บทที่ 499 ทำลายสวรรค์
“คนเราควรมีจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ,มีความตั้งใจที่จะไม่มีวันสลายและมีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้!”
นี่เป็นสิ่งที่เจียงหยุนไฮ่สอนเจียงอี้และเขานั้นถูกเจียงหยุนไฮ่พร่ำสอนมาแต่ยังเล็กซึ่งมันก็ได้ทำให้เขาดื้อรั้นมากย้อนไปในตอนที่อยู่ตระกูลเจียงในเมืองเทียนอวี่ เขาเคยถูกคนอย่างเจียงหยูหู่รังแก แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้
เขาแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้พบคนที่แข็งแกร่งยิ่งเขาได้รับความกดดันมากเท่าใด ความแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเมื่อเขาสวนกลับ
เจียงอี้ไม่เคยเป็นคนที่กลัวความตายและหากผู้ใดยั่วยุเขาเขาจะยอมแลกทุกสิ่งเพื่อโค่นมันลง!
ก่อนที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรจะจากไปนางกล่าวว่าอย่าได้คิดยั่วยุโถงวรยุทธ นางกล่าวว่าเขาสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในทวีปได้ แต่ไม่ควรไปยุแหย่โถงวรยุทธ
หยุนฉิงเทียนยังบอกให้แม่เฒ่าบุปผาสีเงินส่งต่อข้อความมาว่าหากโถงวรยุทธทำอะไรมา เขาก็ควรอดทน!
ความจริงได้ถูกพิสูจน์แล้ว!
โถงวรยุทธน่ากลัวมากจริงๆและมันเป็นอิทธิพลที่เจียงอี้ไม่สามารถไปยั่วยุได้ผลที่ตามมาของการยั่วยุพวกเขาคือการที่กองทัพทั้งหมดของเขาต้องตายไปพร้อมกับเขา
หากเขาไม่เข้าร่วมเขาจะต้องตายและซูรั่วเสวี่ยและเจียงเสี่ยวนู๋ก็จะต้องตาย ผู้คนในราชวังจักรพรรดิก็จะต้องตาย และทหารด้านล่างที่ยังรอดอยู่ก็จะต้องตายเช่นกัน!
หากเขายอมจำนนเขาจะต้องส่งผนึกแห่งดวงจิตของเขาและกลายเป็นทาสของโถงวรยุทธ มันจะทำให้โถงวรยุทธสามารถควบคุมชีวิตและความตายของเขาได้ เขาจะต้องใช้ชีวิตราวสุนัขเฝ้าบ้านไปชั่วชีวิต
มันเป็นทางเลือกที่ยากเย็นนัก!
มันยากมากจนความคิดทั้งหมดในใจของเจียงอี้กำลังจะระเบิดออกมามันยากจนใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวและดูน่ากลัวอย่างยิ่ง มันยากมากจนดวงวิญญาณของเขาแทบจะแตกออกเป็นส่วนๆ
“อ๊ากกอ๊ากกก อ๊ากกกกก!”
เขาจับหัวของตัวเองขณะที่ตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้าตลอดเวลาเสียงของเขาดังมากอย่างน่าตกใจจนมันดังก้องไปในหูของทุกคนที่อยู่ด้านล่าง เสียงร้องนั้นดูเจ็บปวด มืดมัวและกราดเกรี้ยว!
หากว่า….ความโกรธของเขาสามารถลุกเป็นไฟได้,ป่านนี้เมืองเทียนชิงทั้งเมืองคงจะถูกเผาไปด้วยเพลิงพิโรธของเขาแล้วเป็นแน่
ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงเลือดและผมสีแดงของเขาสะบัดพลิ้วอยู่กลางท้องฟ้าราวกับงูสีแดงตัวเล็กๆกลิ่นอายสังหารของเขาพวยพุ่งออกมาและเขาหวังว่าเขาจะสามารถสังหารศัตรูทั้งหมดของเขาไปได้และบดขยี้ท้องฟ้านี่ซะ!
“ไม่ไม่! ไม่เข้าร่วม! ข้าจะไม่ยอมเข้าร่วม! ข้าจะไม่ยอมสิโรราบ! หากนี่คือโชคชะตาของข้า เจียงอี้ผู้นี้ เช่นนั้นข้าก็จะฟาดฟันโซ่ตรวนแห่งชะตานี่ซะ! หากสวรรค์กำลังเล่นกับข้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำลายสวรรค์ซะ! ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
เจียงอี้ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธและเมื่อเขาตะโกนคำว่าฆ่า คำสุดท้ายออกมาก็มีบางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าที่อยู่ห่างหลายสิบกิโลเมตรก็พุ่งสูงขึ้นขณะที่เมฆลึกลับหลากสีปกคลุมไปทั่วทุกทิศทางเบื้องบนสวรรค์เก้านทีมีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์สีม่วงฟาดผ่าทะลุท้องฟ้าเข้าใส่เจียงอี้!
“เหอ…”
ราวกับว่าเขตอากาศของเมืองเทียนชิงทั้งหมดได้แข็งตัวลงราชันสัตว์อสูรกว่าเก้าสิบตนหยุดการเข่นฆ่าและมองดูสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วยความหวาดกลัว พลังฟ้าดินทำให้ราชันสัตว์อสูรและจิตวิญญาณของจอมยุทธทั้งหมดต่างสั่นสะท้าน
“เมฆอาถรรพ์หลากสี!ความผิดปกติของฟ้าดิน! น่ะ นี่….”
สายตาของผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความตกตะลึงขณะที่พวกเขามองไปยังท้องฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองมีบันทึกมากมายเกี่ยวกับความผิดปกติของฟ้าดินในโถงวรยุทธ และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นก็คือตอนที่มีผู้ที่ทะลวงขอบเขตเทียนจุนได้
การทะลวงขอบเขตเทียนจุนนั้นหมายความว่าผู้ใดผู้หนึ่งเข้าถึงรูปแบบเต๋าในระดับหนึ่งแล้วพวกเขาได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับพลังจากดาราเก้าสวรรค์ และในตอนนี้เจียงอี้ก็ได้ติดต่อกับสวรรค์และโลก นี่มันอาจหมายความว่าเขาได้ทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนแล้ว?
“ไม่เขาไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทียนจุน!”
การแสดงออกที่สงบนิ่งของตู๋กูฉิวนั้นเริ่มขยับในขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเขามีสีหน้าที่เคร่งขรึมและหลังจากมองไปใกล้ๆอีกไม่กี่ครั้ง เขาก็กัดฟันและพูดว่า “เจียงอี้อาจเข้าถึงเจตจำนงสังหารขั้นที่ห้าและไปถึงระดับขั้นที่สมบูรณ์ เจตจำนงนั้นแต่เดิมแล้วเป็นรูปแบบเต๋าประเภทหนึ่ง และเมื่อเข้าถึงขั้นสูงสุดแล้ว สวรรค์และโลกจะมอบอำนาจพลังให้แก่ผู้ฝึกฝนด้วยพลังของดาราเก้าสวรรค์”
“เจตจำนงสังหารขั้นที่ห้า?”
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงต่างมองหน้ากันด้วยสายตาที่หวาดกลัวในประวัติศาสตร์ เมื่อตอนที่ราชันสวรรค์สังหารได้เข้าถึงเจตจำนงสังหารถึงขั้นที่ห้า เขาสามารถใช้มันปราบปรามนักสู้ในขอบเขตที่เทียบเคียงกันได้อย่างง่ายดาย พลังแก่นแท้ของเจียงอี้ได้มาถึงขอบเขตจินกังแล้วและหากมันเป็นเรื่องจริง นั่นก็แสดงว่าพวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริง
“ฆ่า!”
พวกเขาทั้งสองกัดฟันและตัดสินใจที่จะลงมือเมฆลึกลับบนท้องฟ้าค่อยๆเลือนหายไปขณะที่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จากเก้าสวรรค์ก็หายเข้าไปในร่างของเจียงอี้
ร่างของเจียงอี้ดูเหมือนอยู่ในสภาพที่กำลังเข้าสู่ห้วงสมาธิซึ่งมันเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะลอบโจมตีมิฉะนั้นเมื่อเจียงอี้ตื่นขึ้นมา ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีก?
ฟึ่บ!
พวกเขาทั้งสองกลายเป็นภาพหลังและบินไปทางเจียงอี้คิ้วของตู๋กูฉิวเลิกขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หยุดพวกเขาเอาไว้ มันอาจจะดีแล้วที่ให้พวกเขาทั้งสองไปสำรวจสถานการณ์ก่อน แก่นแท้พลังในมือของเขากำลังสั่นไหวขณะที่เขาพร้อมที่จะปลดปล่อยการโจมตีขั้นสูงสุดทุกเมื่อ
“ท่านอุปราชระวัง!”
ทหารอาณาจักรต้าเซี่ยตะโกนออกมาเมื่อพวกเขาเห็นเจียงอี้หลับตานิ่งงันอยู่กลางอากาศราวกับไม่รู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองกำลังเข้ามาใกล้ๆเขา
สามกิโลเมตร,สองกิโลเมตร, หนึ่งกิโลเมตร!
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงเข้ามาใกล้เจียงอี้อย่างรวดเร็วพวกเขาไม่ได้โจมตีระยะไกลเนื่องจากพวกเขามีโอกาสสังหารเจียงอี้ในกระบวนท่าเดียวสูงหากพวกเขาเข้าไปใกล้กว่านั้น
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากเจียงอี้สามร้อยเมตรและเห็นว่าเจียงอี้ยังไม่รู้สึกตัวดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้นพร้อมยกฝ่ามือขึ้น พวกเขากำลังจะใช้งานรูปแบบเต๋าที่ทรงพลังที่สุด
บรึฟ!
ทันใดนั้นเองดวงตาของเจียงอี้ก็เปิดขึ้น ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีแดงเลือดของเจียงอี้ทำให้หัวใจของพวกเขาทั้งสองหวั่นไหว จากนั้นกลิ่นอายที่คล้ายกับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของเขาซึ่งได้ปกคลุมผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงอย่างรวดเร็ว
“ทั้งสองคนรีบถอยออกมา….”
ตู๋กูฉิวตะโกนออกมาและรีบดิ่งขึ้นไปราวกับสายฟ้าเขาไปได้ครึ่งทางและก่อนที่เขาจะตะโกนจบ ร่างของเขาก็หยุดอยู่กลางอากาศ เขาเผยแววตาแห่งความหวาดกลัวออกมาเพราะกลิ่นอายของเจียงอี้ได้ปกคลุมเขาแล้ว
“เหอ!”
กลิ่นอายของเจียงอี้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็วและปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองเทียนชิงในขณะนี้ห้วงอากาศของเมืองทั้งเมืองราวกับถูกตรึงเอาไว้
เมืองทั้งเมืองเงียบสงัดและได้ยินแม้เสียงเข็มหล่นมันเงียบงันอย่างน่ากลัว!
“เจตจำนงขั้นที่ห้ามันน่ากลัวเช่นนี้จริงหรือ?”
จีทิงยวี่ที่อยู่ในอาคารโถงวรยุทธกำลังสั่นไปด้วยความกลัวขณะที่นางกัดฟันพูดออกมานางมองไปยังลูกแก้วด้วยความหวาดกลัวและมีสีหน้าที่ขมขื่นขณะที่นางมองเห็นเจียงอี้ยืนอยู่กลางอากาศอย่างภาคภูมิ
เจียงอี้อยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าและอยู่ห่างจากโถงวรยุทธมากแต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่ากลัว เจียงอี้นั้นเป็นดั่งองค์เทพที่อยู่ยงคงกระพันและไม่มีผู้ใดที่จะต่อต้านเขา
มันเหมือนกับเหล่าขอบเขตฉูติ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับขอบเขตจินกังเมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังระเบิดกลิ่นอายออกมา เหล่านักสู้ขอบเขตฉูติ่งจะกล้าฟันเขาแม้ว่าพวกเขาจะมีกระบี่หรือ?
“ท่านประมุขใหญ่,หนีไปเร็วเจ้าค่ะ!”
แม้ว่าใจของจีทิงยวี่จะอยู่ในความหวาดกลัวและนางก็แทบจะหายใจไม่ออกใต้แรงกดดันมหาศาลนี้แต่นางก็ยังคงกัดฟันแน่นและตะโกนใส่ลูกแก้วมือของนางเปล่งประกายด้วยแก่นแท้พลังขณะที่นางใช้แรงทั้งหมดกระแทกเข้าใส่ลูกแก้วนั้น
บรึฟ!
เมื่อลูกแก้วสว่างขึ้นโถงวรยุทธทั้งหมดก็เปล่งประกายเช่นกัน กลิ่นอายอันทรงพลังได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากโถงวรยุทธและตามมาด้วยแสงสีขาวที่พุ่งออกมาจากหลังคาและตรงไปทางเจียงอี้อย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้มีสีหน้าที่ไร้อารมณ์ขณะที่ร่างของเขานั้นเหมือนกับธารน้ำแข็งหมื่นปีเขาสาดเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ใส่ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงก่อนที่เขาจะหายไป
“อ๊ากกกก!”
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงอยู่ห่างจากเจียงอี้เพียงสามร้อยเมตรหลังจากถูกปกคลุมด้วยเจตจำนงสังหารของเจียงอี้ แก่นแท้พลังของพวกเขานั้นแปรปรวนและแขนขาก็อ่อนเปลี้ย แล้วพวกเขาจะตอบสนองได้อย่างไรกัน? พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมองทะเลเพลิงที่กำลังพุ่งมาทางพวกเขา
ฟรึ่บ!
เมื่อเจียงอี้ย้ายร่างฉับพลันความกดดันนั้นก็หายไปเช่นกันซึ่งมันทำให้ตู๋กูฉิวขยับได้ เขาไม่ลังเลและไม่ได้สนใจผู้อาวุโสทั้งสองนั้นเลย เขาไม่สนใจเจดีย์ฝูงอสูรที่ลอยอยู่บนฟ้าและลงไปในอาคารโถงวรยุทธอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากอ๊ากกก!”
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงต้องการที่จะหนีแต่เจียงอี้ก็ไปปรากฏอยู่ไม่ไกลเจตจำนงสังหารยังคงปกคลุมพวกเขาเอาไว้ขณะที่ร่างกายของพวกเขาก็ลุกเป็นไฟและถูกเผาเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกระจายลงมาจากท้องฟ้าเมืองเทียนชิง
“ยังจะหนีอีกรึ?”
เจียงอี้เหลือบมองไปที่โถงวรยุทธและเผยความเย็นชาออกมาขณะที่เขาพุ่งไปที่โถงวรยุทธด้านล่างพลังที่น่ากลัวของเขานั้นทำให้หลิงเสวี่ยและคนอื่นๆยืนแทบไม่ได้ขณะที่พวกเขาทั้งหมดทรุดลงและคุกเข่าลงไป
บทที่ 500 ชายที่ข้ารักยิ่ง
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เจียงอี้อยู่กลางอากาศขณะที่เขาผ่าดาบมังกรเพลิงของเขาไปที่โถงวรยุทธภายใต้เจตจำนงสังหาร ไม่มีผู้ใดในเมืองเทียนชิงสามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากพวกเขาถูกตรึงกันหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ตู๋กูฉิวจะเข้าไปหลบในโถงวรยุทธ?
ตูม!ตูม!
โถงวรยุทธมีม่านพลังขนาดเล็กเมื่อมังกรเพลิงของเจียงอี้ปะทะเข้ากับม่านพลังนั้นมันก็ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่และทำให้ม่านพลังสั่นไหวตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้หวั่นไหวเลย ดูเหมือนว่าม่านพลังจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟั่บ!
เจียงอี้ฟาดดาบมังกรเพลิงของเขาไปสามครั้งติดต่อกันแต่กำแพงก็ยังคงนิ่งสงบอยู่
เขาคิดบางสิ่งได้และหันดวงตาสีแดงเลือดของเขามองไปยังราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดที่ด้านตะวันตกของเมืองในเมื่อโถงวรยุทธจะไม่ถูกทำลายได้ในเวลาอันสั้น เช่นนั้นเขาก็ต้องสังหารราชันสัตว์อสูรให้หมดเสียก่อน ไม่ว่าจะยังไง ประมุขใหญ่โถงวรยุทธก็ถูกตรึงจากเจตจำนงสังหารและทำให้เขาไม่กล้าที่จะออกมา
ราชันสัตว์อสูรเหล่านี้น่ากลัวเกินไปและหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกองทัพที่เหลืออาจถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าระวังตัวไว้ก่อนดีกว่าและตัดสินใจที่จะจัดการกับเหล่าราชันสัตว์อสูรก่อน
ฟึ่บ!
เขาไม่กล้าย้ายร่างฉับพลันเพราะเจตจำนงสังหารของเขาจะหายไปและตู๋กูฉิวอาจจะหนีไปได้ร่างของเขาได้กลายเป็นภาพหลังขณะที่พุ่งตรงไปทางตะวันตกของเมือง ดาบมังกรเพลิงของเขาก็กลายเป็นภาพหลายภาพขณะที่เขาปักมันลงไปที่หัวใจของราชันสัตว์อสูร
ปัง!
ราชันสัตว์อสูรมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งดาบมังกรเพลิงอาจทำให้ราชันสัตว์อสูรกระเด็นออกไปไกลหลายเมตรแต่บาดแผลนั้นแม้จะไม่ตื้นแต่ก็ไม่ลึกเพียงพออยู่ดี ทหารบางส่วนจากอาณาจักรต้าเซี่ยเองก็ได้รับผลจากที่ราชันสัตว์อสูรล้มลงไปเช่นกัน แต่ก็ดีที่พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนตายไป
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เจียงอี้เก็บดาบมังกรเพลิงและเดินวนไปรอบๆนั้นและโยนทหารจากอาณาจักรต้าเซี่ยออกไปจากนั้นเขาก็ปล่อยฝ่ามือของเขาไปยังราชันสัตว์อสูร
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ไข่มุกวิญญาณเพลิงปล่อยเปลวเพลิงอเวจีก้อนเล็กๆออกมาซึ่งมันแผดเผาราชันสัตว์อสูรที่กำลังโหยหวนด้วยความเจ็บปวดหัวขนาดยักษ์ของมันกลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างรวดเร็ว
ความร้อนของเปลวเพลิงอเวจีสามารถทำลายสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ได้มันจึงเป็นเรื่องที่น่ายกย่องที่ร่างกายของมันยังทนอยู่ได้แม้เพียงพริบตาเดียวก็ตาม
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เจียงอี้ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปทั่วทิศตะวันตกเขาเหวี่ยงทหารออกไปก่อนที่เขาจะปล่อยเปลวเพลิงอเวจีอีกก้อนเพื่อเผาราชันสัตว์อสูรอย่างง่ายดาย
“ท่านอุปราช!”
ทหารส่วนใหญ่จากอาณาจักรต้าเซี่ยพากันคุกเข่าลงบนพื้นขณะที่บางคนทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์และตัวสั่นราวกับแมลงพวกเขากำลังมองไปที่เจียงอี้ด้วยความหวาดกลัว เมื่อเจียงอี้บินผ่านมา ปากของพวกเขาก็กระตุกเพราะต้องการที่จะยิ้มออกมา แต่มันก็จบลงด้วยความหวาดกลัว ในตอนนี้รอยยิ้มของพวกเขาน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาร้องไห้เสียอีก
เมื่อพวกเขาเห็นราชันสัตว์อสูรถูกเผาไปทั่วทั้งฝั่งตะวันตกก็ร้อนระอุและลุกเป็นไฟ ร่างกายของพวกเขามีเหงื่อไหลอาบออกมาราวกับว่าพวกเขาอยู่บนตะแกรงย่างเนื้อ แต่วิญญาณของพวกเขากลับพลุ่งพล่านไปด้วยความปิติยินดี
ราชาของพวกเขาไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังจริงๆ
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเขาโดดเด่นราวกับเทพเจ้าที่คอยปราบศัตรูเหล่านั้น!
“ฮู๊ฮู๊!”
เหล่าราชันสัตว์อสูรทั้งหลยต่างมองไปที่สหายที่กำลังถูกเผาดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่มีตนใดพูดออกมา ไม่มีราชันสัตว์อสูรตนใดร้องขอความเมตตาหรือยอมจำนนเลย ราชันสัตว์อสูรบางตัวแสดงสีหน้าราวกับว่าพวกมันกำลังจะได้รับการปลดปล่อยเมื่อพวกมันกำลังจะตายด้วยซ้ำ
เจดีย์ฝูงอสูรนี้เป็นเช่นไรที่ทำให้ราชันสัตว์อสูรเหล่านี้ต้องตายอย่างเต็มใจกัน?พวกมันยังเผยความโล่งใจออกมาด้วยซ้ำ การอยู่ในเจดีย์ฝูงอสูรนั้นทรมานมากหรือ? อืมม…หลังจากที่ข้าสังหารตู๋กูฉิวได้ ข้าจะเอาเจดีย์ฝูงอสูรนี้ไปลองดูแล้วกัน
เจียงอี้ประหลาดใจอย่างเงียบๆแต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้หยุดและยังคงเผาราชันสัตว์อสูรต่อไป เขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะจับราชันสัตว์อสูรเหล่านี้มาอยู่ใต้บัญชาของเขาอยู่แล้ว
เจตจำนงสังหารของเขาไปถึงขั้นที่ห้าแล้วและมันอยู่ในขั้นที่สมบูรณ์เขานั้นได้เป็นผู้คงกะพันในขอบเขตจินกังแล้ว แล้วราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดจะมีประโยชน์อะไรกับเขา?
ราชันสัตว์อสูรพวกนี้ได้สังหารทหารของเขาไปหลายแสนคนซึ่งมันทำให้เขาไม่สามารถรับตัวเหล่าราชันสัตว์อสูรพวกนี้มาได้เขาจะต้องล้างแค้นให้กับทหารที่ล้มตายไป….และสังหารศัตรูทั้งหมดเพื่อเซ่นสังเวยให้วิญญาณของพวกเขาไปสู่สุขคติ
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เปลวเพลิงอเวจีเผาผลาญราชันสัตว์อสูรไปทีละตนสายตาของเจียงอี้จะมองไปยังโถงวรยุทธอยู่ตลอดเวลาและตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆซึ่งมันจะทำให้เขาโล่งใจ
ตราบใดที่เขาสามารถสังหารตู๋กูฉิวและจับจีทิงยวี่ได้เจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆก็จะรอด
สิบ,ห้าสิบ….เก้าสิบ…..
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดกว่าเก้าสิบตนถูกกวาดล้างไปจนสิ้น
แม้ในช่วงเวลาหลายแสนปีของประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนชิงนั้นอาจมีราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดไม่ถึงร้อยตนแต่ในวันนี้ พวกมันนับร้อยตนได้มาอยู่ในเมืองเทียนชิงและเหตุการณ์สำคัญนี้ก็จะถูกกำหนดให้บันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเทียนชิงในตอนนี้นั้นควรค่าแก่การกล่าวขานไปชั่วนิรันดร์และจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นหลังในอนาคต
ตึกตึก ตึก!
หลังจากที่ได้สังหารเหล่าราชันสัตว์อสูรทั้งหมดไปแล้วเจียงอี้ก็หันไปเผชิญหน้ากับโถงวรยุทธที่จัตุรัสเมืองเทียนชิงและค่อยๆเดินไป ฝีเท้าของเขานั้นราวกับมัจจุราชที่กำลังจะพรากวิญญาณของผู้คนซึ่งมันก็ทำให้หลิงเสวี่ยและคนอื่นๆในจัตุรัสต่างรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด
ระดับความแข็งแกร่งของหลิงเสวี่ยอ่อนแอมากนางและจีทิงยวี่ต่างก็พึ่งพาศิลาสวรรค์เพื่อยกระดับขั้นให้มาถึงขอบเขตเสินโหยว
และตอนนี้นางกำลังคุกเข่าเพราะแรงกดดันอันน่ากลัวที่มาจากเจียงอี้ร่างกายอันบอบบางของนางกำลังสั่นไหวและผิวของนางก็ร้อนแดงฉ่าไปหมด หน้าอกของนางกระเพื่อมอย่างหนักและไหล่ของนางก็สั่นสะท้าน
อันที่จริงแล้วหากเป็นผู้อื่นที่มีความแข็งแกร่งเท่ากับนาง พวกเขาก็คงจะทรุดลงไปกับพื้นแล้ว นางได้อาศัยการอดทนที่ยากลำบากเพราะนางไม่ต้องการให้เจียงอี้เห็นนางในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ แม้ว่านางจะต้องตาย นางก็อยากจะตายอย่างมีศักดิ์ศรี
เมื่อหลิงเสวี่ยเห็นเจียงอี้กำลังเดินมานางก็ยิ้มออกมา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับนางที่จะยิ้มได้เมื่ออยู่ใต้ความกดดันของเจตจำนงสังหารนี้
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหลงใหลและความรู้สึกผิดนางพยายามที่จะขยับริมฝีปากแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงใดๆออกมาได้ แต่เจียงอี้ก็ยังคงรู้ว่านางต้องการที่จะพูดสิ่งใดจากรูปร่างการขยับปากของนาง
ลาก่อนชายที่ข้ารักยิ่ง ข้าไม่คู่ควรกับเจ้าในชาตินี้และมันเป็นเพราะหลิงเสวี่ยเอง ในชาติหน้าข้าหวังว่าข้าจะมีโอกาสได้เป็นผู้หญิงของเจ้า…..
“แค่ก!”
ทันใดนั้นหลิงเสวี่ยก็กระอักเลือดสีดำออกมาจากปากขณะที่ร่างของนางทรุดลงไปกับพื้น ดวงตาทั้งสองดวงของนางค่อยๆอ่อนล้าไป เจียงอี้นั้นเห็นร่องรอยของการพ้นจากบาปในส่วนลึกของดวงตาคู่นั้น
นางเป็นหญิงสาวที่งดงามที่เลือกจะจบชีวิตตัวเองในอายุยี่สิบปี
เจียงอี้หยุดฝีเท้าของเขาขณะที่ดวงตาสีแดงเลือดมองไปยังใบหน้าของหลิงเสวี่ยที่เต็มไปด้วยเลือดเขาไร้อารมณ์และเยือกเย็นอย่างน่ากลัว
เขามองไปยังหลิงเสวี่ยด้วยความงุนงงก่อนจะถอนหายใจออกมาอยู่นานจากนั้นเขาก็มองไปยังโถงวรยุทธที่กำลังเรืองรองนั่น
เนื่องจากมันมีม่านพลังจึงทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่สามารถเจาะทะลุผ่านเข้าไปสำรวจด้านในได้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น แต่เขาก็เชื่อว่าแม้ว่ามันจะมีม่านพลังกั้นเอาไว้แต่เจตจำนงสังหารของเขาก็ยังคงส่งผลต่อคนที่อยู่ข้างใน ความกดดันนั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและมันสามารถแผ่ซ่านผ่านทุกสิ่งได้!
“ตู๋กูฉิว,จีทิงยวี่ เตรียมตัวตายซะ!”
ดาบมังกรเพลิงของเขาเปล่งประกายออกมาขณะที่เขาฟาดมันลงไปที่โถงวรยุทธม่านพลังเล็กๆนี่จะแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว? มันจะแข็งแกร่งกว่าเกราะของเมืองเทียนชิงหรือเปล่า? แต่ตราบใดที่เขาสามารถทลายม่านพลังนี้ไปได้ คนทั้งหมดที่อยู่ข้างในนั้นจะต้องตาย
ตูม!ตูม!
ดวงตาสีแดงเลือดของเจียงอี้หรี่ลงเมื่อมังกรเพลิงนับหมื่นทำลายม่านพลังไปได้อย่างง่ายดายและทำให้โถงของวรยุทธระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆเขาสำรวจมองโถงวรยุทธสาขานั้นด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและพบว่าห้องโถงนั้นว่างเปล่า
ตู๋กูฉิว,จีทิงยวี่และคนอื่นๆหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอยจริงๆ?!
เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 499-500
บทที่ 499-500
Posted by ? Views, Released on กุมภาพันธ์ 10, 2022
, เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
Status: Ongoing
นิยายกำลังภายใน นิยายจีน นิยายจีนย้อนยุค นิยายจีนแปลไทย นิยายดราม่าเข้มข้น นิยายบู๊ล้างผลาญ นิยายผจญภัยมันๆ นิยายแฟนตาซี นิยายแฟนตาซีสนุกๆ แก้นแค้น
เรื่องย่อ
ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ
ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้
วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก
ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ
ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้
จึงได้อุบัติขึ้น!
หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง
เกลื่อนปฐพี!
หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!