห่งมายาขณะที่เขาถามคำถาม แต่ดาบไม่ปรากฏ การสร้างล้มเหลว
ซูผิงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด เขากลับรู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าเขาจะออกจากทะเลมายาแล้วจริงๆ
กฎแห่งมายาที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาได้กลับสู่ความเป็นจริงแล้ว เพราะมันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะใช้พลังลึกลับนั้นนอกทะเลแห่งภาพมายา
เป็นไปได้ไหมที่ความไร้ประสิทธิภาพของมันเป็นภาพมายาด้วย? สิ่งที่สามารถยืนยันได้ด้วยวิถีแห่งมายา จิตใจของเขาไม่สามารถถูกโจมตีได้เมื่อเขาใช้วิถีแห่งมายา แม้ว่าจินตนาการของเขาจะเป็นจริงได้เพราะวิถี โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงกลับมาในความเป็นจริงได้!
พูดได้เลยว่าฉันเจอคลื่นสีดำที่นั่น มันไม่ใช่ภาพมายา ซูผิงจำสิ่งที่พวกเขาพูดและระมัดระวัง
“เมื่อเราเข้าไปข้างใน ฉันรู้สึกว่าความคิดที่ฉันทิ้งไว้ในหัวของเธอขาดหายไป ซึ่งหมายความว่าเธอตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง โชคร้ายที่ความคิดของฉันไม่สามารถนำสติของเธอกลับมาได้ หมายความว่ามันจะต้องถูกลบโดยอันตรายที่เธอเจอ”
ผู้ดูแลถานดูสงบ แต่จริงๆ แล้วเธอตกใจมาก
หัวใจของเธอรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ในสายตาของเธออัจฉริยะอันดับต้นๆ ที่เธอต้องดูแล—ศิษย์ของลอร์ดสูงสุด คนสำคัญแบบนี้—น่าจะตายไปแล้ว!
หากความคิดของเธอล้มเหลวในการปกป้องเขา แสดงว่าอันตรายนั้นต้องสูงจนแม้แต่เจ้าดวงดาวชั้นนำก็ไม่น่ารอด ไม่ต้องพูดถึงว่าซูผิงอยู่แค่ระดับดวงดาว
แม้ว่าซูผิงจะมีความสามารถและโดนเด่นมากกว่าคนรอบข้าง แต่เขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน?
หลังจากที่เธอเอาร่างของซูผิงออกมา เธอพบว่าจิตสำนึกของเขาไม่ได้อยู่กับตัว ดูเหมือนว่าจะติดอยู่ในทะเลมายา หรือไม่ก็ถูกลบทิ้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าทิ้งเขาง่ายๆ พวกเขารออยู่กับร่างของซูผิง ถ้าจิตสำนึกของซูผิงไม่กลับมาก่อนประตูปิด เขาคงตายไปแล้วจริงๆ
ซูผิงจะกลายร่างไร้วิญญาณ มีเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
จากนั้น ตระกูลโหลวหลานจะต้องแบกรับความโกรธของสภาวะเทพอมตะ
ตระกูลจะไม่ถูกลงโทษ ท้ายที่สุดการตายของซูผิงเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังจะต้องประสบความสูญเสียบางอย่าง ผู้ดูแลถานซึ่งรับผิดชอบความปลอดภัยของเขา อาจต้องรับผิด
“จิตสำนึกของเธออยู่ที่นั่นครึ่งเดือน…” ผู้ดูแลถานเหลือบมองซูผิงและกล่าวว่า “คลื่นทมิฬยังไม่ลดลง เราวางแผนที่จะหาเธอเมื่อคลื่นลดลง แต่แล้วเธอก็กลับมาด้วยตัวเองอย่างน่าประหลาดใจ”
สภาวะเทพดวงดาวคนอื่น ๆ ของตระกูลโหลวหลานก็พยักหน้าเช่นกันขณะที่มองซูผิงแปลก ๆ
เขาเป็นเพียงนักรบระดับดวงดาว แต่ถึงกระนั้นเขาก็สามารถเอาชีวิตรอดในทะเลมายาเป็นเวลาครึ่งเดือนในขณะที่คลื่นทมิฬอาละวาด มันเกือบจะเป็นปาฏิหาริย์!
เห็นได้ชัดว่าซูผิงต้องมีความสำคัญมากต่อลอร์ดสูงสุด
ในความเห็นของพวกเขา ซูผิงคงไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีสมบัติปกป้องที่ลอร์ดสูงสุดมอบให้เขา ท้ายที่สุด แม้แต่สภาวะเทพดวงดาวก็ยังต้องหนีจากคลื่นทมิฬ และแทบจะเอาชีวิตรอดจากพวกมันไม่ได้
“ครึ่งเดือน…”
ซูผิงไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น เขารู้สึกว่าน่าจะใช้เวลาเพียงวันเดียวในการทำความเข้าใจกฎแห่งมายาและล่าวิญญาณ
ฉันอาจจะทุ่มเทเกินไปในการพยายามรับรู้กฎแห่งมายา ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย เขาลุกขึ้นและกางแขนออก รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจในทันที
ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบแหลมราวกับเครื่องจักร เขาสามารถตรวจจับทุกเซลล์ในร่างกายของเขา และความสามารถในการเคลื่อนไหวของเขาก็สูงกว่าปกติถึงสิบเท่า
นอกจากนี้ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวอย่างผู้ดูแลถานก็ยังดูชัดเจนขึ้นในสายตาของเขา เขาสามารถมองเห็นรัศมีสีทองของพวกเขาได้
ดูเหมือนจะเป็นพลังงานพิเศษบางอย่าง แต่มันอ่อนมาก
จิตสำนึกของฉันแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ… ซูผิงดูสงบ แต่เขารู้สึกมีความสุขมาก เขาเกือบถูกฆ่าตายในการเดินทางครั้งนี้ แต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นยิ่งใหญ่มาก
ไม่เพียงแต่จิตสำนึกของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขายังเข้าใจวิถีแห่งมายาและพบแนวทางสำหรับโลกใบที่สองของเขา
ซูผิงรู้สึกงงเมื่อเขานึกว่าเขาออกมาได้ยังไง
พวกเขาเรียกสิ่งนั้นว่าคลื่นทมิฬ ภาพมายาที่ฉันพบเรียกกันว่าแบบนั้น… เป็นเพราะจิตสำนึกของฉันอนุมานจากข้อมูลของตระกูลโหลวหลานว่ามันคือคลื่นทมิฬหรือเปล่า? ภาพมายาผลักฉันออกมา จิตสำนึกของฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องไปทางไหนหากฉันไม่รู้มาก่อน?
เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของซูผิง โหลวหลานเฟิงจึงถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”
ซูผิงเหลือบมองเขาและส่ายหัว ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้
ท้ายที่สุดแล้วมันเกี่ยวข้องกับจิตสำนึกของเขา นอกจากนี้ทะเลมายานั้นแปลกเกินไป บางสิ่งไม่สามารถอธิบายได้ ข้อมูลที่เป็นความลับของโหลวหลานไม่มีคำอธิบายโดยละเอียด
“ต้องมีคนจำนวนมากเข้ามาก่อนเรา พวกเขากลับมาแล้วหรือ?” ซูผิงถาม
ผู้ดูแลถานมองไปไกลและพูดว่า “บางคนกลับมา แต่บางคนก็หมดสติไปที่นั่น เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นกับเธอ พวกเขาอาจจะไม่สามารถกลับมาได้หากไม่มีขั้นตอนพิเศษ”
ซูผิงมองไปไกล มีเพียงคนที่หมดสติอยู่รอบประตูเท่านั้น เขาเป็นหนึ่งในคนที่นอนใกล้ประตูมากที่สุด ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวตนของเขา
สภาวะเทพดวงดาวที่ติดตามพวกเขาแสดงความประหลาดใจและยินดีอย่างเปิดเผยเมื่อซูผิงลุกขึ้นนั่ง
หวืด!
สภาวะเทพดวงดาวอีกคนหนึ่งบินมาอย่างรวดเร็ว แต่ถูกโหลวหลานเฟิงและผู้ดูแลถานขวางไว้
“ซูผิง คุณซู คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในทะเลมายา?” ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวค่อนข้างตื่นเต้น การกลับมาของซูผิงเป็นสัญญาณว่าคนอื่นๆ ก็สามารถกลับมาได้เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าสภาวะเทพดวงดาวจำนวนมากกำลังมองมาที่เขา เขาพูดอย่างสงบว่า “คลื่นทมิฬเพิ่มขึ้นตอนที่ผมจากมา ต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะผมออกมาเพราะแรงผลักของคลื่น”
“เกิดอะไรขึ้นกับคลื่นทมิฬ?”
ยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวตกตะลึงครู่หนึ่ง
สภาวะเทพดวงดาวอื่น ๆ ก็หน้าดำเช่นกัน คลื่นทมิฬนั้นอันตรายพออยู่แล้ว มันจะอันตรายกว่าเดิมถ้าเกิดปัญหาขึ้น
การสำรวจภายในทะเลมายาจนถึงขณะนี้ได้ถูกปิดกั้นโดยคลื่นทมิฬ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นเมื่อมันปะทุ วิญญาณที่ดุร้ายที่สุดก็อาจปรากฏขึ้นเช่นกัน
มีวิญญาณตั้งแต่ระดับ S ถึงระดับ SSS ในคลื่นทมิฬ แม้แต่สภาวะเทพดวงดาวก็สามารถถึงจุดจบได้ เนื่องจากไม่มีอาณาจักรใดสามารถต้านทานพลังของวิญญาณระดับ SSS ได้!
ทันใดนั้นก็มีคนพูดด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด “ฮึ่ม ตอนนั้นเธอทำได้ยังไง?”
คนที่พูดเป็นยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวเช่นกัน เธอคือหญิงชราในชุดเกราะสีทองและกระโปรงที่เผยให้เห็นขายาวตรง เธอสวยจริงๆ แต่ดูน่ากลัวด้วย มีเจ้าดวงดาวนอนอยู่ข้างๆเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหนึ่งในอันดับราชาเทพของเขตดาวไหนสักแห่ง
เมื่อเขาได้ยินผู้หญิงคนนั้นถามเขา ซูผิงก็เลิกคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อที่จะกลับมา ทำไมคุณถึงสนใจว่าผมกลับมาได้ยังไง?”
”เธอ!”
เธอไม่คิดคว่าซูผิงจะกล้าต่อต้านเธอในที่สาธารณะ ยังไงซะเธอก็เป็นสภาวะเทพดวงดาวและซูผิงเป็นแค่นักรบระดับดวงดาว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของเทพอมตะก็ตาม เธอสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
โหลวหลานเฟิงก้าวขึ้นมาและพูดอย่างสงบว่า “คุณเหม่ยกุ่ย คุณซูเป็นแขกของตระกูลผมและเป็นศิษย์ของลอร์ดสูงสุดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่จะมีสมบัติมากมายที่ทำให้เขาปลอดภัย มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะกลับมา… ผมหวังว่าคุณจะไม่เอาความโชคร้ายของคนอื่นมาลงกับเขา”
สภาวะเทพดวงดาวตระกูลโหลวหลานทุกคนจ้องเธอเงียบๆ แม้จะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะปกป้องซูผิงหากเธอโจมตี
เหม่ยกุ่ยหน้าดำ เธอต้องระงับความโกรธอย่างยากลำบาก เธอมองซูผิงที่อยู่ท่ามกลางยอดฝีมือเหล่านั้นและทำได้เพียงขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเท่านั้น “ศิษย์ของลอร์ดสูงสุดหยิ่งทะนงจริงๆ เขาต้องไม่เคารพสภาวะเทพดวงดาวคนอื่นอย่างแน่นอนเมื่อเขามาถึงอาณาจักรของเรา!”
ซูผิงหรี่ตาลง ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะปลุกระดมผู้คนให้ต่อต้านเขา
ก่อนที่เขาจะตอบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไหนสักแห่งในอวกาศ “แม้ว่าเขาจะดูหมิ่นคนแบบเธอ แต่แล้วยังไง? เธอเป็นแค่ผู้บ่มเพาะสภาวะเทพดวงดาวขั้นสาม สมควรได้รับความเคารพหรอ?
หลังจากพูดคำเหล่านั้น ลำแสงอันเจิดจ้าก็มาจากจักรวาลอันมืดมิดและหยุดอยู่ข้างๆ ซูผิง เมื่อแสงเจิดจรัสหายไป บุคคลผู้สง่างามก็ปรากฏตัว
ซูผิงกล่าวด้วยความยินดี “ศิษย์พี่โหยวหลง!”
คนที่มาถึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโหยวหลง ศิษย์พี่เจ็ดของเขา!
โหยวหลงหันกลับมาและพูดกับซูผิงพร้อมกับหัวเราะ “อาจารย์ทำนายว่านายจะเจอปัญหาในทะเลมายา เขาจึงส่งฉันมาช่วยชีวิตนาย ฉันไม่คิดว่านายจะกลับมาด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ สมแล้วที่เป็นศิษย์น้องของฉัน!”
ซูผิงรู้สึกเข้าใจและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ผมคงไม่รอดถ้าไม่มีคำอวยพรของศิษย์พี่และอาจารย์”
โหยวหลงมองซูผิงและยิ้ม “ฉันไม่มั่นใจอย่างเต็มที่ตอนที่ผู้หยานบอกว่านายสามารถท้าทายสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพได้ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำไป นายแซงหน้าศิษย์พี่ไปแล้ว อีกไม่นานนายคงเป็นอันดับหนึ่งในเขตดาวเรา”
ซูผิงกระแอมและพูดว่า “ศิษย์พี่ เรามาทำตัวธรรมดาก่อนหน่อยดีกว่า…”
พวกเขาไม่ได้พูดแบบกระซิบ เสียงของโหยวหลงค่อนข้างดัง คำพูดที่กล้าหาญของเขาทำให้สภาวะเทพดวงดาวหน้าเปลี่ยนสี พวกเขามองที่ซูผิงด้วยความตกใจ
เขาน่ากลัวขนาดนี้เชียวตอนเป็นแค่นักรบสภาวะดวงดาว?
เป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับดวงดาวที่จะท้าทายเจ้าดวงดาว อัจฉริยะเท่านั้นถึงสามารถทำได้ ซูผิงจะไม่เก่งที่สุดในอันดับราชาเทพเมื่อเขากลายเป็นเจ้าดวงดาวหรอกหรอ?
ห่างออกไป—เหม่ยกุ่ยหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าเหตุใดตระกูลโหลวหลานจึงเสนอสิทธิพิเศษดังกล่าวให้กับซูผิงแม้ว่าเขาจะอยู่แค่ระดับดวงดาว นั่นก็เพราะศักยภาพของอัจฉริยะนั้นเกินความคาดหมายของเธอ การย่อโลกใบเล็กตั้งแต่สภาวะชะตากรรมและขึ้นสู่สิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพขณะที่อยู่ในระดับดวงดาวล้วนเป็นปาฏิหาริย์!
แม้แต่เทพอมตะบางคนก็ยังไม่สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ตอนที่พวกเขายังเด็ก!
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เธอทำ!
“เธอมาจากเขตดาวไหน? กล้ามาโทษว่าศิษย์น้องของฉัน ฉันจะให้โอกาสเธอขอโทษ ถ้าเธอขอโทษฉันก็จะให้อภัย”
โหยวหลงหันไปมอง รอยยิ้มที่เขามีตอนคุยกับซูผิงหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาจ้องเหม่ยกุ่ยด้วยท่าทางเหมือนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
��