แม่ทัพไท่สื่อผู้นี้เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลไท่สื่อแห่งเจ็ดตระกูลใหญ่ เขามีนามเต็มว่าไท่สื่อเจินและยังเป็นหนึ่งในสิบยอดแม่ทัพแห่งค่ายเสินหวู่ อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพนี้และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดอีกด้วย!
เพื่อที่จะให้ไท่สื่อเจินมาอยู่ในตำแหน่งนี้ ตระกูลไท่สื่อได้เสียสละไปมากมายนัก แต่ก็แน่นอนว่าเขามีความสามารถเพียงพอที่จะขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพอย่างภาคภูมิใจ
จุดแข็งของเขาคือความเฉลียวฉลาด หน้าที่ของเขาในภารกิจนี้คือการปกป้องคุ้มครองเซี่ยอู๋หุ่ย แม้ว่าเจียงอี้จะบุกเข้ามา แต่เขาจะเหนือกว่าทหารทั้งสองหมื่นนายได้หรือ?
ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะน่าตกตะลึงไปบ้าง แต่เขาจะมีความสามารถมากพอที่จะต่อต้านทั้งกองทัพได้จริงๆ?
แน่นอนว่าจุดสำคัญไม่ใช่เรื่องนั้น… แต่เป็นสถานะของเขาต่างหาก!
มีผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าเจียงอี้เป็นบุตรชายของจอมพลในตำนาน,เจียงเปี๋ยหลี?!
เจียงเปี๋ยหลีควบตำแหน่งนักสู้อันดับหนึ่งและผู้พิทักษ์ของอาณาจักรเสินหวู่ อีกทั้งยังเป็นคนที่ราชาเซี่ยถิงเวยไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด
ยังมีความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้เจียงเหรินถูได้นำกองทหารนับหมื่นนายไปยังหุบเขาหมื่นมังกรเพื่อนำตัวเจียงอี้กลับไปด้วยตัวเอง
การกระทำดังกล่าวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจียงเปี๋ยหลีห่วงใยต่อความปลอดภัยของบุตรชายคนนี้มากแค่ไหน
เพียงความจริงข้อนี้ก็ทำให้ไท่สื่อเจินจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะลงมือ มิฉะนั้นอาจจะเป็นการนำพาภัยพิบัติไปสู่ตระกูลของเขาได้
ดังนั้นเขาจึงแสดงความลังเลก่อนที่จะกล่าว “ฝ่าบาท ความปลอดภัยของพระองค์ถือเป็นที่สุด ในสถานการณ์แบบนี้ ตัวข้าไม่อาจที่จะอยู่ห่างกายท่านได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ต่อให้ข้ามีสิบหัว มันก็ไม่เพียงพอที่จะชดใช้พะยะค่ะ!”
หากแม้กระทั่งไท่สื่อเจินยังมีปฏิกิริยาแบบนี้ เช่นนั้นก็ลืมคนอื่นไปได้เลย เริ่มมีหลายคนที่กำลังแสดงความคิดเห็นในทางเดียวกันและกล่าวสนับสนุน
“ใช่แล้วพะยะค่ะฝ่าบาท เด็กหนุ่มอย่างเจียงอี้จะสามารถต่อต้านทั้งกองทัพได้เยี่ยงไร? กระหม่อมว่าอีกไม่นาน รายงานเกี่ยวกับการสิ้นชีพของเขาก็จะถูกส่งมาในไม่ช้า ดังนั้นฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องทรงใส่พระทัยมากก็ได้พะยะค่ะ”
“พวกไร้ประโยชน์!”
เซี่ยอู๋หุ่ยโกรธจนควันออกหู มีหรือที่คนระดับเขาจะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้กำลังกังวลเรื่องอะไร?
เขารู้ดีว่าเจียงอี้ประสบความสำเร็จในการคว้าอันดับหนึ่งในสงครามราชอาณาจักรและกลายเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามในชั่วข้ามคืน อีกทั้งยังมีภูมิหลังที่ทรงพลัง แล้วอย่างนี้จะยังมีใครกล้าหาเรื่องเขาอีก?
เมื่อไม่สามารถพึ่งพากำลังทหารได้ เซี่ยอู๋หุ่ยจึงหันไปมองขันทีเฒ่าที่อยู่ข้างกายและกล่าว “เว่ยกงกง(ขันทีเว่ย) ไปเด็ดหัวคนทรยศมาให้องค์ชายผู้นี้ซะ มันกล้าที่จะขัดขวางขบวนคุ้มกันเจ้าสาวของข้า ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!”
เว่ยกงกงผู้นี้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำกายขององค์รัชทายาทซึ่งเปรียบได้กับผู้คุ้มกันลับของบรรดานายน้อยจากตระกูลใหญ่ทั้งหลาย
โดยไม่ต้องคิด เขาโค้งตัวลงและตอบกลับอย่างสุภาพ “ฝ่าบาท องค์ราชาทรงมอบหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของพระองค์ให้กับข้า ข้าไม่สามารถอยู่ห่างจากพระองค์ได้เกินสิบก้าว หากปราศจากพระบัญชาขององค์ราชา บ่าวชราผู้นี้ก็ไม่อาจที่จะอยู่ห่างกายท่านได้พะยะค่ะ”
“ไร้ประโยชน์! พวกเจ้าทุกคนมันไร้ประโยชน์!”
เซี่ยอู๋หุ่ยเริ่มคลุ้มคลั่งและไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้ไท่สื่อเจินส่งคนออกไปล้อมเจียงอี้ไว้ คราวนี้ไท่เจินไม่กล้าขัดคำสั่ง ตราบเท่าที่เขาไม่ได้สังหารเจียงอี้ด้วยมือของตัวเอง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจียงเปี๋ยหลีจะเอาผิดเขา
อีกทั้งยังเป็นคำสั่งโดยตรงจากองค์รัชทายาท ซึ่งทำให้เจียงเปี๋ยหลีต้องตริตรองให้ดีหากจะมีปัญหากับว่าที่ราชาในอนาคต
“ส่งคำสั่งออกไป! ทุ่มกำลังทั้งหมดสังหารศัตรูให้จงได้!”
……
เมื่อคำสั่งของไท่สื่อเจินมาถึง การต่อสู้กับเจียงอี้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เดิมทียังมีผู้ที่หวั่นเกรงต่อเจียงอี้อยู่ไม่น้อย แต่ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มที่จะโถมเข้าหาศัตรูโดยไม่คิดชีวิตตามคำสั่งที่ได้รับ
“ผู้ที่ขวางทางข้าจะต้องตาย!”
เจียงอี้งัดทุกอย่างที่มีออกมาใช้และยังไม่ตระหนี่ที่จะนำเพลิงโลกาออกมาเพื่อสร้างเป็นวงแหวนไฟรอบกาย
บรรดาทหารที่แห่กันเข้ามาใกล้ต่างก็ถูกแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่าน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เหล่าทหารกล้าก็ยังคงถาโถมเข้ามาอยู่เรื่อยไปโดยปราศจากความเกรงกลัวต่อความตาย
นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของบรรดาทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งคัด แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย แต่พวกเขาก็ไม่กระพริบตาเลยแม้แต่นิดเดียว
ในเวลาสั้นๆ เจียงอี้ได้คร่าชีวิตอีกฝ่ายไปแล้วถึงสองพันคนและอยู่ห่างจากกล่องบรรจุสมบัติอีกเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
ตู้มมม!
ปังงงง!
เหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวต่างก็ปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเองออกมา แม้ว่าเจียงอี้จะถูกปกป้องโดยวงแหวนเพลิงโลกาและสังหารศัตรูได้เป็นจำนวนมาก
แต่เมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ แม้แต่เพลิงโลกาก็เริ่มอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด
“ตาย!”
เจียงอี้วิ่งไปข้างหน้าด้วยความบ้าคลั่ง เมื่อเขาเห็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหกเจ็ดคนที่กำลังปลดปล่อยการโจมตี ดาบมังกรเพลิงในมือของเขาก็เริ่มกวัดแกว่งก่อนที่มังกรเพลิงสองตัวจะโผล่ออกมาและกลืนกินผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
“อ๊ากกก—!”
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังระงมไปทั่วทั้งหุบเขา ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวห้าในแปดตกตายคาที่ ส่วนอีกสามคนหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
“พวกเรารั้งเขาไว้ไม่ได้แน่!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมองหน้ากันด้วยความหวาดผวา หากยังมีเพลิงโลกาลุกโชนอยู่รอบกาย เจียงอี้ก็จะยังคงเป็นผู้อยู่ยงคงกระพัน นอกจากขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เจ็ดขึ้นไป ผู้ที่เข้าใกล้เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยหน้าที่ของทหารก็จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่อยากจะตายอย่างไร้ประโยชน์
ฟึ่บ!
ตลอดทางที่เจียงอี้วิ่งไป บรรดาศัตรูทั้งหลายต่างก็ต้องหลีกทางให้อย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาต่างก็จ้องมองมาที่เขาราวกับเป็นปีศาจจากขุมนรก
“กล่องสมบัติ!”
ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้ามาใกล้กล่องสมบัติได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็เก็บเก็บกล่องสมบัติทั้งหมดรวมไปถึงเพลิงโลกากลับเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิง
“เอ๊ะ?”
“เปลวไฟของมันหายไปแล้ว รีบลงมือเร็ว!”
ในขณะเจียงอี้เก็บกล่องสมบัติไปได้มากกว่าสิบกล่องพร้อมกับวงแหวนเพลิงโลกาที่จู่ๆก็อันตรธานหายไป ฝ่ายศัตรูที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็รีบโถมตัวเข้าหามาเจียงอี้อย่างไม่คิดชีวิต
อย่างไรก็ตาม รอบตัวเขายังคงหลงเหลือกล่องสมบัติที่ใช้เป็นของขวัญสำหรับการหมั้นหมายอยู่บ้าง ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะใช้แก่นแท้พลังโจมตีและทำได้เพียงเข้ามาใกล้เขาเท่านั้น
“เหอะ! เจตจำนงสังหาร!”
ทันใดนั้นจิตสังหารอันน่าตกตะลึงก็ปะทุออกมาจากร่างของเจียงอี้และบันท่อนความเร็วในการเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรู
ในเวลาเดียวกันแรงกดดันที่ราวกับสามารถสยบได้ทุกสรรพสิ่งก็ถูกปล่อยออกมาจากดาบมังกรเพลิงและทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นเทาด้วยความกลัว
เมื่อกล่องสมบัติกล่องสุดท้ายถูกเก็บเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิง บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวก็พุ่งเข้าใส่เขาโดยไม่ต้องกังวลถึงความเสียหายอีกต่อไป
“เพลิงโลกา!”
เจียงอี้แสยะยิ้มด้วยความเย้ยหยัน ทันใดนั้นเพลิงโลกาชุดใหม่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เป็นแรงส่งเพื่อผลักเพลิงโลกาเหล่านั้นตรงไปแผดเผาศัตรูที่อยู่โดยรอบ
แต่ในขณะเดียวกัน ภายในใจของเขาก็บังเกิดความสงสัยบางอย่าง
“เวลาผ่านไปนานพอสมควรแล้ว แต่ทำไมพวกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที?”
ไม่ใช่เพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเท่านั้น แม้แต่เงาของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้าก็ไม่มีให้เห็น ไม่เช่นนั้นการแผนการปล้นชิงสมบัติของเจียงอี้จะราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ได้เวลาถอยแล้ว!”
เมื่อได้ของที่ต้องการมาอยู่ในมือ เขาก็ไม่คิดที่จะรั้งรออีกต่อไป เมื่อเห็นศัตรูถูกแผดเผาจนตาย เขาก็ใช้ดาบมังกรเพลิงแทงลงไปที่พื้นจากนั้นก็ตกลงไปยังอุโมงค์ใต้ดินที่ขุดเตรียมไว้
อุโมงค์นับไม่ถ้วนที่ตัดกันไปมาราวกับเขาวงกตทำให้ยากต่อการติดตามตัว ในเวลาเดียวกันเครื่องรางสัตว์วิญญาณของเขาก็ส่องแสงพร้อมกับร่างของสัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่ปรากฏตัวออกมา
“เจ้าเหลืองใหญ่!”
“มอ มอ!”
เจียงอี้กระโดดขึ้นไปบนหลังของเจ้าเหลืองใหญ่ขณะที่มันพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แน่นอนว่าเจียงอี้ย่อมไม่ลืมที่จะใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เพื่อทำลายอุโมงค์เพื่อปกปิดร่องรอยการหลบหนี
ตราบเท่าที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดไม่ได้ไล่ล่าเขาด้วยตัวเอง เจียงอี้ก็สามารถหลบหนีจากเหล่าศัตรูได้อย่างง่ายดาย
ขบวนทัพในครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือไท่สื่อเจินกับเว่ยกงกง แต่มีหรือที่ทั้งสองคนนั้นจะยอมไล่ล่าเจียงอี้ด้วยตัวเอง?
แน่นอนว่าไม่มีทาง!
ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น เพราะแม้แต่บรรดารองแม่ทัพที่เป็นนักสู้ขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้าก็ยังไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า
ดังนั้นมันจึงทำให้เจียงอี้สามารถลงมือได้อย่างราบรื่นและหลบหนีออกไปได้อย่างไม่ยากเย็น
……
“เจ้าว่าอะไรนะ?! ไอ้สารเลวเจียงอี้หนีรอดไปได้ อีกทั้งยังสังหารทหารไปมากกว่าสามพันคน? แม้แต่สมบัติของข้าก็ถูกขโมยไป?”
“ดี! ดีมาก! พวกเจ้ามันเศษสวะไร้ประโยชน์ ไส้หัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!!”
รายงานใหม่ถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เวลานี้เซี่ยอู๋หุ่ยระเบิดโทสะออกมาอย่างแท้จริงและรู้สึกเจ็บใจในเวลาเดียวกัน
การปะทะกันครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากและยังมีหลายคนที่เป็นสมาชิกของตระกูลชั้นสูง ดังนั้นมันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิดเรื่องในครั้งนี้ไว้ได้
การกระทำของเจียงอี้ในคราวนี้เปรียบเสมือนการตบหน้าราชวงศ์ของอาณาจักรเสินหวู่อย่างรุนแรง
คนผู้เดียวบุกโจมตีกองทัพที่มีจำนวนทหารราวๆสองหมื่นนาย ไม่เพียงแต่เขาจะหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย แต่เขายังลงมือสังหารทหารนับพันและยังปล้นชิงของขวัญสำหรับการหมั้นหมายไปอีกด้วย
หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปถึงโลกภายนอก เซี่ยอู๋หุ่ยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? แม้แต่ราชวงศ์ของอาณาจักรเสินหวู่ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความอับอายอย่างไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้
“มันจะขโมยของขวัญสำหรับการหมั้นหมายไปทำไม? หรือว่าเพราะต้องการทำให้ข้าอับอายต่อหน้าซูรั่วเสวี่ย?”
หลังจากที่ระบายความโกรธออกไปได้บ้าง เซี่ยอู๋หุ่ยก็กลับมาเยือกเย็นและเริ่มครุ่นคิดด้วยความจริงจัง จากนั้นไม่นาน ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย
เขาใช้มือลูบไปที่แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ที่สวมอยู่ที่นิ้ว วินาทีต่อมากล่องหยกขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของเขา
“ข้ารู้แล้ว… เจียงอี้ เจ้าต้องการที่จะขโมยสมุนไพรสยบวิญญาณไปจากข้าสินะ? น่าเสียดายที่องค์ชายผู้นี้เตรียมการไว้แล้ว เจ้าจึงไม่มีทางได้มันไป”
“เหอะ! เจ้ากล้าที่จะทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลก ด้วยความผิดของเจ้าในคราวนี้แม้แต่เจียงเปี๋ยหลีก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้!”
“รอให้ข้ารายงานความชั่วของเจ้าให้เสด็จพ่อได้รับรู้ก่อนเถิด เมื่อกำลังเสริมของข้ามาถึง ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะหนีรอดความตายไปได้อีกหรือไม่?!”