ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าเซี่ย เมืองเซี่ยยวี่ย่อมเจริญรุ่งเรืองและเนืองแน่นไปด้วยผู้คนพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาถึงของรัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่ก็ทำให้เมืองเซี่ยยวี่มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
เป็นที่รู้กันดีว่าอาณจักรเสินหวู่นั้นทรงพลังที่สุดในบรรดาอาณาจักรบริวารทั้งหกและยังเป็นเพียงอาณาจักรเดียวที่มียอดฝีมือขอบเขตจินกังถึงสองคน
จวบจนบัดนี้ ประชาชนของอาณาจักรต้าเซี่ยก็ยังคงอยู่ในความหวาดผวา นับตั้งแต่ที่เจียงเปี๋ยหลีสังหารทหารนับแสนนายของพวกเขาที่หุบเขาทลายวิญญาณ
ไม่มีใครรู้ว่าอาณาจักรเสินหวู่จะกรีธาทัพมากวาดล้างอาณาจักรต้าเซี่ยและจับพวกเขาเป็นเชลยเมื่อใด
มีเพียงการแต่งงานระหว่างเซี่ยอู๋หุ่ยกับซูรั่วเสวี่ยเท่านั้นที่จะทำให้ชาวต้าเซี่ยสงบใจลงได้บ้าง แม้ว่าจะมีหลายคนที่ไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะยกเทพธิดาผู้เลอโฉมให้กับฝ่ายที่เคยเป็นศัตรู แต่เมื่อคิดได้ว่าการแต่งงานในครั้งนี้เป็นทางรอดเพียงทางเดียวของอาณาจักร พวกเขาก็ต้องจำใจระงับความเกลียดชังลงไป
และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชาวต้าเซี่ยจึงให้การต้อนรับเซี่ยอู๋หุ่ยและบรรดาข้าราชบริพารของอาณาจักรเสินหวู่เป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่าเซี่ยอู๋หุ่ยจะถูกขัดขวางกลางทางและหลบหนีมายังเมืองเซี่ยยวี่ราวกับสุนัขจนตรอก แต่มันก็หาได้สั่นคลอนต่อความเทิดทูลที่ชาวต้าเซี่ยมีต่อเขาไม่
เป็นเพราะอะไรนะหรือ? …มันก็เป็นเพราะว่าเขาคือว่าที่ราชาแห่งอาณาจักรเสินหวู่ในอนาคตยังไงล่ะ!
เมื่อเซี่ยอู๋หุ่ยเดินทางมาถึงพระราชวังหลวง ขุนนางน้อยใหญ่แห่งอาณาจักรต้าเซี่ยก็ดูเหมือนว่าจะหลงลืมความขมขื่นในอดีตไปจนหมดสิ้น พวกเขาต่างก็แบกหน้าออกมาและประจบประแจงเขาอย่างไม่หยุดหย่อนเลยทีเดียว
ทางด้านของราชาซูตี๋หวัง เขาถึงกับออกราชโองการให้จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับเซี่ยอู๋หุ่ยในพระราชวังหลวงในอีกสามวันข้างหน้า
นอกจากนี้พวกเขายังประกาศว่าพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์หญิงและองค์ชายของทั้งสองอาณาจักร จะถูกจัดขึ้นในวันที่หกเพื่อให้อาณาจักรทั้งสองได้เกี่ยวดองกันอย่างสมบูรณ์!
ซูตี๋กั๋วนำทัพมาถึงที่ชานเมืองตามมาด้วยกองทัพของค่ายเสินหวู่ พวกเขามิได้เคลื่อนขบวนเข้าไปในเมืองแต่เลือกที่จะตั้งค่ายอยู่ด้านนอก ในเวลานี้ขวัญกำลังใจของทหารทั้งหมดตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเนื่องจากการบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียวของเจียงอี้
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยอู๋หุ่ยที่ว่าน่าไม่อายแล้ว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับไท่สื่อเจินและบรรดาขุนนางที่มีประสบการณ์ช่ำชอง พวกเขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากทางฝั่งของอาณาจักรต้าเซี่ยและร่วมดื่มกินในงานเลี้ยงต้อนรับอย่างสบายอกสบายใจ
ลักษณะการพูดคุยของคนเหล่านี้ก็ยังคงส่อให้เห็นถึงการวางอำนาจและการพูดข่มเล็กน้อยราวกับว่าหลงลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนไปหมดสิ้นแล้ว
“ยังหาตัวไอ้สารเลวเจียงอี้ไม่พบอีกรึ?”
ในคืนก่อนงานเลี้ยงใหญ่ หลังจากทีเซี่ยอู๋หุ่ยเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงต้อนรับ เขาก็เรียกแม่ทัพหลวงจากค่ายเสินหวู่เข้าพบทันที
“ยังไม่มีข่าวคราวเลยพะยะค่ะ…”
แม่ทัพผู้นั้นยิ้มด้วยความอึดอัดใจก่อนที่จะกล่าวต่อ
“เกรงว่าป่านนี้เจียงอี้คงหนีเข้าไปในหุบเขาสามหมื่นลี้หรือไม่ก็หลบหนีออกไปยังอาณาจักรอื่นแล้ว… แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อื่นอยู่ นั่นก็คือถูกใครบางคนช่วยเหลือและให้แหล่งกบดานพะยะค่ะ!”
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
เซี่ยอู๋หุ่ยปาถ้วยน้ำชาลงพื้นด้วยความเดือดดาล แม้ว่าตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ภายนอกของเขาจะยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วภายในใจของเขากำลังร้อนรนและโกรธแค้นมากแค่ไหน
หากดูจากเปลือกนอก ขุนนางของอาณาจักรต้าเซี่ยอาจจะดูเหมือนว่าประจบสอพลอและปฏิบัติกับเซี่ยอู๋หุ่ยด้วยความเคารพสูงสุด แต่มีหรือคนอย่างเขาจะมองไม่เห็นร่องรอยความเย้ยหยันและสมเพชในดวงตาของคนเหล่านั้น?
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดหาใช่เรื่องนั้นไม่!
จะเกิดอะไรขึ้นหากเจียงอี้โผล่มาและลอบโจมตีอีกครั้งในตอนที่พวกเขาเดินทางกลับอาณาจักรเสินหวู่พร้อมกับซูรั่วเสวี่ย
เขาจะขอให้เว่ยกงกงพาหนีอีกครั้งด้วยสภาพที่ไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่อันยิ่งใหญ่ต้องมาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและน่าสังเวชเช่นนี้?!
ดีเท่าไหร่แล้วที่ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาเซี่ยอู๋หุ่ยไม่อาละวาดเพราะความคับแค้นใจ
“หาต่อไป! ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาตัวมันให้เจอให้ได้!”
เซี่ยอู๋หุ่ยเปล่งเสียงคำราม แต่ในขณะที่แม่ทัพผู้นั้นกำลังเตรียมตัวจะจากไป จู่ๆเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และหันกลับมารายงานอีกครั้ง
“จริงสิฝ่าบาท มีข่าวลือว่ามีใครบางคนถูกจักรวรรดิมังกรเวหาแต่งตั้งให้เป็นทูตตรวจการและในตอนนี้ คนผู้นั้นก็กำลังมุ่งหน้ามายังเมืองเซี่ยยวี่เพื่อแสดงความยินดีกับฝ่าบาทและองค์หญิงซูรั่วเสวี่ยพะยะค่ะ”
“ทูตตรวจการ? ประเสริฐยิ่งนัก!”
……
ในพระราชวังหลวง ผลไม้และอาหารเลิศรสถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะทองคำ ในขณะเดียวกันบรรดานักปราชญ์ ขุนนางและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างก็เริ่มทยอยมากันอย่างต่อเนื่องพร้อมกับขบวนของขวัญที่ทอดยาวออกไปไกล
“องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่เสด็จมาถึงแล้ว!”
เซี่ยอู๋หุ่ยเดินเข้ามาในพระราชวังด้วยท่าทีอันสง่าผ่าเผย ตามมาด้วยเว่ยกงกง, แม่ทัพไท่สื่อเจินและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่แปดทั้งสี่คน
“ฝ่าบาท…”
“ช่างสง่างามยิ่งนักพะยะค่ะ…”
เสียงสรรเสริญดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ภายในพริบตาเซี่ยอู๋หุ่ยก็ถูกรายล้อมไปด้วยขุนนางที่พร้อมจะเลียแข้งเลียขาเขา
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพยักหน้าและยิ้มรับ
“ทูตพิเศษแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน,องค์หญิงหยุนเฟยเสด็จมาถึงแล้ว!”
เมื่อขันทีขานชื่อผู้ที่มาใหม่ ฝูงชนที่อยู่ในงานต่างก็แสดงความประหลาดใจออกมา อาณาจักรเทียนเซวี่ยนถึงกับส่งองค์หญิงผู้หนึ่งมา อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดเมื่อเร็วๆนี้อีกด้วย?
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนหันไปมองทางประตูวังและจับจ้องไปยังร่างอันเย้ายวนที่สวมชุดลายวิหคเพลิง สมแล้วที่องค์หญิงหยุนเฟยถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสาวงามล่มเมือง แม้แต่เซี่ยอู๋หุ่ยก็ยังมองนางไม่วางตาเลยทีเดียว
หยุนเฟยยิ้มออกมาเล็กน้อย หลังจากที่มอบของขวัญให้กับเซี่ยอู๋หุ่ยและทักทายพอเป็นพิธี นางก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างสงบ
“ท่านแม่ทัพใหญ่เดินทางมาถึงแล้ว…”
“ท่านแม่ทัพเกียรติภูมิพยัคฆ์เดินทางมาถึงแล้ว…”
เมื่อเวลาผ่านไป นามของผู้ยิ่งใหญ่มากมายก็ถูกขานอย่างต่อเนื่อง ในเวลานี้ห้องโถงของพระราชวังเต็มไปด้วยแขกชั้นสูงมากมาย
เซี่ยอู๋หุ่ยนั่งอยู่ที่แถวแรกทางซ้ายและมองไปยังเบื้องหน้าเพื่อรอคอยการมาถึงของราชาซูตี๋หวังและซูรั่วเสวี่ยอย่างใจจดใจจ่อ
“องค์ราชาและองค์หญิงรั่วเสวี่ยเสด็จมาถึงแล้ว!”
หลังจากที่คำประกาศถูกขานออกไป ผู้คนทั้งหมดในงานก็หันไปมองยังทิศทางเดียวกัน พวกเขามองเห็นราชาซูตี๋หวังที่จับมือหญิงสาวผู้หนึ่งขณะที่กำลังเดินเข้ามา
ในเวลานี้ชายหนุ่มจำนวนมากที่อยู่ภายในงานถึงกับลืมหายใจและตกตะลึงกับความงามของซูรั่วเสวี่ยจนเกือบจะไม่สามารถรักษาท่าทีของชนชั้นสูงไว้ได้แล้ว
“ท่านทูตตรวจการเจียง… มาถึงแล้ว!”
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เสียงประกาศอันไม่พึงประสงค์ก็ดังแทรกขึ้นมา แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือเสียงนั้นมันมาจากข้างนอก และผู้ที่ประกาศออกมาก็คือผู้บัญชาการเมืองหลิงเชียงซึ่งถูกส่งมาประจำการโดยจักรวรรดิมังกรเวหานั่นเอง!
ควับ! ควับ! ควับ!
ขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นต่างก็หันไปมองด้วยความโกรธ เป็นเพียงทูตตรวจการที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้หนึ่งแต่กล้าที่จะมาหลังราชา? นี่เขารนหาที่ตายหรือยังไง?
เซี่ยอู๋หุ่ย, หยุนเฟยและทูตพิเศษจากอาณาจักรอื่นๆต่างก็ตกใจไม่น้อย แต่หลังจากที่มองเห็นร่างของคนผู้นั้น ดวงตาของหยุนเฟยก็เปล่งประกายความยินดีในขณะที่เซี่ยอู๋หุ่ยกำหมัดแน่นพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป
คนผู้นี้เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดขุนนางสีดำที่มีตะเข็บสีแดงและยังถูกตกแต่งอย่างหรูหรา พร้อมกับสิ่งประดิษฐ์ประเภทดาบที่มีสีทองซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอว
ข้างกายของเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวสองคนที่ช่วยเสริมสง่าราศีให้เขาอีกขั้น
ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาในห้องโถงโดยปราศจากความเกรงใจและกวาดมองทุกคนด้วยความเย่อหยิ่ง
“ทำไมเมื่อเห็นทูตตรวจการผู้นี้แล้วยังไม่รีบคารวะอีก? คิดจะก่อกบฏหรือยังไง?!”
“เขา…”
แต่ทันทีที่ซูรั่วเสวี่ยเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น สีหน้าของนางที่เดิมทีเย็นชาราวกับน้ำแข็งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จู่ๆรอยยิ้มที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นมานานก็เผยให้เห็นบนใบหน้าของนางอีกครั้ง!