เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 321 ราชสำนัก

บทที่ 321 ราชสำนัก

บทที่ 321 ราชสำนัก
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
ในยามรุ่งอรุณ!
วันนี้มีฝนโปรยปรายอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่เสียงของเม็ดฝนหยดกระทบลงบนพื้นอย่างไม่หยุดหย่อนและชะล้างคราบเลือดที่ฟุ้งกระจายบนท้องฟ้าของเมือง….ซึ่งเป็นแผลจากสมรภูมิ
มันเป็นเวลาก่อนเก้าโมงเช้าโถงราชวังอันทรงเกียรติของอาณาจักรต้าเซี่ยก็เต็มไปด้วยผู้คน ขุนนางและแม่ทัพทุกคนที่ถูกรับเชิญต่างพากันมาที่โถงแห่งนี้ ข้าราชสำนักนี้ถูกเรียกหารือภายใต้ราชโองการจากซูรั่วเสวี่ย และมันระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหากขุนนางหรือแม่ทัพคนใดไม่เข้าร่วมในเวลานี้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาเข้าร่วมอีกต่อไปในภายภาคหน้า
มีเพียงเหล่าขุนนางสำคัญๆเท่านั้นที่ได้ยินสิ่งที่ซูรั่วเสวี่ยกล่าวในสุสานราชวงศ์แต่นั่น นางไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน หลายคนจึงไม่เข้าใจว่านางหมายถึงสิ่งใด แต่นางกำลังจะเปิดเผยและประกาศความตั้งใจของนางในวันนี้ อาณาจักรต้าเซี่ยอาจมีผู้ปกครองคนใหม่หลังการหารือนี้จบลง
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้โถงราชวังเกิดเสียงจอแจมากมายเนื่องจากขุนนางนับไม่ถ้วนต่างกระซิบกระซาบกันอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย แต่ไม่มีขุนนางสายปกครองคนใดในอาณาจักรต้าเซี่ยเสียชีวิตเลยในบรรดาผู้ที่มาร่วมหารือนั้น สองในสามส่วนเป็นเหล่าขุนนางทั้งหมด
เมื่อแม่ทัพหลูเฒ่าเห็นเหล่าขุนนางที่กำลังรวมตัวกันเขาก็เผยร่องรอยความกังวลออกมาคนเหล่านี้ล้วนแต่หน้าซีดตกใจเมื่อตอนที่อาณาจักรต้าเซี่ยตกอยู่ในภาวะสงครามและกำลังจะล่มสลาย แต่ตอนนี้หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พวกเขาทุกคนกลับฟื้นคืนความกล้าหาญขึ้นมาและเริ่มวิจารณ์และตัดสินทุกสิ่งที่พวกเขาเห็น แม่ทัพหลูถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเขามองไปยังคนเหล่านั้น
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ดูถูกคนเหล่านี้เหล่าแม่ทัพก็มีความตั้งใจที่จะปกป้องอาณาจักร แต่เมื่อมันมาถึงเรื่องการปกครองอาณาจักร พวกเขาก็ต้องพึ่งพาเหล่าขุนนางเหล่านี้ แม่ทัพทั้งหลายต่างเป็นคนที่มีความหยาบและไม่รู้หนังสือ หากพวกเขาจะปกครองอาณาจักร ทั่วทั้งอาณาจักรจะตกอยู่ในความวุ่นวาย
“ใต้เท้าเจียงเดินทางมาถึงแล้ว!”
เสียงที่ไม่รู้ว่าหญิงหรือชายดังก้องไปทั่วจากนั้นก็มีร่างที่หุ้มด้วยชุดคลุมสีเขียวเดินเข้ามาจากประตูหลักของโถงใหญ่ เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวเรียบง่ายซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมสำหรับพิธียิ่งใหญ่และเป็นทางการ เขาเดินเข้ามาและมองไปยังใบหน้าของทุกคนก่อนที่จะพูดออกมาทันใด “หลิวกงกง จัดการหาเก้าอี้ให้ข้าที”
“ว้าว!”
เมื่อเจียงอี้พูดจบภายในราชสำนักต่างก็มีเสียงอึกทึกตามมา เครื่องแต่งกายของเขานั้นไม่สอดคล้องกับกฎของราชสำนัก แล้วตอนนี้เขายังต้องการเก้าอี้มานั่งอีก? หากราชาไม่ได้มีคำสั่งประทานให้นั่งได้ก็มีเพียงราชาเท่านั้นที่จะนั่งได้ขณะที่คนอื่นๆต้องยืน นอกจากนี้ เจียงอี้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งของราชสำนักอย่างเป็นทางการในอาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับคุณสมบัติราชวงศ์เลย
หนึ่งในหัวหน้าขันทีหลิวกงกงก็อยู่ในจุดที่อึดอัดใจ เขามองไปยังเหล่าขุนนางที่มีผมหงอกในขณะที่ขุนนางผู้นั้นก็มองคนที่อยู่ด้านหลังเขา ขุนนางจากกรมพิธีการก้าวออกมาและโค้งคำนับกับเจียงอี้ทันทีขณะที่พูดว่า “ท่านใต้เท้า ในราชสำนักนี้ นอกเหนือจากองค์ราชาแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถนั่งได้ ท่านมิใช่….ผู้ที่สอดคล้องกับคุณสมบัตินั้นขอรับ”
แม่ทัพหลูมองไปยังเจียงอี้และไม่พูดอะไรออกมาเลยนอกจากจะเผยรอยยิ้มที่เสแสร้งออกมาเจียงอี้ถูจมูกของเขาและมองขุนนางผู้นั้นอย่างไม่แยแสและตอบว่า “ข้าผู้นี้คือผู้ตรวจการแห่งจักรวรรดิมังกรเวหา ตามการจัดเรียงลำดับแล้ว ข้ายังเหนือกว่าผู้ปกครองอาณาจักรต้าเซี่ย ทำไมข้าจะนั่งไม่ได้? สำหรับเรื่องมารยาทของราชสำนัก ทุกคนต้องคุกเข่าเมื่อเห็นข้า แล้วทำไมพวกเจ้าไม่คุกเข่า?”
“เอ่อ……”
ขุนนางจากกรมพิธีการอยู่ในความตกตะลึงเขาพยายามพูดกับเจียงอี้ด้วยเหตุผล แต่เจียงอี้ทำตัวเยี่ยงอันธพาล นอกจากนี้ เขาก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้เลย
เจียงอี้เป็นผู้ตรวจการของจักรวรรดิมังกรเวหาตามลำดับแล้วราชสำนักจะต้องคำนับเขา คำถามก็คือ…..ไม่ใช่ว่าเจียงอี้ฆ่าทหารของจักรวรรดิมังกรเวหาหรือ? บรรพบุรุษเฒ่าจากจักรวรรดิมังกรเวหาต้องการที่จะฆ่าเขา แต่เขาก็ยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้ตรวจการ?
อย่างไรก็ตามทางจักรวรรดิมังกรเวหาก็ไม่ได้ประกาศว่าจะขับไล่เจียงอี้ลงจากตำแหน่งผู้ตรวจการ ขุนนางผู้นี้ไม่สามารถเถียงเขาได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากมองไปยังหัวหน้าขุนนางทั้งสอง นั่นคืออัครมหาเสนาบดีแห่งสำนักอัครมหาเสนาบดี อวี๋อัน และ เริ่นผิง
จากความตกใจของทุกคนพวกเขาทั้งสองก็ยังคงนิ่งเงียบเพราะพวกเขาคงไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับเจียงอี้เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าพระยาทั้งสองก็ถูกจับกุมโดยเจียงอี้ไปเมื่อคืน และเขาก็เป็นผู้กอบกู้อาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งพวกเขาพบว่ามันคงน่าอายหากจะต้องมีปัญหาในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ขันทีหลิวโบกมือขณะที่ขันทีอีกสองคนรีบไปหยิบเก้าอี้ของผู้บัญชาการมาอย่างรวดเร็วส่วนเจียงอี้นั้นก็นั่งลงไปอย่างไม่สนใจผู้ใด เขาหลับตาลงและพักผ่อนชั่วขณะ
เหล่าขุนนางต่างๆเริ่มถกเถียงกันมากขึ้นแต่ทุกคนก็กระซิบกระซาบกันเท่านั้น พวกเขามองเจียงอี้ด้วยสายตาที่หวาดกลัวและเคารพ แน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่พอใจเนื่องจากเจียงอี้ทำตัวน่ารังเกียจและเหมือนเป็นการดูหมิ่นพวกเขา เหล่าขุนนางเหล่านี้นั้นมารยาทและเกียรติเป็นอย่างมาก
“องค์หญิงหลิงเสวี่ยเสด็จแล้ว!”
หลังจากนั้นหลิวกงกงก็ประกาศอีกครั้งเหล่าขุนนางและแม่ทัพต่างก็เงียบสงบและยืนตรงอย่างรวดเร็ว เมื่อซูรั่วเสวี่ยเข้าไปในโถง พวกเขาก็คำนับด้วยความเคารพ ซูรั่วเสวี่ยนั้นเป็นเพียงองค์หญิง และในราชสำนักแห่งนี้ หากราชาไม่ได้อัญเชิญนาง นางก็ไม่สามารถแม้แต่จะเข้ามาได้ แต่ในตอนนี้คนเหล่านี้ต่างพากันโค้งคำนับและทักทายนาง มันเป็นความเคารพที่สูงที่สุดแล้ว
“ทุกคนจงลุกขึ้น!”
ซูรั่วเสวี่ยสวมเสื้อคลุมฟีนิกซ์และสวมมงกุฎฟีนิกซ์นางอยู่ในชุดที่งดงามและการปรากฏตัวที่น่าเกรงขามทำให้นางดูสง่างามและแพรวพราว นางสะบัดแขนพลางพูดอย่างเฉยเมย หลังจากนั้นนางก็ก้าวและเดินขึ้นไปยังแท่นบัลลังก์ทองคำม่วงและนั่งลง
“ว้าว!”
แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าซูรั่วเสวี่ยต้องการจะยึดอำนาจสูงสุดและแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นองค์ราชินีแต่เหล่าขุนนางทั้งหลายก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถยอมรับได้ ในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนชิงในหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่มีราชวงศ์ใดแต่งตั้งองค์ราชินีขึ้นเป็นผู้ปกครองเลย แม้ว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมังกรเวหาจะสิ้นชีพไปแล้วและองค์หญิงหลิงเสวี่ยก็มีอำนาจ แต่นางก็ยังไม่กล้าประกาศตนขึ้นเป็นผู้ปกครอง แต่ซูรั่วเสวี่ยกลับเป็นผู้เผด็จการและขึ้นนั่งบนบัลลังก์ทันที?
ทันใดนั้นขุนนางจากกรมพิธีการที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ก็ก้าวออกมาสองก้าวอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความไม่พอใจ “องค์หญิงหลิงเสวี่ย ท่านนั่งผิดที่หรือไม่พะยะค่ะ? บัลลังก์นั้นมีเพียงองค์ราชาเท่านั้นที่สามารถนั่งได้ ท่าน….กำลังแสดงพฤติกรรมที่ประเจิดประเจ้อนัก!”
เหล่าขุนนางคนอื่นก็ก้าวออกมาและพูดออกมาเช่นกัน“องค์หญิง โปรดลุกขึ้นเถิดพะยะค่ะ ไม่เช่นนั้น ท่านอาจจะเป็นผู้หมิ่นองค์ราชาผู้ล่วงลับไปแล้ว และท่านควรปฏิบัติตามกฎนะพะยะค่ะ!”
เมื่อมีคนเป็นผู้นำในเรื่องนี้แล้วก็มีขุนนางจำนวนมากก้าวออกมาเช่นกัน บ้างก็คุกเข่า บ้างก็พูดจาเสียงดัง บ้างก็คร่ำครวญด้วยความเศร้า พวกเขาทุกคนไม่พอใจอย่างที่สุดราวกับว่าซูรั่วเสวี่ยนั้นไปก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้าย
แม่ทัพหลูและกลุ่มคนของเขาต่างพากันถอนหายใจพวกเขาคาดไว้แล้วว่าเหล่าขุนนางที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้จะต้องคัดค้านเป็นแน่ แต่พวกเขาไม่ได้หวังว่าปฏิกิริยาของคนพวกนี้จะน่าทึ่งขนาดนี้
เขาสบตากับเหล่าแม่ทัพก่อนที่จะหันมามองเจียงอี้ที่ดูเหมือนจะนอนหลับอยู่เขาตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้และป้องมือโค้งคำนับ “ทุกท่าน พวกท่านผิดแล้ว! เราเป็นคนร้องขอองค์หญิงหลายต่อหลายคราวกว่านางจะเต็มใจเข้ารับตำแหน่งนี้ ข้ากับแม่ทัพอีกแปดคนต่างเขียนข้อเสนอไปยังองค์หญิง จนนางตกลงขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้น …. นางจะเป็นผู้ปกครองที่ดีในภายหน้าของอาณาจักรต้าเซี่ยของเรา ทำไมนางจึงไม่สามารถนั่งบนบัลลังก์นั่นได้กัน?”
“ฮึ่ม!”
ก่อนที่แม่ทัพหลูจะพูดจบเสียงที่ดังและเย็นชาก็ดังขึ้น มันคือเสียงของอัครมหาเสนาบดีที่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาในตอนแรก ทันใดนั้นเขาก็ก้าวออกมากลางเวทีและชี้ไปยังแม่ทัพหลูขณะที่สาปแช่งออกมา “หลูกว่างอี้! เจ้าเฒ่าเบาปัญญา เงียบปากไปซะ! เจ้ามีอำนาจตั้งกฎใหม่เกี่ยวกับเรื่องสำคัญเกี่ยวกับผู้ครองบัลลังก์ได้อย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับประชาชนทุกคนในอาณาจักร และทั้งอาณาจักรอยู่ที่นี่ เจ้าจะมาหละหลวมเช่นนี้ได้อย่างไร? นอกจากนั้นนะ เจ้ากำลังสนับสนุนองค์หญิงให้ขึ้นครองบัลลังก์หรือ? เจ้าต้องการให้ทั้งโลกเย้ยหยันอาณาจักรต้าเซี่ยของเราและบอกว่าเราไม่มีผู้ใดแล้วหรือ?”
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าในประวัติศาสตร์ทวีปเทียนชิงนั้นเคยมีองค์หญิงองค์ใดขึ้นครองราชย์กัน?โบราณเคยว่าไว้ ‘หากชื่อแซ่นั้นไม่เหมาะสม ภายหน้าก็จักเป็นภัย’ หากประชาชนไม่เชื่อมั่น แล้วเราจะปกครองประชาชนได้อย่างไร? โลกกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายและอาณาจักรก็อยู่ในความไม่สงบ อาณาจักรต้าเซี่ยตกอยู่ในอันตราย! พวกเจ้าทุกคนนั้นเป็นเหล่าคนบาปแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย และชื่อของพวกเจ้าจะถูกสลักลงไปในประวัติศาสตร์พร้อมความน่าอับอาย….”
“อัครมหาเสนาบดีเริ่นกล่าวถูกแล้ว!”
อัครมหาเสนาบดีอาวุโสอีกคนก็พูดออกมาด้วยใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจขณะที่ร่างของเขาสั่นไปด้วยความโกรธเขาเช็ดน้ำตาและร้องไห้ด้วยความขมขื่นขณะที่พูดว่า “ราชาผู้ล่วงลับ ท่านเห็นหรือไม่? หลังจากท่านล่วงลับไป อาณาจักรต้าเซี่ยก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ขุนนางเฒ่าผู้นี้คงจะขอติดตามท่านไปเสียดีกว่า….”
“ในเมื่อเจ้าอยากตายนักเช่นนั้นก็เชิญ!”
ในขณะเดียวกันกับที่แม่ทัพหลูและคนอื่นๆต่างตกอยู่ในอาการที่ย่ำแย่เจียงอี้ผู้ที่กำลังหลับตา จู่ๆก็พูดขึ้นมาในทันที
ดวงตาของเขาเปิดขึ้นมาเขาดูเหมือนเสือดุร้ายที่กำลังแยกเขี้ยว เขาจ้องมองไปยังขุนนางทั้งหลายด้วยดวงตาที่แหลมคมราวกับใบมีดในขณะที่ร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกราวกับทุกคนถูกหุ้มด้วยน้ำแข็ง ขุนนางหลายคนเงียบปากลงในทันทีขณะที่มองเจียงอี้อย่างหวาดกลัว
เขายืนขึ้นมาอย่างช้าๆและเดินไปยังใจกลางห้องโถงใหญ่แห่งนี้จากนั้นเขาก็ประกาศว่า “ผู้ที่สนับสนุนรั่วเสวี่ยให้เป็นผู้ปกครองจงก้าวไปทางขวา ส่วนผู้ที่ไม่สนับสนุนรั่วเสวี่ย ก็ออกไปซะ หากใครกล้าคร่ำครวญและพูดจาเหลวไหลที่นี่ ผู้ตรวจการผู้นี้ก็ไม่รังเกียจ…..ที่จะส่งพวกมันติดตามองค์ราชาผู้ล่วงลับไป!”

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

Status: Ongoing

เรื่องย่อ

ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ

ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้

วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก

ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ

ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้

จึงได้อุบัติขึ้น!

หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง

เกลื่อนปฐพี!

หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท