บทที่ 509 อย่าโศกเศร้าเพราะข้าเลย
หลังจากที่ย่างสดเหล่าสมาชิกโถงวรยุทธหลายพันคนไปแล้วเจียงอี้ก็กวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปทั่วโถงวรยุทธอีกครั้ง และหลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอีกแล้ว เขาก็กลับมาและนำเจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆเข้าไปในราชวังจักรวาลก่อนที่จะบินกลับออกไป
ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บพวกเขาเพียงแค่ถูกป้อนยาชนิดหนึ่งที่ทำให้หมดเรี่ยวแรงและไม่สามารถหมมุนเวียนแก่นแท้พลังได้ แต่เมื่อฤทธิ์ยาหมดไป อาการเหล่านี้ก็จะหายไปเอง
ตูม!ตูม!
หลังจากที่บินออกจากที่นั่นเจียงอี้ก็ฟาดฝ่ามือออกไปสองสามครั้ง มังกรเพลิงจิ๋วนับไม่ถ้วนบินออกมาและถล่มโถงวรยุทธอันยิ่งใหญ่จนย่อยยับลงไปกับพื้น
ฟึ่บ!
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดไปทางหุบเขาทางใต้และพบรูปแกะสลักไม้สองชิ้นอย่างที่เจียงเปี๋ยหลีบอกเขาเอาไว้เขาย้ายร่างฉับพลันไปทางใต้ทันทีและใช้ฝ่ามือระเบิดพื้นที่รูปแกะสลักถูกฝังเอาไว้ เขาขุดรูปแกะสลักไม้ที่มีลักษณะเหมือนกันออกมาสองชิ้นและยังมีแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณอีกด้วย
รูปแกะสลักไม้มีขนาดเล็กหนึ่งชิ้นและขนาดใหญ่อีกหนึ่งชิ้นมันคือรูปแกะสลักของสาวงามที่สามารถทำให้หัวใจของคนหลงใหลได้…รูปแกะสลักอีเพียวเพียว
ทักษะการแกะสลักรูปปั้นไม้ของเจียงเปี๋ยหลีถือว่าใช้ได้มันเหมือนกับรูปปั้นแกะสลักหยกขาวในเกาะดาวตก และรูปปั้นทั้งหมดนี้ดูร่าเริงมาก แม้แต่เจียงอี้ยังบอกได้เลยว่ารูปปั้นแกะสลักนี้กำลังยิ้มจางๆอยู่
“ชิ้นเล็กนั้นเป็นของเจ้าหากเจ้าเจอนางช่วยนำรูปแกะสลักชิ้นใหญ่ไปให้นางด้วย”
เมื่อนึกถึงคำพูดของเจียงเปี๋ยหลีเจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่ารูปปั้นแกะสลักนี้มันเหมือนกับที่อีเพียวเพียวเคยให้เขาเมื่อนานมาแล้ว ภายในนั้นจะเป็นภาพลวงตาที่เจียงเปี๋ยหลีทิ้งไว้ให้แก่เขา เขาไม่กล้าที่จะปลดปล่อยแก่นแท้พลังของเขาเพื่อปรับแต่งสลักไม้นี้ เพราะเมื่อเขาปรับแต่งมันแล้ว ภาพลวงตาที่เจียงเปี๋ยหลีทิ้งไว้ให้เขาจะหายไปตลอดกาล
เขาหลับตาลงขณะที่สูดหายใจเข้าลึกๆและในที่สุดเขาก็เลือกที่จะปล่อยแก่นแท้พลังออกมาขณะที่มันค่อยๆห่อหุ้มสลักไม้เล็กๆนี้อย่างช้าๆ
จริงด้วย!
สลักไม้เปล่งประกายแสงสีขาวก่อนที่จะกลายเป็นสีดำสนิทและร่างลวงตาก็ค่อยๆอัดแน่นขึ้นมามันคือเจียงเปี๋ยหลีจริงๆด้วย
“เจียงอี้!”
เจียงเปี๋ยหลียิ้มด้วยรอยยิ้มบางๆและพึมพำ“เมื่อเจ้าเห็นภาพลวงตานี้ มันหมายความว่าข้าได้จากโลกนี้ไปแล้ว อย่าได้เศร้าใจไปเลย เพราะข้าเองที่ล้มเหลวในฐานะการเป็นพ่อของเจ้า ข้าไม่คู่ควรกับความเศร้าโศกของเจ้าเลย”
“ข้าได้เลือกสิ่งที่ถูกต้องมากมายในชีวิตนี้หนึ่งในนั้นคือการที่ข้าได้พบกับแม่ของเจ้า ข้าหลงรักและตามตื๊อนางจนเราได้รักกัน และข้ารู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ข้าเคยทำมา แต่แน่นอนว่าข้าเองก็ได้ทำผิดมากมายเช่นกัน เช่นการที่ข้าเลือกที่จะแทงแม่ของเจ้าในตอนนั้น และทำให้เราทั้งสองกลายเป็นศัตรูกัน แม้หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น ข้าก็ยังไม่เลือกที่จะไถ่โทษบาปตัวเองหรือถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตของเจ้า ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าต้องเติบโตมาอย่างยากลำบาก ในวันนี้ ที่ข้ากำลังจะบอกเจ้านั้นไม่ใช่เพราะว่าข้าหวังให้เจ้าอภัย แต่ข้าอยากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเท่านั้นเอง”
“ข้าเกิดในตำหนักของจอมพลกองทัพทหารรักษาการณ์ตะวันตกและเป็นลูกคนที่สองข้าคิดว่าเจ้าน่าจะพอได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาบ้าง อุดมการณ์ที่ถูกฝากไว้ในมือของข้านั้นคือการช่วยเหลืออาณาจักรเสินหวู่ด้วยกำลังทั้งหมดของข้าและช่วยฟื้นฟูอาณาจักรเสินหวู่ ดังนั้นความฝันของข้าก็คือการได้เป็นขุนนางอันดับหนึ่งตลอดประวัติศาสตร์และช่วยให้อาณาจักรเสินหวู่รวมพิภพให้เป็นปึกแผ่น หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลเจียงจะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ซึ่งข้าได้พยายามดิ้นรนกับสิ่งนั้นมาตลอด”
“เมื่อแม่ของเจ้ารู้นางก็ช่วยข้าอย่างบริสุทธิ์ใจและช่วยข้าสร้างความสำเร็จมากมายด้วยหยาดเหงื่อและเลือด แต่น่าเสียดายที่ข้านั้นเป็นเพียงลูกชายคนที่สอง ดังนั้น ปู่ของเจ้าจึงตัดสินใจมอบตำแหน่งจอมพลและประมุขให้กับลุงของเจ้า และหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ แม่ของเจ้าก็โกรธและไปสังหารลุงเจ้า ทำให้ปู่ของเจ้ากระอักเลือดด้วยความโกรธ และเมื่อข้ารู้ข่าวนี้ ข้าก็แทบจะไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดต่อ ข้าเป็นคนกตัญญูมาโดยตลอดและมักจะทำตามกฏอย่างเคร่งครัด แม่เจ้านั้นทำเกินเหตุไป และข้าก็ได้ไปสอบถามแม่ของเจ้าในช่วงที่ยังโกรธเกรี้ยวอยู่…”
“ไม่ต้องบอกเลยว่าผลที่ออกมาเป็นเช่นไรแม่เจ้าทุ่มแรงกายแรงใจให้ข้า แต่หลังจากที่ถูกข้าซักไซ้และตำหนิ นางก็โกรธเคืองข้า และเราทั้งคู่ก็ต่างรุนแรงใส่กัน ข้าบอกให้นางคุกเข่าขอโทษปู่ของเจ้า แต่นางกลับดื้อรั้นและปฏิเสธ นางยื่นดาบมาให้ข้าและบอกให้ข้าแทงนางให้ตายไปเถอะ และในท้ายที่สุด ด้วยความเดือดดาลนั้นข้าก็ได้แทงนางไป! ในเวลาที่ดาบแทงทะลุร่างของนาง ข้าสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังในตัวนาง และข้ายังรู้ด้วยว่าตอนนั้นโชคชะตาระหว่างเราขาดสะบั้นไปแล้ว!”
“หลังจากนั้นนางก็ไปยังอีกฟากพิภพหนึ่งพร้อมกับอาการบาดเจ็บ ระหว่างช่วงนั้น ปู่ของเจ้าก็โกรธจนลมปราณแตกซ่านเพราะแม่เจ้าสังหารลุงของเจ้า ตระกูลต่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย นอกจากนี้แม่ของเจ้ายังเคยทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจในช่วงหลายปีนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงสมคบคิดกันและวางแผนต่อต้านนางลับๆ แม้แต่ราชวงศ์เองก็ยังหมายหัวนางพร้อมขึ้นค่าหัวและตัดสินว่าแม่ของเจ้าเป็นผู้ทรยศ ทำให้นางถูกทั้งอาณาจักรไล่ล่า ในช่วงนั้นตระกูลเจียงเองก็วุ่นวายทั้งภายในตระกูลและนอกตระกูลด้วย ข้าจึงไม่สามารถดูแลแม่เจ้าได้อีกต่อไปและเลือกที่จะอุ้มตระกูลเอาไว้ก่อน”
“หลังจากนั้นปู่ของเจ้าก็สิ้นลมไปด้วยอาการป่วยและข้าก็ได้กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจอมพลแห่งกองทัพทหารรักษาการณ์ตะวันตก เพราะปู่ของเจ้าโกรธแม่เจ้าจนสิ้นลมไป ข้าเลยต้องการตามหานาง แต่เนื่องจากมีอุปสรรคหลายสิ่งมาขัดขวาง ข้าจึงไม่ได้ส่งใครไปตามหานาง และข้าก็ไม่รู้อีกแล้วว่าจะเผชิญหน้ากับนางได้อย่างไร ในปีที่สอง ข้าได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเจียงอี เพราะอันที่จริงแล้วข้าพยายามจะบอกให้แม่เจ้าได้รู้ว่าข้ายังรักนางมาก…”
“แต่ก็น่าเสียดายที่สามปีต่อมาเจียงหยุนไฮ่มาที่เมืองและเขานำจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของนางมาโดยระบุไว้ว่า นางกลับไปยังบ้านเกิดของนางแล้วและเจียงหยุนไฮ่ไม่เคยพูดถึงเจ้าเลย ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงรั้งความปรารถนาของข้าที่มีต่อแม่เจ้าเอาไว้ในใจลึกๆ มันถูกเก็บเอาไว้มานานหลายปี….จนกระทั่งเจ้าปรากฏขึ้นมา”
“ข้าทั้งประหลาดใจและมีความสุขมากในเวลานั้นข้าควรที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเองแต่เพราะการที่แม่เจ้าปิดบังเรื่องนี้เอาไว้มันทำให้ข้าอึดอัดใจ ข้าก็เลยให้เจียงเหรินถูนำกองกำลังสามหมื่นนายไปยังหุบเขาหมื่นมังกร แต่เจ้าก็กลับส่งพวกเขากลับมาซึ่งมันทำให้ข้าอับอายมาก ข้าก็เลยไม่สนใจเจ้าและปล่อยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตในแบบของเจ้าต่อไป จนสุดท้ายข้าก็กลับทำร้ายความรู้สึกของเจ้าไปเช่นนั้น”
“เพราะข้าถูกปู่ของเจ้าเฝ้าสอนมาข้าจึงมีความหยิ่งทะนงและให้ความสำคัญกับกฎมาโดยตลอด ดังนั้นแม้ว่าข้าอยากตามหาเจ้าเพื่อขอโทษที่ไม่ได้ดูแลเจ้าในหลายปีที่ผ่านมามากเพียงใด ข้าก็ไม่ได้ทำมันอยู่ดี เพราะความทะนงตนของข้าเองข้าจึงได้พลาดโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ความแค้นที่เจ้ามีต่อข้ายิ่งฝังลึก”
“และตอนที่สมุนไพรสยบวิญญาณถูกเซี่ยอู๋หุ่ยชิงไปข้าก็ไม่รู้ว่าข้าควรจะทำเช่นไร ข้าอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยแต่สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ทำ และข้าก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะกล้าขนาดนี้และเลือกที่จะเป็นกบฏต่ออาณาจักรเสินหวู่พร้อมกับโจมตีกองทัพคุ้มกันเจ้าสาวทำให้อาณาจักรเสินหวู่สั่นคลอน ตอนนั้นเอง ข้าก็ได้ตัดสินใจผิดพลาดอีกครั้ง….นั่นคือการขับไล่เจ้าออกจากอาณาจักรเสินหวู่”
“ข้าอยากเป็นขุนนางอันดับหนึ่งตลอดชีวิตของข้าและตระกูลเจียงก็ภักดีต่ออาณาจักรเสินหวู่มาหลายชั่วอายุคนดังนั้นหลังจากที่ข้ารู้ข่าวการทรยศของเจ้ามันจึงทำให้ข้าตัดสินใจเช่นนั้นและระเบิดความโกรธออกมา นอกจากนั้นข้าก็รู้มานานแล้วว่าเซี่ยถิงเวยได้ทะลวงไปยังขอบเขตจินกังแล้ว หากข้าไม่ทำเช่นนั้น ตระกูลเจียงทั้งหมดอาจถูกสังหารได้ข้าก็เลยเลือกที่จะขับไล่เจ้าออกจากตระกูลเจียงอย่างไร้เยื่อใยแทน ข้ารู้ว่าการตัดสินใจของข้าในครั้งนั้นมันทำร้ายความรู้สึกของเจ้ามาก…”
“และต่อมาไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตามที่เซี่ยถิงเวยลงมือกับเจ้า ข้ารู้เรื่องนั้นแล้วแต่ข้าไม่รุ้จะไปทางใดและเจ็บปวด ใจหนึ่งข้าก็อยากเข้าไปช่วยเจ้า แต่อีกใจข้าก็กลัวว่ามันจะส่งผลกับตระกูลเจียงทั้งหมด ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงเฝ้ามองเขาลงมืออยู่เฉยๆขณะที่ข้าต้องทนเห็นเจ้าทุกข์ทรมานมากเพียงใด แต่ก็โชคดีที่เจ้าสามารถหลีกหนีภัยพิบัติทั้งหมดได้และสร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ลูกข้าข้าภูมิใจในตัวเจ้าและข้าก็ยังได้เห็นการกระทำของข้าอย่างจริงจัง ข้าได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของคนรุ่นนี้ แต่ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าไม่ใช่วีรบุรุษที่ดีที่สุด ข้าเป็นเพียงคนขี้ขลาดที่ไม่กล้ารักหรือเกลียดและมองดูหญิงที่ข้ารักหนีข้าไป….ในขณะที่ลูกชายของข้าต้องทนทุกข์ทรมาน”
“เพราะฉะนั้น….อย่าโศกเศร้าเพราะข้าเลยข้าหวังเพียงว่าจะได้ช่วยเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายและทำในสิ่งที่พ่อควรทำเพื่อชดเชยความผิดที่ข้ามีต่อเจ้า ข้าได้สร้างถิ่นฐานให้แก่ตระกูลเจียงในเกาะที่ไกลโพ้นแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับพวกเขาเลย และหากข้าสามารถฝังศพตัวเองได้ โปรดฝังข้าไว้ที่เกาะดาวตกได้ไหมเพราะนั่นคือที่ที่ข้าได้รู้จักและตกหลุมรักแม่ของเจ้า ลาก่อน ลูกชายของข้า ข้ารู้ว่าแม่เจ้ายังไม่ตาย หากเจ้าพบนาง ช่วยบอกนางทีว่านางจะเป็นหญิงที่ข้ารักที่สุดและรักตลอดไป….”
ภาพลวงตาค่อยๆจากหายไปขณะที่เจียงอี้ยังคงหลังตาด้วยความเศร้าและใบหน้าของเขาก็ถูกแต้มไปด้วยน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
…
บทที่ 510 เตรียมพร้อมสู่ความรุ่งโรจน์
ฟึ่บ!
สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์บินขึ้นไปบนหน้าผาทางเหนือสุดของทวีปเจียงอี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนสัตว์อสูรหยาจื้อและรู้สึกไร้หนทางเล็กน้อย
ตู๋กูฉิวตายแล้วและเขาได้ทำลายโถงวรยุทธไปแล้วเจียงอี้ได้รู้เรื่องราวมากมายแต่เขาก็ยังสับสนในเรื่องอื่นๆอยู่อีกมาก เช่น เขาไม่เข้าใจว่าเจียงเปี๋ยหลีแอบเข้าไปในหุบเหวอเวจีได้อย่างไร แล้วจีทิงยวี่สามารถฝ่าแรงกดดันอันมหาศาลจากเจตจำนงสังหารได้อย่างไรและหากโถงวรยุทธส่งทูตสองคนมายังเมืองหวังในอีกเดือนครึ่งอย่างที่ตู๋กูฉิวพูดจริงๆล่ะ
เขารู้สึกไร้หนทางจริงๆและไม่รู้จะทำอะไรต่อในตอนนี้ความจริงที่ซูรั่วเสวี่ยถูกจีทิงยวี่จับไปยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก และเมื่อสัตว์อสูรหยาจื้อถามเขาว่าเขาต้องการกลับไปยังเมืองเทียนชิงไหม เขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี
“ไปยังเกาะดาวตกก่อน!”
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและนึกถึงคำพูดสุดท้ายของเจียงเปี๋ยหลีเขาจึงตัดสินใจไปยังเกาะดาวตกก่อนเพื่อฝังมือข้างเดียวที่เหลืออยู่ของเจียงเปี๋ยหลีเพื่อทำความปรารถนาสุดท้ายของเจียงเปี๋ยหลี นอกจากนี้เขายังขอคำแนะนำจากสุ่ยโย่วหลานได้ด้วย
สัตว์อสูรหยาจื้อกลายเป็นลำแสงและบินไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็วเจียงอี้ได้กินยาเข้าไปสองเม็ดและนอนลงบนหลังสัตว์อสูรหยาจื้อพร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเขาจะได้รับชัยชนะ แต่การตายของเจียงเปี๋ยหลีและซูรั่วเสวี่ยที่ถูกศัตรูพรากไปทำให้จิตใจของเขาเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาในตอนนี้ก็เหนื่อยล้าเช่นกันเนื่องจากเสียเลือดมากเกินไป
สัตว์อสูรบินไปอย่างสบายใจและพวกเขาไม่พบอันตรายใดๆระหว่างทางเพียงหนึ่งวันครึ่งพวกเขาก็กำลังจะเดินทางออกสู่ทะเลแล้ว และในตอนนั้นเจียงอี้ก็ยังคงหลับสนิท
เกาะดาวตกอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปและไม่ไกลจากหุบเหวอเวจีนักสองวันครึ่งหลังจากที่ออกสู่ทะเลก็เห็นเกาะดาวตกอยู่ในสายตาแล้ว แต่เจียงอี้ก็ยังคงหลับใหลอยู่
“เจียงอี้!เราถึงเกาะดาวตกแล้ว!”
เสียงของสัตว์อสูรหยาจื้อได้ปลุกเจียงอี้ให้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่นอนหลับมาสี่วันสี่คืน เจียงอี้ก็ฟื้นทั้งร่างกายและจิตใจได้ดีทีเดียว เมื่อเขาสำรวจกระดูกขาที่หักเขาก็พบว่ามันใกล้จะฟื้นกลับมาเต็มที่แล้วแต่มันอาจจะยังเร็วเกินไปที่เขาจะสามารถเดินได้
“ไปข้างในกันเถอะ!”
เขาหายใจเข้าลึกๆและบังคับตัวเองให้ใช้พลังงานและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจมองเข้าไปในราชวังจักรวาล เขาพบว่าฤทธิ์ยาในตัวเจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆใกล้จะหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแอมากและแทบจะไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้
ฟึ่บ!
ก่อนที่พวกเขาจะบินเข้าสู่เกาะดาวตกร่างสีขาวก็บินออกมาจากพระราชวังที่สูงที่สุดอย่างรวดเร็ว เจียงอี้จดจำร่างนั้นได้และฝืนยิ้มออกมา มันยังคงมีเลือดอยู่ที่ปากของเขาซึ่งทำให้รอยยิ้มของเขาดูไม่สู้ดีอยู่เล็กน้อย
“เจียงอี้เจ้าไปหุบเหวอเวจีมาหรือ?”
สุ่ยโย่วหลานส่งข้อความมาทันทีและหลังจากที่เห็นเจียงอี้พยักหน้า นางก็สำรวจรอบๆอย่างระมัดระวังและส่งข้อความถามเจียงอี้อีกครั้ง “อย่าเพิ่งพูดอะไรมาก ตามข้ามาก่อน!”
นางบินไปยังเจียงอี้และอุ้มเจียงอี้ไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วบินกลับลงมา“สัตว์อสูรหยาจื้อ! เจ้าไปหาที่พักผ่อนก่อนเถอะ!” นางได้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้แก่สัตว์อสูรหยาจื้อ
“ฮือฮา!”
การมาของเจียงอี้ทำให้ผู้คนในหอดาราสุ่ยเยว่ต่างพากันประหลาดใจหลายคนมองเขาด้วยความชื่นชมและเลื่อมใส แม้ว่าหอดาราสุ่ยเยว่จะไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่พวกเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอกนั้นบ้าง สิ่งที่เจียงอี้ทำในสงครามที่เมืองเทียนชิงนั้นทำให้หอดาราสุ่ยเยว่เกิดความวุ่นวายอย่างมาก
สุ่ยโย่วหลานได้พาเจียงอี้เข้าไปในศาลาฟ้ากระจ่างและให้สาวใช้ใส่ยาสมุนไพรที่ทำขึ้นเป็นพิเศษที่ขาของเขาและหาอาหารมาให้เขา
หลังจากที่เจียงอี้กินอาหารเสร็จแล้วสุ่ยโย่วหลานก็บอกให้สาวใช้ออกไป “เจียงอี้ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือไปในตอนที่เจ้าขัดแย้งกับโถงวรยุทธ ไม่ใช่เพราะข้าลืมพระคุณของแม่นางอีเพียวเพียว แต่ข้าต้องคำนึงถึงคนหลายหมื่นคนของข้าด้วย…” นางกล่าว
“อื้มข้าเข้าใจ ข้าไม่โทษเจ้าสำหรับเรื่องนั้นหรอก”
เจียงอี้พยักหน้าเขารู้ว่าโถงวรยุทธมีอำนาจมากและสุ่ยโย่วหลานก็รู้เรื่องราวภายในบางอย่าง เขาเข้าใจว่าทำไมสุ่ยโย่วหลานถึงไม่สามารถช่วยเขาได้ เพราะนั่นจะทำให้ตระกูลของนางต้องตกอยู่ในอันตรายด้วย
สุ่ยโย่วหลานยิ้มและถามด้วยความประหม่าทันที“ตอนที่เจ้าส่งคนมาถามข้าเรื่องโถงวรยุทธคราวก่อน ข้าไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆกลับไป ไม่ใช่เพราะข้าไม่รู้แต่มันเป็นเพราะข้าไม่ต้องการบอก ข้ารู้สึกว่าหุบเหวอเวจีนั้นอันตรายมากจริงๆและไม่อยากให้เจ้าไปเสี่ยง และข้าก็ไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าจะไปที่นั่นอยู่ดี เจ้าหาที่นั่นเจอได้อย่างไร? เจ้า…สังหารตู๋กูฉิวแล้วหรือ?”
ทันใดนั้นสีหน้าของเจียงอี้ก็ซีดลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เจียงเปี๋ยหลีบอกข้า แต่….เขาตายเพราะพยายามช่วยชีวิตข้า ข้าสังหารทุกคนในโถงวรยุทธไปหมดแล้วนอกจากจีทิงยวี่…”
หลังจากอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเหวอเวจีรวมทั้งสิ่งที่ตู๋กูฉิวพูดทั้งหมดแก่สุ่ยโย่วหลานแล้วเขาก็ถามว่า “แม่หญิงสุ่ย โถงวรยุทธนั้นมีอำนาจมากอย่างที่ตู๋กูฉิวบอกไว้หรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว!”
สุ่ยโย่วหลานมีสีหน้าที่จริงจังและตกอยู่ในห้วงความคิดครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดนางก็พูดออกมาว่า “ตู๋กูฉิวพูดถูกแล้ว โถงวรยุทธนั้นเป็นราชาที่ไร้มงกุฏของพิภพนี้ แม่ของเจ้าเป็นผู้ที่เบ่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง ข้าไม่คิดว่าตู๋กูฉิวจะโกหก อีกหนึ่งเดือนครึ่งทูตทั้งสองที่อยู่ขอบเขตเทียนจุนมาที่นี่แน่ๆ เจียงอี้ เจ้าคิดวิธีจัดการกับเรื่องนั้นแล้วหรือยัง?”
“ข้าควรทำอย่างไรดี?”
เจียงอี้ไม่รู้จริงๆว่าเขาควรจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงเขารู้ว่าเขายังไม่สามารถต่อสู้กับผู้ที่อยู่ขอบเขตเทียนจุนได้แน่นอน และหากเขาอยู่ทีนี่ ทุกคนก็จะต้องตาย
เมื่อเห็นความหดหู่ของเจียงอี้สุ่ยโย่วหลานจึงขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “เจียงอี้ เวลาของเราค่อยๆหมดลงเรื่อยๆแล้ว ทำไมเจ้าจึงยังไม่เด็ดขาด? เจ้าจะทำให้ชีวิตทุกคนตกอยู่ในอันตรายหากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตอนนี้มีทางเลือกให้เจ้าสองทาง หนึ่งคือเจ้าหาเกาะลับและนำเพื่อนและญาติของเจ้าไปที่นั่นและเข้าสู่สันโดษตลอดชีวิต หรืออีกทางหนึ่งคือเจ้าเลือกออกไปผจญโลกภายนอก แต่นั่นก็หมายความว่าเจ้าอาจจะเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ…และโถงวรยุทธจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ๆ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหน เจ้าก็ไม่สามารถอยู่ที่ทวีปเทียนชิงได้อีกต่อไป”
“เอ่อ….”
เจียงอี้ลูบใบหน้าของเขาและพินิจพิเคราะห์ถึงคำพูดของสุ่ยโย่วหลานเงียบๆ
ดวงตาของสุ่ยโย่วหลานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“เจียงอี้ ข้าแนะนำให้เจ้าออกไปยังโลกภายนอก เจ้ายังเด็กมากนักและมีอนาคตที่สดใสรอเจ้าอยู่ ตราบใดที่เจ้าพบหญ้ามังกรยาจกเจ้าก็ยังสามารถรุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง แม้ว่าโลกภายนอกจะกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอันตราย แต่ลองคิดดูสิ เจ้าคือคนที่ใช้เวลาน้อยกว่าสามปีในการขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปเทียนชิงได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของดินแดนเทียนชิงได้ในภายภาคหน้า แล้วอีกอย่าง เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยซูรั่วเสวี่ยและตามหาแม่เจ้าหรอกหรือ? เจ้าไม่ได้ต้องการที่จะล้างแค้นหรือ?”
“ท่านแม่?รั่วเสวี่ย? ล้างแค้น?”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับความหวังและพลังในดวงตาที่เคยดูหดหู่
ใช่แล้วเขาอายุแค่สิบแปดปีเท่านั้น!“
เขาเป็นคนที่ใช้เวลาไม่ถึงสามปีในการขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนชิงมันไม่ใช่ความจริงเลยที่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสเอาชนะโถงวรยุทธอันทรงพลัง ตราบใดที่เขาสามารถหาหญ้ามังกรยาจกและฟื้นฟูร่างของเขาได้ เข้าก็ยังมีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นไปสู่ขอบเขตเทียนจุน…หรือสูงกว่านั้นได้หากเขายังคงฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆสักสิบปีหรือยี่สิบปี หรือทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา
ด้วยการตายของเจียงเปี๋ยหลีและการรู้ว่าโถงวรยุทธแข็งแกร่งเพียงใดความตั้งใจของเขาก็ถูกเติมเต็มในที่สุด เขาเรียกจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขากลับคืนมาอีกครั้ง
หาเกาะลับและนำเพื่อนและญาติของเจ้าไปที่นั่นและเข้าสู่สันโดษตลอดชีวิตที่เหลืออยู่?ปกปิดตัวตนและใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกังวลและรู้สึกผิดตลอดไป?
นั่นไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เขาต้องการ
เขาหายใจเข้าลึกๆและพูดอย่างมุ่งมั่น“รั่วเสวี่ย รอข้าก่อนนะ ข้าจะพยายามค้นหาหญ้ามังกรยาจกและช่วยเจ้าให้ได้! โถงวรยุทธ แม้ว่าพวกเจ้าจะทรงพลังเพียงใดแต่ในวันหนึ่งข้าจะทำลายพวกเจ้าทั้งหมดตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่!”
เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 509 -510
บทที่ 509 -510
Posted by ? Views, Released on กุมภาพันธ์ 15, 2022
, เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
Status: Ongoing
นิยายกำลังภายใน นิยายจีน นิยายจีนย้อนยุค นิยายจีนแปลไทย นิยายดราม่าเข้มข้น นิยายบู๊ล้างผลาญ นิยายผจญภัยมันๆ นิยายแฟนตาซี นิยายแฟนตาซีสนุกๆ แก้นแค้น
เรื่องย่อ
ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ
ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้
วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก
ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ
ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้
จึงได้อุบัติขึ้น!
หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง
เกลื่อนปฐพี!
หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!