หลังจากเจียงเปี๋ยหลีกล่าวจบ เขามองเจียงอี้อีกครั้ง… แต่รู้สึกค่อนข้างผิดหวังเมื่อเขาไม่เห็นอารมณ์ใดๆของบุตรชาย มันสงบและเฉยเมยราวกับว่าเขากำลังมองคนแปลกหน้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจียงอี้ก็ยังคงนิ่งเงียบทำให้เจียงเปี๋ยหลีเริ่มเผยความอึดอัดใจในขณะที่เบนสายตาของเขากลับไป
การแสดงออกเช่นนี้ไม่เคยปรากฏต่อหน้าของเขา แม้ว่าจะผ่านสถานการณ์ทุกประเภทที่เขาเผชิญ มีสถานการณ์แบบไหนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน? แม้ในขณะที่เขาเผชิญหน้ากับกองทัพที่มีจำนวนหลายล้าน การแสดงออกของเขายังคงเหมือนเดิม แต่ในตอนนี้ เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เย็นชาของเจียงอี้ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ เขาหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอีกครั้งว่า “เจียงอี้ เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
ในที่สุดเจียงอี้ก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง ขอบปากของเขาโค้งขึ้นในขณะที่เขายิ้ม เจียงเปี๋ยหลีจ้องมองอย่างว่างเปล่า และทำให้เจียงเปี๋ยหลีเกิดการเปลี่ยนแปลงอารมณ์หลายครั้ง ก่อนที่เจียงอี้จะพูดว่า “ที่ท่านบอกข้าทั้งหมดนี้ … ต้องการอะไรจากข้าหรือ? “
“ฮะ!”
เจียงเปี๋ยหลีจ้องมองอย่างว่างเปล่าขณะที่ปากของเขากระตุกเล็กน้อย หากเจียงเหรินถูอยู่ที่นี่เขาจะรู้ว่าเจียงเปี๋ยหลีกำลังจะโกรธ หากเป็นคนอื่น เจียงเปี๋ยหลีคงจะฟาดพวกเขาแล้ว แต่นี่คือลูกชายของเขาที่เขารู้สึกผิดด้วยมาตลอด ซึ่งเป็นคนที่เขาไม่กล้าตบตีอย่างแท้จริง
เจียงอี้เงียบไปอีกครั้ง ทำให้เจียงปี๋ยหลีเกือบจะอาเจียนเลือดออกมาด้วยความโกรธและต้องการที่จะหันหลังกลับ ครู่ต่อมาเจียงอี้พูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสอย่างที่สุด “ข้าจะถามท่านสักครั้ง ข้ามีสามคำถามที่จะถาม หากไม่สามารถตอบมันได้ ท่านจงไปให้พ้นสายตาข้าตลอดชีวิต“
“ได้ จงถามมา!” เจียงเปี๋ยหลีพยักหน้า เขากลัวว่าเจียงอี้ไม่ต้องการพูดอะไร ซึ่งตราบใดที่เขาพูด ทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้น
เจียงอี้ถามอย่างเฉยเมย “คำถามแรก ท่านติดหนี้บุญคุณใดๆนางหรือไม่? คำถามที่สองท่านหันหลังให้นางหรือไม่? คำถามที่สาม ท่านเคยลองตามหานางหลังจากที่นางจากไปหลายปีบ้างไหม?”
“…”
คำถามของเจียงอี้นั้นง่าย และทั้งหมดนั้นตอบเพียงว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่เจียงเปี๋ยหลีไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไร
เขาพึมพำสักครู่ก่อนตอบ “เจียงอี้ เจ้าอาจไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างชัดเจน สิ่งต่างๆมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด!”
เจียงอี้โบกมือและขัดจังหวะเจียงเปี๋ยหลีอย่างหยาบคาย “ข้าไม่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในอดีต ท่านแค่ต้องตอบคำถามทั้งสามข้อนี้!”
เจียงเปี๋ยหลีปิดปากของเขาอย่างอับอาย และพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้าเป็นหนี้บุญคุณนาง ข้าหันหลังให้นางและข้าก็ไม่ได้ไปตามหานาง แต่…”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ก่อนที่เจียงเปี๋ยหลีจะสามารถอธิบายต่อได้ เจียงอี้ก็เงยหน้าขึ้นและหัวเราะออกมาเสียงดังและขัดจังหวะเขาอีกครั้ง ใบหน้าของเจียงอี้เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขายกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่เจียงเปี๋ยหลีแล้วพูดด้วยความโกรธ
“เจียงเปี๋ยหลี ไม่อายบ้างหรือ? เมื่อท่านติดหนี้บุญคุณนาง ทำไมถึงหันหลังให้นาง? เมื่อท่านเปลี่ยนชื่อเมืองกองทัพทหารตะวันตกเป็นเมืองเจียงอี ทำไมถึงไม่ไปตามหานางในหลายปีที่ผ่านมา? เมื่อท่านไม่ได้เผยตัวออกมานานนับปีแล้ว จะมาเผนตัวอะไรเอาตอนนี้? ข้าไม่มีอะไรที่อยากจะพูดอีกต่อไป ไปคุกเข่าหน้าหลุมฝังศพของนางสามวันสามคืน จากนั้นข้าจะให้อภัยท่าน! และ … แม้ว่าข้าจะให้อภัยท่าน มันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมรับท่าน! ข้าจะพูดในสิ่งที่ข้าเคยพูดมาก่อน ข้าไม่มีพ่อ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้และในอนาคต!”
เสร็จสิ้นคำพูดของเจียงอี้ เขาเดินหันหลังออกไปและทิ้งเจียงเปี๋ยหลีผู้ทรงเกียรติไว้ข้างหลัง
เจียงเปี๋ยหลี ผู้ซึ่งเป็นนายเหนือหัวของกองทัพทหารตะวันตก เป็นนักสู้อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินหวู่และเป็นหนึ่งในสิบนักสู้ของทวีปถูกตำหนิว่าไร้ยางอายในวันนี้? เขายังถูกขอให้ไปคุกเข่าเป็นเวลาสามวันสามคืน? หากข่าวนี้แพร่ออกไปก็คงเกิดความโกลาหลทั่วพิภพ
แต่ก็น่าประหลาดใจที่เจียงเปี๋ยหลีไม่โกรธแค้น เขาแค่กระพริบตาและมองไปที่เจียงอี้ที่หายลับไปไกลแล้ว เขาถอนหายใจยาวออกมาและมองไปที่ท้องฟ้า เขากล่าวอย่างคลุมเครือว่า “อีเพียวเพียว อารมณ์ของลูกชายเจ้าก็เหมือนกับเจ้า ดูเหมือนว่าข้าพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว นี่เจ้ากำลังใช้เขาเพื่อแก้แค้นข้าอยู่หรือ? ข้าทำให้เจ้าผิดหวัง แต่…หากเจ้าไม่ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าคงจะไม่หันหลังให้เจ้า!”
…
หลังจากที่เจียงอี้ได้ปลดปล่อยความโกรธที่ถูกสั่งสมไว้ในใจ เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในตอนนี้ เขานั่งอยู่ในศาลาที่สวนด้านนอกขณะที่นิ่งเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ตึก ตึก ตึก!”
หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้ากองทหารคนหนึ่งก็เข้ามาโค้งคำนับ “ท่านใต้เท้า ได้เวลาแล้ว โปรดตามข้าไปที่โถงอำไพแล้วรอสักครู่นะขอรับ“
“โอ้!”
เจียงอี้ดึงความคิดของเขากลับมาและจัดเสื้อคลุมของเขา เขาลุกขึ้นอย่างแข็งขันและติดตามกองทหารไปยังพระราชวังหลวงที่ห่างไกล
หลังจากเดินไปเป็นเวลาสามสิบนาที เจียงอี้ก็มาถึงพระราชวังหลวงและคร่ำครวญเมื่อเขาเห็นกองทหารในเครื่องแบบซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมด
กองทัพของอาณาจักรทั้งหกนั้นล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและทรงพลัง ถ้าจักรวรรดิมังกรเวหาต้องการฟื้นฟูการปกครองของพวกเขามันจะเป็นสิ่งที่ยาวนานและเป็นภาระ
เขาได้มาถึงเสียที เจียงี้อยู่ปลายทางด้านนอก เขาเห็นเสาหลายต้นที่ทำด้วยทองคำม่วงและบุคคลหลายคนอยู่ในห้องโถงอันโอ่อ่านี้
“เบิกตัวเจียงอี้!”
หลังจากรอหนึ่งชั่วโมง เสียงแหลมๆดังมาจากข้างในขณะที่ขันทีที่ประตูทางเข้าก็ตะโกนออกมาเช่นกัน “เบิกตัวเจียงอี้เข้าเฝ้า!”
เจียงอี้ยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวขาออกไปในขณะที่เขาเดินเข้ามา และมองเห็นทิวทัศน์ภายในนั้นอย่างชัดเจน สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่มากซึ่งมีรัศมีประมาณหกสิบเมตร ภายในนั้นมีผู้คนมากมายที่ยืนเรียงกันเป็นสองแถว แต่ละแถวมีคนประมาณหนึ่งร้อยคน ด้านซ้ายเป็นขุนนางทั้งหมดในขณะที่เหล่าแม่ทัพสวมเกราะติดอาวุธยืนอยู่ทางด้านขวา
เจียงอี้ไม่กล้าที่จะมองไปรอบๆและเดินตรงไปข้างหน้าขณะที่เดินไปตามทางพรมแดงเข้ม เขาจับตามองคนที่กำลังนั่งบนบัลลังก์ของราชาบนแท่นทองคำม่วง
ราชาแห่งอาณาจักรเสินหวู่ เซี่ยถิงเวย!
เขาไม่ใช่ผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถที่ดื่มด่ำกับสุราอย่างที่เจียงอี้คิด เซี่ยถิงเวยมีรูปร่างที่กำยำ ใบหน้าที่เด็ดขาดและดวงตาเหมือนเสือ เขาเฉิดฉายด้วยความแข็งแกร่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้โกรธอยู่และมีกลิ่นอายเหมือนกันกับเจียงเปี๋ยหลี เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาโดดเด่นและมีลักษณะของราชาที่มีความทะเยอทะยานและโหดเหี้ยม
นอกเหนือจากสถานะที่เพิ่มขึ้นแล้ว การแบกรับภาระก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย!
เซี่ยถิงเวยมีความแข็งแกร่งของราชาอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกต้องก้มหัวคำนับเขา
“กระหม่อม เจียงอี้ ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
เจียงอี้เดินไปที่ตรงกลาง สะบัดแขนเสื้อแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งก่อนที่จะคำนับเสียงดัง
มารยาทนี้นั้นเห็นได้ชัดว่ามันไม่ถูกต้อง เขาไม่มีสถานะอันดับใดๆอย่างเป็นทางการและตามกฏหมาย เขาต้องคุกเข่ากราบไหว้สามครั้งและหมอบเก้าครั้ง เฉียนว่านก้วนอธิบายมารยาทนี้ให้เขาฟัง แต่เขาก็ยังคงดื้อรั้นและใช้มารยาททั่วไปกับราชาของเขา นี่เป็นเพราะสมุนไพรสยบวิญญาณ มิฉะนั้นเขาคงไม่คุกเข่าแม้แต่ข้างเดียว
“หืม?”
ตามที่คาดไว้ สีหน้าของหลายๆคนเปลี่ยนไปทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าขุนนางผู้ซึ่งแสดงออกอย่างไม่พอใจ หนึ่งในนั้นก้าวออกมาและตำหนิว่า “สามหาว! หากเจ้ากำลังคารวะราชาของเรา ทำไมเจ้าจึงไม่คุกเข่าทั้งสองและก้มกราบคำนับ นี่แสดงถึงการดูหมิ่นองค์ราชาและจะต้องถูกสำเร็จโทษตามกฎหมาย“
“ฮึ่ม!”
ชายสูงอายุที่มีผมขาวเดินออกไปแล้วก็ตำหนิเช่นกัน “มีประโยชน์อะไรที่จะปล่อยคนอวดดีเช่นนี้ไว้ ใครก็ได้ นำตัวมันไปประหาร“
พระราชาเซี่ยถิงเวยยังคงไม่แสดงความรู้สึกและไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ ขันทีที่มีผมสีขาวซึ่งยืนอยู่ข้างเขาขมวดคิ้วขณะที่ทหารหลวงสองนายเดินเข้ามาทันทีและกำลังจะลากเจียงอี้ออกไปประหาร
“ช้าก่อน!”
ในแถวแรกทางด้านขวา แม่ทัพผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาและโค้งคำนับต่อเซี่ยถิงเวย “เจียงอี้มีพื้นเพที่ไม่ได้รับการอบรมและไม่รู้กฎเหล่านี้ องค์ราชาโปรดเมตตา“
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!”
แม่ทัพกลุ่มหนึ่งออกมาก้าวหนึ่งและตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “องค์ราชาโปรดเมตตา!”
เจียงอี้จ้องมองและสังเกตเห็นกลุ่มคนที่เขาไม่รู้จัก เจียงเปี๋ยหลีไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเขานึกถึงความจริงที่ว่าเจียงเปี๋ยหลีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพ เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าแม่ทัพเหล่านี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงเปี๋ยหลีและขอความเมตตาแทนเขา
ขุนนางทางด้านซ้ายที่มีก้อนไขมันตรงหน้าท้องก็เดินออกมา ร่างของเขาก็เต็มไปด้วยไขมันเหมือนเนินเขาลูกเล็ก รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างคล้ายเฉียนว่านก้วนและเขาก็โค้งคำนับกับราชาก่อนที่จะมองเจียงอี้ด้วยรอยยิ้ม “องค์ราชา เจียงอี้อายุเพียงสิบหกปี เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเด็กและไม่รู้กฎดังกล่าว โปรดอย่าถือสาการกระทำของเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ!”