บทที่ 387 รูปปั้นหยกขาว
เจียงอี้ตื่นขึ้นมาหลังจากพักผ่อนไปราวสิบห้าชั่วโมงและมันยังคงเป็นช่วงก่อนรุ่งสาง เจียงเสี่ยวนู๋กำลังนอนอยู่ข้างๆเขาและผู้อาวุโสเฮ่อก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆ
เขาตรวจอาการบาดเจ็บของเจียงเสี่ยวนู๋และพบว่าไม่ได้มีสิ่งใดร้ายแรงเจียงอี้ก็รู้สึกโล่งใจที่รู้ว่านางเพียงอ่อนเพลียกว่าจะตื่นขึ้นมาได้ เขาถามผู้อาวุโสเฮ่อเกี่ยวกับสถานการณ์ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิและทำการรักษาอีกครั้ง
เส้นลมปราณส่วนใหญ่เริ่มฟื้นตัวแล้วหลังจากรักษามาประมาณเจ็ดแปดชั่วโมงแถมมันยังเป็นปกติแล้วที่จะใช้แก่นแท้พลังของเขาเหมือนเดิม เจียงอี้หยุดและทานอาหารที่ผู้อาวุโสเฮ่อส่งให้แก่เขา เมื่อมองไปที่เสี่ยวนู๋เขาก็ขมวดคิ้วและถามว่า “ผู้อาวุโสเฮ่อ เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวนู๋? ท่านเพิ่งบอกว่านางเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษใช่ไหม? นั่นมันหมายความว่า..นางไม่ใช่มนุษย์?”
“ไม่จริงไม่จริง!”
เขาส่ายหัวแล้วตอบว่า“ตระกูลจ้านนั้นเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ แต่ก็มาจากมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน! แม่นางเสี่ยวนู๋นั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์พิเศษคล้ายๆตระกูลจ้าน แต่เผ่าพันธุ์ของนางนั้นดูจะแข็งแกร่งกว่าตระกูลเทพสงคราม นายน้อยอี้ ใต้เท้าหยุนไฮ่ได้บอกถึงพื้นเพของเสี่ยวนู๋หรือไม่?”
“เขาบอก!”
เมื่อใคร่ครวญครู่หนึ่งเจียงอี้ก็พูดว่า“ท่านปู่ก็คงไม่แน่ใจเหมือนกัน เสี่ยวนู๋นั้นถูกพาตัวมาอยู่กับครอบครัวข้าโดยแม่ของข้าเมื่อตอนที่ข้าอายุได้เพียงสองขวบ ส่วน..เรื่องที่นางมาจากไหนนั้น ไม่มีใครรู้ได้ ท่านปู่และข้าคิดมาเสมอว่าเสี่ยวนู๋เป็นเพียงทารกที่ถูกทอดทิ้งซึ่งแม่ข้ามาพบนาง เสี่ยวนู๋นั้นดูเป็นปกติมากตั้งแต่นางยังเด็ก แต่ตอนนี้ นางเปลี่ยนร่างได้และยังมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้…”
ผู้อาวุโสเฮ่อมั่นใจเกี่ยวกับสมมติฐานของเขามากขึ้นเรื่อยๆเจียงเสี่ยวนู๋คงถูกอีเพียวเพียวเลี้ยงไว้โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้เป็นผู้คุ้มกันของเจียงอี้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าพูดมันขึ้นมา เขาหยุดครู่หนึ่งพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “นายน้อยอี้ มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะมานั่งคาดเดาเรื่องพวกนี้ เมื่อแม่นางเสี่ยวนู๋ตื่นขึ้นมา ในเมื่อนางสามารถควบคุมพลังงานในร่างกายนางได้และเปลี่ยนร่างตัวเองให้มีพลังมหาศาลได้ นางต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวนางมากมาย…”
“อื้ม!”
เจียงอี้พยักหน้าและไม่ได้พูดสิ่งใดอีกเขาหันไปหาเจียงเสี่ยวนู๋และยิ้มให้นางอย่างแผ่วเบา สำหรับเขาแล้ว มันไม่สำคัญว่าเจียงเสี่ยวนู๋จะกลายร่างหรือมีความแข็งแกร่งหรือไม่มีก็ตาม นางก็ยังคงเป็นเจียงเสี่ยวนู๋อยู่ดี
“ไปที่เกาะดาวตกกันก่อนเถอะ!ทะเลนี้อันตรายเกินไป!”
เขาโยนกระดูกในมือทิ้งและลุกขึ้นพร้อมให้ทั้งสองเข้าไปอยู่ในแจกันเขียวพิสุทธิ์และย้ายร่างฉับพลันไปยังเกาะดาวตกต่อก่อนที่เขาจะเจอปีศาจทะเล เขาเหลือเวลาอีกไม่เกินสองวันก็จะถึงเกาะดาวตกแล้ว แม้ว่าเขาจะเดินทางช้ากว่าสัตว์อสูรหยาจื้อ แต่เขาก็น่าจะถึงในวันสองวันหลังจากที่ย้ายร่างกระทันหันมากว่าครึ่งวัน
เจียงอี้มีแผนที่ของเกาะดาวตกนอกจากนี้ยังสังเกตภูมิประเทศและประเมินทิศทางการเดินทาง ทุกๆครึ่งวันเขาจะหยุดพักเพื่อป้องกันไม่ให้จิตวิญญาณของเขาอ่อนล้า
ระหว่างทางไปข้างหน้าเจียงอี้ก็ปะทะกับปีศาจทะเลบางครั้ง พวกมันทั้งหมดอยู่ระดับสองหรือไม่ก็ระดับสาม ไม่มีราชันปีศาจอีกแล้ว การจัดการกับปีศาจทะเลระดับต่ำนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา และทุกอย่างก็สงบสุขหลังจากเดินทางมานานกว่าหนึ่งวัน
โฮก!โฮก!
ในตอนบ่ายของวันที่สองเสียงคำรามก็ดังก้องมาจากทางใต้ เจียงอี้ตกใจและย้ายร่าฉับพลันไปด้านหน้าทันที เขายืนอยู่บนแนวปะการรังและมองไปทางทิศใต้
ฟึ่บ!
ร่างยักษ์สีแดงเหลืองพุ่งมาจากระยะไกลก่อนที่มันจะเข้ามาใกล้ กลิ่นอายอันทรงพลังก็มาถึงก่อนตัวมันเสียอีก อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ไม่ได้มีความตื่นตระหนกใด เขายิ้มและตะโกนออกไป “ฮ่าฮ่า ราชันอสูร ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ตาย!”
“เหอะเหอะ!”
สัตว์หยาจื้อบินมาอยู่เหนือเจียงอยู่อย่างภูมิใจและพูดว่า“เพียงแค่กุ้งตัวเล็กๆและปูสองตัว ข้าฆ่ามันโดยไม่ต้องพยายามใดๆ หากตัวอื่นไม่วิ่งเร็วขนาดนั้นข้าก็คงจบชีวิตมันไปแล้วเช่นกัน พวกมันกล้ามาต่อกรกับข้าด้วยพลังอันน้อยนิดนั่นได้อย่างไรกัน!”
“ไม่ต้องพยายามใดๆ?”
เจียงอี้ยิ้มออกมาเขาจ้องมองไปที่ก้นของหยาจื้อและเห็นรอยแผลเป็นที่ลึกมาก แม้ว่าจะไม่มีเลือดแต่อาการบาดเจ็บก็ยังไม่ได้หายดีนักหลังจากผ่านมาหลายวัน ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่าบาดแผลนั้นร้ายแรงเพียงใด?
“เจ้ามองอะไร?ถ้าไม่ขึ้นมา ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แหละ”
สัตว์อสูรหยาจื้อเริ่มโกรธเพราะความอับอายขายขี้หน้าและลอยขึ้นไปในอากาศเจียงอี้ยิ้มเบาๆและย้ายร่างไปที่หลังของมันทันที จากนั้นเขาก็ถามว่า “ราชันอสูร ทำไมพวกปีศาจทะเลและราชันปีศาจจึงได้โจมตีพวกเรากัน? สถานที่นี้เป็นทะเลส่วนลึกหรอ? หลังจากข้าหนีไปได้หน่อยเดียวก็พบราชันปีศาจอีกตัว แล้วข้าก็ไปยังทะเลที่ประหลาดมากๆมาด้วย แถมเกือบตายอยู่ที่นั่นแล้ว”
สัตว์อสูรหยาจื้อกำลังจะบินไปข้างหน้าทันทีอย่างไรก็ตาม หลังจากที่มันได้ยินคำพูดของเจียงอี้ มันก็หันมาพูดอย่างมืดหม่นว่า “เจ้าเจอปีศาจทะเลอีกตนและเข้าสู้พื้นที่ลึกลับ? ใช่ทะเลมรณะหรือไม่? มันมีสายฟ้าฟาดลงมาในยามกลางคืนด้วยใช่หรือเปล่า?”
“ทะเลมรณะ?”
เจียงอี้ไม่เข้าใจและกระพริบตาอย่างสับสนเขาบอกราชันสัตว์อสูรเกี่ยวกับเรื่องราวที่เขาเจอมายกเว้นส่วนที่เจียงเสี่ยวนู๋ช่วยเขากับผู้อาวุโสเอ่อเอาไว้
เจียงเสี่ยวนู๋สามารถแปลงกายและเพิ่มความแข็งแกร่งของนางไปสู่ระดับสูงได้อย่างน่าตกใจภายในเวลาสั้นๆหากเรื่องนี้แพร่ไป ทั่วพิภพคงจะต้องตกใจอย่างแน่นอน เขาไม่ต้องการให้เสี่ยวนู๋เป็นอันตรายดังนั้นเขาจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ สาวใช้คนนี้เป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น
“เจ้าหนูเจ้าสามารถออกมาจากทะเลมรณะได้จิรงๆหรือ? เจ้ามันช่างประหลาดเสียจริง!”
ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวมันอ้าปากกว้างๆของมันและพูดว่า “เมื่อตอนที่ข้าออกมาจากพระราชวังจักรวาล นายท่านส่งข้อความมาบอกข้าให้ระวังสถานที่สามแห่งในทวีปแห่งนี้ ที่แรกคือทะเลมรณะ ที่ที่สองคือยอดเขาเทพธิดาแห่งหุบเขาสามหมื่นลี้ และที่สุดท้ายคือก้นบึ้งทะเลแห่งความฝัน นายท่านกล่าวว่าสถานที่พวกนั้นจะพรากชีวิตข้าไปแน่นอนหากข้าก้าวเข้าไป ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะออกมาได้!”
“เอ่อ….”
เจียงอี้กระพริบตาอย่างสงสัยและถามว่า“จอมเวทย์สิ้นชีพไปหลายปีก่อนแล้ว เขารู้จักสถานที่ในพิภพได้ดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”
“เหอะเหอะ!”
ราชันอสูรยกหัวของเขาอย่างภูมิใจและกล่าวว่า“นายท่านนั้นเป็นอัจฉริยะแห่งสวรรค์และเข้าใจเวทย์มนตร์โบราณที่ทรงพลังได้เป็นสิบประการ หนึ่งในนั้นสามารถมองดูทั้งทวีปและทะเลรอบๆได้อย่างง่ายดาย เขาเกรงว่าเจ้าอาจตกอยู่ในอันตรายและเต็มใจที่จะเผาผลาญพลังวิญญาณที่เหลืออยู่น้อยนิดเพื่อฝึกฝนเวทย์มนตร์เพื่อมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้า…”
“มองดูทั้งทวีป!”
เจียงอี้ประหลาดใจกับความลับนี้อาคมนี้มหัศจรรย์มากและได้ถูกฝึกฝนในตอนที่จอมเวทย์ตายไปแล้ว หากเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีพลังมากมายเท่าใดกันนะ?
เวทย์โบราณนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด!ดูเหมือนว่าข้าควรไปพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์ทันทีหลังจากกลับจากเกาะดาวตกเสียแล้ว มิฉะนั้น หากมีสิ่งใดที่ทำให้เสียเวลาเกิดขึ้น เวทย์มนตร์อาจหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล
เจียงอี้ตัดสินใจแล้วจากนั้นสัตว์อสูรหยาจื้อก็พูดว่า “ส่วนการโจมตีจากปีศาจทะเลนั้นน่าสงสัยนัก มันคงจะเป็นศัตรูของเจ้าที่เจ้าไปทำให้พวกมันขุ่นเคือง มิฉะนั้นราชันปีศาจเหล่านี้จะไม่ลงมือพร้อมกันและพวกปลาเล็กปลาน้อยคงไม่กล้ายั่วยุข้า หืมหืม เจ้าหนู เจ้าสร้างศัตรูไว้เยอะเหลือเกินนะ หากเจ้าไม่ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง บางทีเจ้าอาจจะได้ตายไปในวันใดวันหนึ่ง”
ฟึ่บ!
เมื่อมันกล่าวจบหยาจื้อก็กลายเป็นเหมือนลำแสงพุ่งตรงไปยังทางเหนือ มันรวดเร็วกว่าเจียงอี้มากนัก
และใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น!
เกาะยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหน้าพวกเขาเกาะแห่งนี้มีสภาพทางภูมิศาสรฺที่ประหลาดมาก มันดูเหมือนลูกบอลกลมๆลอยอยู่บนทะเลและมีอุกกาบาตขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
“เจียงอี้ยินดีต้อนรับสู่เกาะดาวตก!”
ทันใดนั้นเสียงที่ไม่มีตัวตนก็ดังออกมามันเป็นเสียงที่น่ารื่นรมย์และเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ
อย่างไรเสีย!
ในขณะนี้เจียงอี้มอวตรงไปที่รูปปั้นหยกขาวขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนจัตุรัสขนาดใหญ่ด้านล่างราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงใดๆ
รูปปั้นนี้เป็นเป็นหญิงนางหนึ่งที่มีความงามอันน่าทึ่งนางมองมาแต่ไกลและเงยคางขึ้นมาอย่างภูมิใจ รอยยิ้มอันเลือนลางเผยออกมาจากปากของนาง นางช่างงดงามยิ่งนัก
บทที่ 388 แม่ของเจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่
เกาะดาวตกมีขนาดใหญ่มากแต่มีสิ่งปลูกสร้างเพียงไม่กี่แห่ง เมื่อมองไปบนท้องฟ้าจะสามารถเห็นวังหยกอันงดงามทอดยาวออกไปอย่างเป็นระเบียบ
สถานที่แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับวังหลวงของอาณาจักรเสินหวู่เพียงแต่ใหญ่กว่านับสิบเท่า
ภายในเกาะดาวตกไม่ได้มีประชากรมากนัก อาจจะมีเพียงแค่หนึ่งแสนกว่าคนเท่านั้น อีกทั้งคนทั้งหมดยังเป็นสตรีเพศ!
หอดาราสุ่ยเยว่ก่อตั้งขึ้นมานานนับหมื่นปีและรับเฉพาะศิษย์เพศหญิงโดยที่ไม่เคยรับศิษย์เพศชายมาก่อน กล่าวคือ สถานที่แห่งนี้เปรียบได้กับอาณาจักรที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออิสตรีโดยเฉพาะและเป็นอิสระจากโลกภายนอก!
ศิษย์ของหอดาราสุ่ยเยว่มักจะเดินทางไปทั่วยุทธภพเพื่อรับอุปการะเด็กสาวกำพร้าที่มีพรสวรรค์และนำพวกนางกลับมาฝึกฝนยังเกาะดาวตก
โดยทั่วไปแล้วหอดาราสุ่ยเยว่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากนัก หากศิษย์คนใดต้องการที่จะแต่งงานและออกเรือน พวกนางจะได้รับอิสระให้ทำมันเพียงแต่ต้องแลกมาด้วยการลิดรอนสถานะศิษย์
ในขณะเดียวกัน หากศิษย์คนใดลักลอบพาบุรุษเพศเข้ามาในเกาะโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งตัวนางและชายผู้นั้นจะต้องมีจุดจบที่น่าสังเวช
เมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อน เคยมีศิษย์อัจฉริยะผู้หนึ่งออกท่องยุทธภพและบังเอิญตกหลุมรักนายน้อยจากตระกูลใหญ่ พวกเขาทั้งสองมีสัมพันธ์กันจนวันหนึ่งหญิงสาวเกิดตั้งครรภ์
จากนั้นศิษย์หญิงผู้นั้นก็ได้รับการติดต่อจากหอดาราสุ่ยเยว่เพื่อเรียกตัวกลับ ในขณะนั้นนางไม่มีทางเลือกและต้องเดินทางกลับต้นสังกัดทันที
ฝ่ายชายเองก็เกิดความกังวลและเป็นห่วงคนรักกับลูกในท้อง ทั้งสองจึงวางแผนกันและแอบเดินทางมายังเกาะดาวตกอย่างลับๆ
อย่างไรก็ตาม… พวกเขาทั้งคู่ถูกจับได้และถูกสั่งประหารชีวิตทันที!
เมื่อหัวหน้าตระกูลของฝ่ายชายทราบเรื่อง เขาโกรธแค้นมากและพยายามเกลี้ยกล่อมราชาแห่งอาณาจักรเป่ยเหลียงเพื่อให้บุกโจมตีเกาะดาวตก
แต่แล้วทุกอย่างกลับพลิกผัน วันรุ่งขึ้น ตระกูลนี้ถูกกวาดล้างอย่างลึกลับและไม่มีผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
การกระทำดังกล่าวทำให้ราชาแห่งอาณาจักรเป่ยเหลียงแค้นเคือง เขาออกคำสั่งให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในขณะนั้นให้เกณฑ์ทหารหมื่นนายและกรีธาทัพไปล้อมเกาะดาวตก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนับจากนั้น ทั้งเกาะดาวตกและหอดาราสุ่ยเยว่ยังคงอยู่ดี ในขณะที่ราชาของอาณาจักรเป่ยเหลียงไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ออกมาพูดอีกเลย
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว หอดาราสุ่ยเยว่ได้กลายเป็นที่เล่าลือกันไปทั่วโลก ไม่รู้ด้วยเหตุใด เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มทั่วทั้งทวีปต่างก็ปรารถนาที่จะแต่งงานกับหญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่เพราะนับได้ว่าเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เองสุ่ยเชียนโหรวจึงกลายเป็นที่หมายปองของบรรดานายน้อยชั้นสูงมากมาย
ยังไม่หมดแค่นั้น—!
เมื่อพูดถึงสุ่ยเชียนโหรว นางมาจากที่ไหนกันแน่? เรื่องนี้เองก็เคยเป็นหัวข้อพูดคุยที่ได้รับความนิยมมากในทวีปเทียนชิง
ตามที่หอดาราสุ่ยเยว่ป่าวประกาศออกมา สุ่ยเชียนโหรวเป็นบุตรบุญธรรมของสุ่ยโย่วหลาน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่เชื่อเรื่องนี้
สุ่ยโย่วหลานปฏิบัติกับสุ่ยเชียนโหรวดีเกินไป ดังนั้นบางคนจากหอดาราสุ่ยเยว่จึงคิดว่าอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่าง
หากว่าสุ่ยเชียนโหรวเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสุ่ยโย่วหลาน เรื่องนี้จะน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก
ในโลกใบนี้ บุรุษเพศคนไหนกันที่สามารถทำให้สุ่ยโย่วหลานตกหลุมรักจนกระทั่งทำให้นางให้กำเนิดบุตรของเขาออกมาได้กัน?
ยังมีข่าวลืออีกว่าสุ่ยโย่วหลานอุ้มท้องถึงสิบเดือนก่อนจะคลอดบุตรออกมาและเลี้ยงดูนางด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีชายหนุ่มลึกลับผู้นั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใครและมีภูมิหลังเช่นไร กระทั่งสุ่ยโย่วหลานก็ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามันคือข่าวลือหรือว่าเรื่องจริงกันแน่
เรื่องเหล่านี้เองก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกสับสนเช่นกัน
แน่นอนว่าเขาไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจร่างเงานับสิบของอิสตรีที่ทะยานออกมาจากจัตุรัสตรงหน้า
สมาธิทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับรูปปั้นหยกสีขาวและเหม่อมองมันด้วยสภาวะสงบนิ่ง
กลุ่มของลูกศิษย์หญิงทะยานเข้ามาใกล้ พวกนางแต่ละคนล้วนงดงามราวกับดอกไม้และยังครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าชื่นชม
ในกลุ่มนั้นผู้ที่ทรงพลังที่สุดคือขอบเขตเสินโหยวขั้นที่สาม พวกนางกำลังอยู่บนตัวของนกกระเรียนสีขาวด้วยท่าทีอันสง่างามราวกับเทพธิดา
“คารวะท่านอุปราช!”
พวกนางไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะเกรงกลัวต่อกลิ่นอายของสัตว์อสูรหยาจื้อและโค้งคำนับอยู่ไกลๆ ขณะเดียวกันดวงตาของพวกนางก็ทำการสอดส่องและสำรวจร่างกายของเจียงอี้ด้วยความสนใจ เพราะอย่างไรเสียชายหนุ่มผู้นี้คือบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปอีกทั้งยังได้ชื่อว่าสุดยอดอัจฉริยะในรอบหมื่นปี
ถึงอย่างนั้นเจียงอี้ก็ไม่ได้ตอบโต้กลับและยังคงพิจารณารูปปั้นตรงหน้าต่อ แต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นของหญิงสาวบางคน เขาก็เรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจพวกนางเช่นเดิมและใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตา ทำให้ร่างของตัวเองไปปรากฏตัวยังจัตุรัสด้านล่างในวินาทีต่อมา
บริเวณแถวนั้นไม่ได้มีศิษย์หญิงอยู่มากนัก แต่เพราะเสียงของสุ่ยโย่วหลานจึงทำให้พวกนางมารวมตัวกันมากขึ้นเพื่อที่จะมาเจอกับชายหนุ่มในตำนานผู้นั้น
แม้ว่าจะไม่ใช่หญิงสาวทุกคนที่งดงามราวกับนางฟ้า แต่เพราะมีหอดาราสุ่ยเยว่หนุนหลัง สถานะของพวกนางก็ไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะเทียบได้
ถึงอย่างนั้นเจียงอี้ก็หาได้สนใจไม่ เวลานี้เขายืนอยู่ห่างจากรูปปั้นสิบห้าเมตร ขณะเดียวกันก็กวาดตามองรูปปั้นจนไปถึงส่วนใบหน้า แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ไม่กี่อึดใจต่อมา ดวงตาของเขาก็เริ่มร้อนขึ้นและค่อยๆมีน้ำตาไหลออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นรูปปั้นนี้… และเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้านี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขากลับรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยและรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ตุบ!
ทันใดนั้นหัวเข่าของเจียงอี้ก็กระแทกลงกับพื้น จากนั้นก็ก้มกราบรูปปั้นในขณะเดียวกันน้ำตาก็ยังคงไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
“เอ่อ…”
บรรดาหญิงสาวที่รวมตัวต่างก็อ้าปากกว้างด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้า
รูปปั้นนี้คือของใครกันแน่? คำถามนี้เองที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของบรรดาลูกศิษย์ของหอดาราสุ่ยเยว่มาหลายปี เมื่อยี่สิบปีก่อน สุ่ยโย่วหลานนำรูปปั้นของหญิงสาวผู้นี้มาตั้งไว้กลางจัตุรัสและไม่ได้อธิบายถึงที่มาของนาง แต่นางยังคงขอให้เหล่าลูกศิษย์มาสักการะทุกเดือน
ตัวตนของหญิงสาวเจ้าของรูปปั้นยังคงเป็นปริศนา แต่เมื่อเห็นการกระทำและท่าทีที่เจียงอี้มีต่อรูปปั้นนาง ศิษย์หญิงบางคนจึงฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาและเริ่มสงสัยว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับหญิงสาวผู้นี้หรือไม่?
อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าเจียงอี้ไม่เคยเห็นรูปปั้นนี้หรือรู้จักเจ้าของใบหน้าที่ใช้เป็นแบบปั้นมาก่อน แต่ภายในใจของเขากลับบังเกิดความรู้สึกอันแรงกล้าและตระหนักถึงตัวตนของนางได้ทันที
ใช่แล้ว นางคือแม่ของเขา—อีเพียวเพียว!
ความทรงจำเกี่ยวกับอีเพียวเพียวในหัวของเจียงอี้นั้นเลือนรางมาก แต่เมื่อมองมายังรูปปั้น จู่ๆใบหน้าของมารดาเขาก็เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงสลักมันเอาไว้ในใจ
สุ่ยโย่วหลานไม่ได้โกหก แม่ของเขาทิ้งบางสิ่งไว้บนเกาะดาวตกจริงๆ สำหรับเขาแล้วการเดินทางครั้งนี้มันคุ้มค่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
“เจียงอี้ลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”
เจียงอี้ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาลอยเข้ามาในหัว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นพลางเช็ดน้ำตาและเดินตรงไปยังห้องโถงหลักทางทิศเหนือด้วยท่าทีราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ท่านอุปราช!”
ที่ด้านนอกของห้องโถงหลักมีบรรดาศิษย์หญิงและสองผู้อาวุโสยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในสองผู้อาวุโสยังเป็นหญิงชราที่เจียงอี้เคยพบตอนที่ออกตามหาจิ้งจอกน้อยเสี่ยวเฟยในภารกิจครั้งล่าสุด
พวกนางทั้งหมดต่างโค้งคำนับให้เขาตลอดทาง จากนั้นผู้อาวุโสชราท่านนั้นก็นำทางเจียงอี้เข้าไปยังห้องโถง และทิ้งกลุ่มหญิงสาวที่ดวงตากำลังเปล่งประกายไว้เบื้องหลัง
ห้องโถงแห่งนี้ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา พวกเขาเดินผ่านห้องโถงใหญ่อีกสองแห่งจนในที่สุดก็มาถึงตำหนักที่มีขนาดใหญ่โต
“ท่านอุปราช ท่านสามารถเข้าไปด้วยตัวของท่านเอง บ่าวผู้นี้ต้องขอประทานอภัยที่ไม่สามารถไปส่งท่านได้ หากปราศจากคำสั่งจากนายหญิง พวกเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในศาลาฟ้ากระจ่างเจ้าค่ะ”
หญิงชรากล่าวพลางโค้งตัวลงต่ำ
“ศาลาฟ้ากระจ่าง? เป็นชื่อที่น่าเกรงขามนัก”
เจียงอี้ก้าวเข้าไปในตำหนักและมองเห็นบันไดวนของชั้นแรก ศาลาฟ้ากระจ่างมีทั้งหมดเก้าชั้น เมื่อเขาเดินไปถึงชั้นบนสุดเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสุ่ยโย่วหลานจากที่นั่น
เจียงอี้ก้าวต่อไป จากนั้นเขาก็มองเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างและกำลังชมวิวทิวทัศน์ด้านนอก
เจียงอี้เคยเห็นภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานสองครั้ง แต่เมื่อมาพบกับตัวจริง เขาก็ตระหนักได้ว่านางงดงามกว่าภาพฉายเหล่านั้นมาก
หากว่าซูรั่วเสวี่ยมีภาพลักษณ์ที่เย็นชาและสูงส่งเหมือกับดอกบัวหิมะ สุ่ยโย่วหลานก็คงจะเปรียบได้กับดอกโบตั๋นที่สง่างามและไร้ที่ติ
แต่ก่อนที่เจียงอี้จะทันได้กล่าวอะไรออกไปนั้น สุ่ยโย่วหลานก็หันหน้ากลับมาและเอ่ยขึ้นมาก่อน
“รูปปั้นนั้นคือแม่ของเจ้าจริงๆ นอกจากนี้… เจ้ายังคิดถูก แม่ของเจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่”