บทที่ 207 เต๋าแห่งการจู่โจม
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ส่งคำสั่งออกไป ทำการจัดตั้งค่ายกล! ให้กู่เท่อใช้อาคมตรึงเจียงอี้ แล้วก็ให้หมิงฮุยรวบรวมคนไปฆ่านังแพศยานั่นซะ!”
แม้ว่าหัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความอาฆาต แต่หยุนเฮ่อก็ไม่ได้ลงมือเองเพราะเขากังวลเกี่ยวกับเปลวไฟของเจียงอี้และการใช้เวทย์อาคมของหยุนเฟย เขาออกคำสั่งให้กองกำลังข้างๆเขาเป่าแตรทันที มันเป็นแตรยาวสามอันและสั้นสองอันซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีเฉพาะในการส่งสัญญาณ
“หยุนเฮ่อ เราจะไม่ทำอะไรกันเลยเหรอ?”
เมื่อเห็นหยุนเฮ่อยังคงนั่งนิ่งอยู่บนตัวลิงยักษ์ สุ่ยเชียนโหรวก็ถามออกมาด้วยความสงสัย จากมุมมองของนาง การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ต้องใช้ฝีมือใดๆ พวกเขาเพียงใช้กองกำลังทั้งหมดเพื่อโจมตี และผู้ชนะจะถูกกำหนดโดยความสามารถของกันและกัน
“ไม่ต้องรีบร้อนไป! หากเจียงอี้สามารถทำลายเสื้อคลุมวิหควิญญาณของเจ้าได้ เขาจะต้องมีอาวุธลับที่น่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคิด แต่ข้าไม่เชื่อว่าเปลวไฟที่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นจะไร้ขอบเขต“
หยุนเฮ่อเติบโตขึ้นมาในตระกูลราชวงศ์และสิ่งแรกที่เขาเชี่ยวชาญคือการใช้ประโยชน์จากผู้คน ด้วยสถานะที่สูงส่งของเขา เขาจะไม่ทำให้ชีวิตตัวเองต้องแขวนบนเส้นด้าย
“งั้นก็ได้!”
เมื่อหอดาราสุ่ยเยว่ไม่ได้สูญเสียผู้คนของพวกเขา สุ่ยเชียนโหรวจึงระงับความปรารถนาของนางและต่อต้านความลุ่มหลงของนางอย่างแข็งขันในขณะที่สังเกตการต่อสู้
เมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งของหยุนเฮ่อ นายน้อยสองคนที่สวมเสื้อคลุมที่หรูหราสาปแช่งอย่างเงียบๆ ตอนนี้พวกเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่สิ้นหวังและไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งการโจมตี
ชายผู้มีผมหยิกซึ่งสวมต่างหูสีแดงเพลิงบนหูซ้ายของเขาและถือคทาปรากฏตัวออกมา คนผู้นี้คือประมุขน้อยของตระกูลกู่, กู่เท่อ
เขาคำราม “ค่ายกลมัจจุราช!”
ค่ายกลมัจจุราชมีชื่อเสียงในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนและทุกครั้งที่พวกเขาใช้มัน พวกเขาจะต้องต่อสู้เพื่อความตาย รูปขบวนนี้จะไม่มีวันหยุดถ้าทุกคนยังไม่ตาย เมื่อค่ายกลถูกก่อตั้งขึ้น ใครก็ตามที่กล้าที่จะล่าถอยจะถูกมองว่าเป็นกบฏและจะถูกดูหมิ่นโดยคนของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน
“ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!”
จอมยุทธเกือบพันคนมารวมตัวกันที่เจียงอี้ พวกเขารีบวิ่งไปที่เจียงอี้กลุ่มละสามคนในรูปขบวนลูกศร ทุกการแสดงออกของพวกเขาเต็มไปด้วยความตาย ทันทีที่หยุนเฮ่อสั่งให้จัดตั้งค่ายกลมัจจุราช นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะหนีเว้นแต่ว่าพวกเขาจะฆ่าเจียงอี้ได้หรือไม่ก็ถูกเจียงอี้ฆ่า
“ประเสริฐ! เจตจำนงสังหาร!”
เวลาเป็นสิ่งที่เจียงอี้ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ โชคดีที่สุ่ยเชียนโหรวกับหยุนเฮ่อไม่ได้เคลื่อนไหวและปล่อยให้คนอื่นเป็นคนลงมือซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยสีแดงและมีกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวไหลทะลักออกมาจากร่างกาย ทำให้บางคนที่มีระดับการบ่มเพาะอ่อนแอถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถอยหนี
ตึก! ตึก!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวบางคนเริ่มปลดปล่อยการโจมตี ในขณะเดียวกัน คทาในเมื่อของนายน้อยกู่ก็เริ่มส่องแสง
“พันธนาการสายลม!”
ในตอนนั้นเอง สายลมอันเย็นยะเยือกก็พัดผ่านเข้ามาในร่างของเจียงอี้พร้อมกับตรึงร่างของเขาไว้ เมื่อถูกพลังที่ไร้รูปลักษณ์เข้าปกคลุม การเคลื่อนไหวของเขาก็เชื่องช้าลงอย่างมาก
ในตอนแรกเจียงอี้ต้องการที่จะกระโจนไปเบื้องหน้าพร้อมกับใช้เพลิงโลกาแผดเผาศัตรู แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะต้องเปลี่ยนแผนและจำเป็นต้องนำไหมปีศาจนภาออกมาเพื่อใช้สกัดการโจมตีแทน
“ปัง! ปัง! ปัง!”
ร่างของเจียงอี้ถูกคลื่นพลังถาโถมใส่อย่างต่อเนื่อง แต่เป็นเพราะพลังป้องกันของไหมปีศาจนภาทำให้เขาไร้บาดแผล แต่ถึงอย่างนั้น กลิ่นอายสังหารของเขาก็เบาบางลงส่งผลให้นักสู้นับร้อยโถมตัวเข้ามาจากทั้งสามทิศ
เวทย์คาถาช่างน่าชังยิ่งนัก…!
เจียงอี้ลอบตกใจอยู่เงียบๆ ในเวลาเดียวกันดาบเกล็ดทมิฬก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นเขาก็ใช้มันกวัดแกว่งไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ
ฟับบ!
ในจังหวะที่ตัวดาบเฉือนผ่านลงไปนั้น ที่ปลายดาบก็ก่อเกิดเป็นมังกรวายุขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทันใดนั้นพลังที่ไร้รูปลักษณ์ก็สูญสลายไปและทำให้เขาเป็นอิสระอีกครั้ง
พันธนาการสายลม? ในเมื่อสายลมสามารถใช้พันธนาการข้าได้ เช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าก็สามารถควบคุมสายลมให้พันธนาการคนอื่นได้เช่นกัน?
ห้วงความคิดของเจียงอี้หมุนเร็วขึ้น เมื่อกู่เท่อต้องการที่จะใช้พันธนาการสายลมอีกครั้ง เจียงอี้ก็หลับตาลงและสัมผัสถึงการไหลเวียนของกระแสลมในอากาศ จากนั้นก็จำลองเส้นทางของมันขึ้นมาในใจ
ฟู้วววว!
ทันใดนั้นเรื่องประหลาดก็บังเกิดขึ้น
ตำหนักม่วงสีดำหลังเล็กที่อยู่ภายในตำหนักม่วงของเจียงอี้อีกทีกำลังส่องสว่าง แก่นแท้พลังเหลวสีดำหยดหนึ่งไหลออกมาและตรงเข้าไปในห้วงจิตใจของเขา ซึ่งทำให้สมองทำงานได้เร็วกว่าเดิมหลายร้อยเท่า
ปัจจุบันเจียงอี้กำลังอยู่ในภวังค์การคิดวิเคราะห์เส้นทางการเคลื่อนตัวของกระแสลมโดยไม่รู้ตัว
“หืม?”
ในบรรดานักสู้นับร้อยที่พุ่งเข้ามา มีห้าหรือหกคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว ในตอนที่เห็นเจียงอี้หลับตา พวกเขาหลงนึกว่าชายคนนี้จะปลดปล่อยทักษะวิชาที่น่ากลัวบางอย่างออกมา แต่เขากลับอยู่นิ่งและไม่ทำอะไรเลย
แต่จู่ๆอากาศรอบตัวเขาก็หมุนวนจนกลายเป็นมังกรวายุซึ่งกำลังเหาะเหินอยู่รอบตัวเขาและคำรามไร้เสียงเป็นบางครั้ง
“นี่… นี่…”
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์อันแปลกประหลาด หลายคนก็เผยความหวาดกลัว นักสู้ระดับต่ำไม่เข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าว พวกเขาหวาดกลัวจนแทบจะหมอบกราบคนตรงหน้า
มีเพียงบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเท่านั้นที่พอจะคาดเดาบางสิ่งได้
“มันเป็นไปได้ยังไง? ไม่! ไม่มีทาง… มันไม่มีทางเป็นไปได้!”
หยุนเฮ่อที่นั่งอยู่บนไหล่ของลิงยักษ์ถึงกับปากสั่น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
สุ่ยเชียนโหรวและผู้เชี่ยวชาญจากหอดาราสุ่ยเยว่เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน นางจ้องมองไปยังชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างออกไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“รูปแบบเต๋าสวรรค์? ไม่ใช่ว่าเจียงอี้เป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สองหรอกรึ? ทำไมเขาถึงสัมผัสถึงรูปแบบเต๋าสวรรค์ได้แล้ว?”
“ตามที่ท่านแม่เคยกล่าวไว้ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวเท่านั้นที่จะสัมผัสกับขอบเขตของรูปแบบเต๋าสวรรค์ได้ แต่ถ้าหากเจียงอี้บรรลุระดับนั้นอยู่ก่อนแล้ว พวกเราคงตายไปนานแล้ว… แต่นี่มัน เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?!”
รูปแบบเต๋าสวรรค์คือการดำรงอยู่ที่ลึกลับและไร้ที่สิ้นสุดซึ่งอยู่ภายใต้สวรรค์ รูปแบบเต๋าทั้งหมดทั้งมวลถูกประกอบขึ้นจากกฎแห่งฟ้าดิน
ดังนั้นการเข้าใจรูปแบบเต๋าก็หมายถึงการเข้าถึงกฎแห่งฟ้าดิน ซึ่งก็หมายความว่าคนผู้นั้นจะสามารถชักนำพลังงานจากฟ้าดินได้ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะพลิกมหาสมุทร ทลายภูเขา หรือแม้แต่เคลื่อนย้ายแม่น้ำ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น
นักสู้ทุกคนต่างก็มีความเข้าใจต่อรูปแบบเต๋าเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาจะเข้าใจมันลึกซึ้งมากขึ้นเมื่อทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยว และเงื่อนไขหนึ่งของผู้ที่บรรลุระดับนี้ซึ่งต้องการที่จะทะลวงสู่ขอบเขตจินกังคือพวกเขาต่างก็ต้องทำความเข้าใจรูปแบบเต๋าให้ได้
หลังจากที่สามารถทำความเข้าใจรูปแบบเต๋าได้แล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพุ่งทะยานสู่ขอบเขตใหม่ราวกับก้าวเข้าสู่โลกใหม่เลยก็ว่าได้
ทักษะวิชาที่อยู่ในทวีปแห่งนี้ล้วนแต่ถูกสร้างมาโดยใช้รูปแบบเต๋าเป็นรากฐาน แต่ระดับของแต่ละทักษะนั้นจะขึ้นอยู่กับความเข้าใจต่อรูปแบบเต๋าของผู้สร้าง นี่คือความรู้ทั่วไปที่ใครๆก็ทราบดี
แต่การที่นักสู้ซึ่งอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวกำลังทำความเข้าใจรูปแบบเต๋านั้น เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้กำลังสัมผัสกับเต๋าแห่งสายลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังกรวายุที่เป็นหลักฐานชั้นดี
ในเมื่อเรื่องที่น่าเหลื่อเชื่อที่สุดในโลกกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ใครบ้างที่จะไม่ตกใจ?
“ฆ่ามัน!”
ฝูงชนตกตะลึง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าชนชั้นเสินโหยวก็เป็นพวกแรกที่ได้สติ พวกเขารีดเค้นพลังและต้องการที่จะสังหารเจียงอี้ให้เร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่มังกรวายุกำลังทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์และทำการสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดที่พุ่งเข้ามา
บุ๋มม!
ไม่ว่าจะเป็นคลื่นพลังใดๆก็ตาม เมื่อเข้ามาใกล้ร่างของเจียงอี้ มังกรวายุทั้งหลายก็จะเอาตัวเข้าไปรับไว้ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนโล่แต่ก็อ่อนนุ่มราวกับโคลน เพราะการโจมตีทั้งหลายต่างก็ถูกดูดซับเอาไว้ ไร้เสียง ไร้คลื่นสะท้าน เหมือนกับอยู่ๆมันก็หายไปจากโลก
“ข้าคิดผิดมาตลอดและเดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง แก่นแท้ของเพลงดาบเงาวายุไม่ใช่การควบคุมสายลม เพราะมันไร้ซึ่งรูปลักษณ์และไม่สามารถควบคุมได้ตั้งแต่แรก”
“ข้าเพียงแค่ต้องอนุมาน เคลื่อนย้ายและก่อให้เกิดการสั่นสะเทือน จากนั้นมันก็จะบังเกิดเป็นสนามพลังซึ่งจะช่วยให้ข้ากำราบเหล่าศัตรู ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดข้าก็เข้าใจมันเสียที!”
ทันใดนั้น เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ในที่สุดปัญหาที่เขาขบคิดมานานก็ถูกแก้ไข ในจังหวะที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมานั้น เหล่ามังกรวายุก็จางหายไป
ในตอนนี้ เขาไม่แม้แต่จะสนใจการแสดงออกของเหล่าศัตรูและทำเพียงแค่กวัดแกว่งดาบในมือพร้อมทั้งคำราม “เพลงดาบเงาวายุ!”