เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 539-540

บทที่ 539-540

บทที่ 539 ชายคนนี้ต่างจากผู้อื่น
“เจ้าไม่รู้จักโถงวรยุทธ?”
หลังจากที่เจียงอี้ได้อธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ของโถงวรยุทธให้นางฟังโดยละเอียดแล้วดวงตาของเฟิ่งหลวนก็เปล่งประกายไปด้วยความเย็นชา “เรื่องที่นายท่านพูดถึง อาจจะคล้ายกับสมาคมพ่อค้าในทวีปนี้ แต่สมาคมนี้มีประวัติมาอย่างยาวนานและไม่ได้มีความสำคัญมาโดยตลอด พวกเขาไม่เคยต่อสู้เพื่ออำนาจและทำเพียงการค้าอย่างเดียว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยทำให้ตระกูลอื่นๆขุ่นเคืองและเข้ากับหลายๆตระกูลได้ดีด้วยซ้ำ บางที นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่เราไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกเขามาก อ้อ ใช่แล้ว…ชื่อของพวกเขาน่าจะเป็นสมาคมโถงการค้า”
“สมาคมโถงการค้า!”
เจียงอี้หัวเราะออกมาไม่ใช่ว่าโถงวรยุทธก็เป็นเพียงสมาคมการค้าในทวีปเทียนชิงเหมือนกันหรอกหรือ? อย่าว่าแต่ตระกูลเล็กๆเลย แม้แต่ตระกูลใหญ่ๆยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของโถงวรยุทธเลย พวกเขาปกปิดตัวตนได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอดและไม่ได้ไปแย่งชิงอำนาจจากผู้ใด เพราะพวกเขานั้นเป็นเหมือนราชาผู้ไม่มีมงกุฏก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามโถงวรยุทธที่ทวีปเฟิ่งหมิงค่อนข้างประหลาด พวกเขาอาจจะไม่ค่อยมีความสำคัญในทวีปเทียนชิงแต่ผู้ปกครองทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าโถงวรยุทธนั้นน่าเกรงขามมาก แต่ที่นี่ แม้แต่ตัวผู้ปกครองทวีปเองก็ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา
ช่างพวกมันไปก่อน!
เขาอาจได้ขอบเขตเทียนจุนมาเป็นทาสวิญญาณแต่เขาก็ยังไม่ได้คิดที่จะจู่โจมโถงวรยุทธทั้งหมดในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ก็คือการหาหญ้ามังกรยาจก, ตามหาหยูเวินที่ทวีปจักรพรรดิบูรพาและหาข้อมูลเกี่ยวกับซูรั่วเสวี่ย ส่วนการล้างแค้นโถงวรยุทธนั้น ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เปรียบได้กับตั๊กแตนที่ปะทะกับรถบรรทุก มันยังค่อนข้างห่างชั้นกันพอสมควรอยู่
“หญ้ามังกรยาจกเฟิ่งเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าข้าจะไปหาหญ้ามังกรยาจกได้ที่ไหน?” เจียงอี้หันไปถามอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
เฟิ่งหลวนกระพริบตาและส่ายหัวตามคาด“หญ้ามังกรยาจกเป็นสมบัติล้ำค่า เฟิ่งเอ๋อร์เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนแต่ว่าทันทีที่มันปรากฏขึ้น เหล่าตระกูลใหญ่ๆก็จะแย่งชิงกันทันที การได้มันมาครองนั้นยังยากยิ่งกว่าการได้ขึ้นสวรรค์อีกเจ้าค่ะ”
“เฮ้ออ…”
เจียงอี้ถอนหายใจและมองไปที่แผนที่ของทวีปจักรพรรดิบูรพาอย่างว่างเปล่าและคิดว่าเขาควรไปที่นั่นตอนไหนดี
“นายท่าน!”
เสียงที่ดูเขินอายดังขึ้นมาและเจียงอี้ก็เงยหน้าขึ้นไปมองเฟิ่งหลวนที่กำลังมองหน้าเขาด้วยสีหน้าอมทุกข์นางกำลังกัดริมฝีปากและดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยมันออกมา
“มีอะไรรึเปล่าเฟิ่งเอ๋อร์?”
เจียงอี้เลิกคิ้วและหันไปดวงตาของเฟิ่งหลวนเผยร่องรอยของความมุ่งมั่นขณะที่นางเดินมาข้างหน้าเจียงอี้และคุกเข่าลง “นายท่านคิดจะไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือเจ้าคะ?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วและพยักหน้า“ใช่แล้ว ทำไมล่ะ?”
เฟิ่งหลวนคำนับเขาสามครั้งก่อนที่นางจะกัดฟันแน่นและพูดว่า“นายท่านช่วยชะลอการออกเดินทางไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาได้หรือไม่เจ้าคะ? ทวีปเฟิ่งหมิงกำลังอยู่ในช่วงหายนะ หากเฟิ่งเอ๋อร์ออกไปตอนนี้ ทวีปก็จะล่มสลายและประชาชนทั้งหมดก็จะถูกสังหาร เฟิ่งเอ๋อร์ขอเวลาหน่อยได้ไหม เมื่อภัยครั้งนี้สิ้นสุดลง เฟิ่งเอ๋อร์จะปรนนิบัติท่านด้วยความเต็มใจ แม้ว่าท่านจะผิดสัญญาสิบปีที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เฟิ่งเอ๋อร์ก็จะไม่ติดใจใดๆ”
“เอ่อ?”
เจียงอี้เข้าใจเรื่องนี้เล็กน้อยและก่อนที่เขาจะทันได้คิดเรื่องนี้ชิงหยีที่กำลังพักฟื้นก็ลืมตาขึ้นมาและเดินมาคุกเข่าข้างๆเฟิ่งหลวนอย่างรวดเร็ว นางก็ขอร้องเขาเช่นกัน “นายท่านโปรดเมตตา ชิงหยีและจักรพรรดินีจะรู้สึกขอบคุณในความกรุณาของท่านและพวกเราจะไม่ลืมมันไปชั่วชีวิต พลเมืองของทวีปเฟิ่งหมิงก็จะจดจำบุญคุณตลอดไป”
ดูเหมือนว่าชิงหยีจะตื่นนานแล้วแต่นางแสร้งทำเป็นว่านางกำลังพักฟื้นอยู่ และเมื่อนางได้ยินคำขอของจักรพรรดินี นางก็รีบมาอ้อนวอนเขาเช่นกัน
อันที่จริงแล้ว…!
ทั้งสองคนนี้มีสีหน้าที่บูดบึ้งคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองจอมเผด็จการ ส่วนอีกคนเป็นหนึ่งในสิบห้ายอดฝีมือ มันเป็นหน้าที่ของพวกนางที่จะต้องต่อต้านการโจมตีของเผ่าพันธุ์เงือก ดังนั้นจิตใจของพวกนางจึงรู้สึกว่าไม่สามารถละทิ้งทวีปไปได้
ตอนนี้ทั้งสองคนนี้เป็นทาสของเจียงอี้แล้ว หากเจียงอี้บังคับให้พวกนางไป ทั้งสองคนนี้ก็จะจำต้องจากบ้านไปอย่างทนทุกข์ทรมาน พวกนางนั้นไม่กล้าขัดคำสั่งของเจียงอี้ดังนั้นพวกนางจึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตาจากเขา
เจียงอี้พึมพำกับตัวเองและตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตามจริงเขาควรออกไปจากทวีปนี้ทันทีทวีปเฟิ่งหมิงนั้นอันตรายเกินไปและเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดชีวิตหรือไม่หากเขารออยู่เบื้องหลัง เฟิ่งหลวนและชิงหยีก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะตกตายอยู่ที่นี่เช่นกัน หากทั้งสองคนนี้ตายมันก็จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้นคือมันเป็นไปได้สูงที่โถงวรยุทธจะพบตัวเขา
ในตอนนี้เฟิ่งหลวนและชิงหยีเป็นคนของเขาและเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีที่ต้องเห็นพวกนางทุกข์ทรมานใจจริงๆเขายกโทษให้ชิงหยีที่ทรมานเขาและเฟิ่งหลวนที่พยายามจะทำให้เขาเป็นทาสวิญญาณไปแล้ว มันเป็นเพียงความคิดเห็นที่ต่างกัน พวกนางไม่ได้ทำอะไรผิดและสุดท้ายพวกนางก็ไม่ได้ทำอะไรเขามากมายนัก
นอกจากนี้พวกพวกนางสองคนจากไป ทวีปเฟิ่งหมิงจะเต็มไปด้วยเลือดและถูกกำจัดสิ้น พลเมืองหลายล้านคนจะถูกสังหารและเผ่าพันธุ์เงือกจะฉีกพวกนั้นออกเป็นชิ้นๆ และทวีปเฟิ่งหมิงก็จะกลายเป็นแดนนรกไป
และเจียงอี้เองก็เป็นตัวการที่ทำให้เกิดภัยในครั้งนี้จักรพรรดิอสูรชือมาที่นี่เพราะเขา เขาจะถูกลิขิตให้แบกรับหนี้ชีวิตคนเหล่านี้ไปตลอดชีวิต
“เจ้าและข้าต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อเจ้าถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจไล่ล่า ด้วยความมีมนุษยธรรม ข้าก็ควรช่วยเจ้า”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกถึงคำพูดของหญิงสาวผมสีม่วงและรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจนางไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแต่ก็ช่วยเขาเอาไว้เพียงเพราะทั้งคู่เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ในตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังจะทำลายทวีปเฟิ่งหมิงและสังหารเพื่อนมนุษย์ของเขา จะให้เขาทำแค่มองดูและไม่สนใจมันได้อย่างไร? จะให้เขาเอาตัวนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเฟิ่งหมิงไปได้อย่างไรกัน?
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า“ก็ได้ ข้าสัญญาแล้ว สัญญาสิบปีนั่นยังคงมีอยู่ และถ้าหากเป็นไปได้ ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าสังหารยอดฝีมือเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วย”
“อ๊ะ?”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีมองหน้ากันและกันใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่เปลี่ยนเป็นความยินดีอย่างรวดเร็ว พวกนางไม่มั่นใจว่าตัวพวกนางเองจะต้านทานกองทัพเงือกได้หรือไม่ และมันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเจียงอี้ที่จะพาพวกนางออกไป แต่การหลบอยู่ข้างหลังมันคงเป็นการกระทำที่โง่เขลานัก
แต่ในตอนนี้เจียงอี้กลับตกลงจริงๆแถมเขายังคงรักษาสัญญาสิบปีของพวกนางพร้อมทั้งยังจะช่วยพวกนางต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วย?
พวกนางทั้งสองมองไปที่เจียงอี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปพวกนางดูถูกผู้ชายตั้งแต่ยังเล็กและคิดว่าผู้ชายทุกคนขี้ขลาดและไร้ประโยชน์ แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอี้มีพฤติกรรมเช่นไร พวกนางก็เปลี่ยนแปลงความคิดของพวกนางในใจ
ชายคนนี้ต่างจากชายคนอื่นๆในทวีปของพวกนางอย่างแท้จริงนี่คือชายผู้ที่มีจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ!
เจียงอี้ไม่รู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงในใจของพวกนางขณะที่เขาเพียงแค่โบกมือและพูดว่า“ลุกขึ้นซะ ในภายภาคหน้าอย่าคุกเข่าง่ายๆ ข้าไม่ได้มีกฏเกณฑ์มากมายและอย่าเรียกข้าว่านายท่านด้วย เมื่ออยู่ข้างนอก ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้า และเมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆแล้ว จะเรียกข้าว่าเจียงอี้หรือนายน้อยก็ได้”
“อื้อ!”
พวกนางทั้งสองคนลุกขึ้นส่วนเจียงอี้ก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งและพูดกับเฟิ่งหลวนว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ ไปจัดการซะว่าเจ้าจะต่อต้านกองทัพนั่นยังไงและจะไปสู้สงครามยังไง มันคงไม่ดีสำหรับข้าที่จะเข้าไปยุ่งหรือเผยตัว หากจักรพรรดิของฝั่งศัตรูเคลื่อนไหว ก็แค่บอกข้าและข้าจะตามน้ำไปและช่วยเหลือเจ้าตามที่เจ้าบอก”
“เจ้าค่ะนายท…นายน้อย โปรดพักอยู่ที่นี่ก่อน เฟิ่งเอ๋อร์จะออกไปจัดการเอง!”
เฟิ่งหลวนออกไปด้วยความโล่งใจความขุ่นเคือง, ความสับสนและความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่นางเคยมีอยู่ ในตอนนี้มันโล่งอกเป็นอย่างมาก
เจียงอี้สัญญาว่าจะอยู่และต่อต้านภัยพิบัตินี้นางอาจพินาศไปในการต่อสู้ครั้งนี้แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหากว่านางจะต้องตาย มันไม่สำคัญว่านางจะเป็นทาสวิญญาณด้วยเช่นกัน ความข้องใจในใจของนางได้ถูกปลดแล้ว
หากเจียงอี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอิสรภาพหรือการทำงานของนางทุกสิ่งก็จะเหมือนเดิมสำหรับนาง นางไม่มีเวลาที่จะมาดูแลเจียงอี้ด้วยเช่นกันเพราะนางอาจมีหลายสิ่งที่ต้องทำ นางต้องนำพลเมืองของทวีปเฟิ่งหมิงและต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจนตายกันไปข้าง
บรึฟ!
อาคมยับยั้งในราชวังถูกปลดออกมาแล้วและเมื่อจักรพรรดินีเดินออกมาจากราชวัง นางก็มองไปที่ท้องฟ้าที่สดใสและทหารและผู้ใต้บัญชานับไม่ถ้วน นางรู้สึกราวกับว่านางเพิ่งผ่านชีวิตที่ตกจากสวรรค์สู่นรกและจากนรกกลับสู่สวรรค์ แล้วนางจะตกจากสวรรค์และกลับไปสู่นรกอีกครั้งหรือไม่?
นางไม่รู้!
นางรู้เพียงว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป….นางไม่ใช่เจ้าของของตัวเองแต่นางเป็นของชายที่มีนามว่าเจียงอี้
บทที่ 540 เร่าร้อนและไร้ยางอาย
สงครามในทวีปเฟิ่งหมิงสถานการณ์ไม่ได้ดีมากเท่าไหร่นัก
เนื่องจากฝ่ายศัตรูมีจักรพรรดิอสูรชือมันจึงได้ขยายเขตแดนในการรุกล้ำของเผ่าพันธุ์เงือก จักรพรรดิอสูรชือและจักรพรรดิเงือกนั้นไม่ได้โจมตี แต่มันก็ยังเพิ่มความสามารถในการรุกล้ำแดนเป็นอย่างมากและได้ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปมาก
เผ่าพันธุ์เงือกได้แผ่แนวรบสิบกองทัพซึ่งมันปกคลุมพื้นที่ทะเลตะวันตกของทวีปเฟิ่งหมิงทั้งหมดนอกเหนือจากกองทัพเมืองชิงเฟิ่งแล้ว กองทัพอื่นๆอีกเก้ากองก็อยู่ท่ามกลางการสู้รบที่รุนแรง ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทหารในทวีปเฟิ่งหมิงก็ตายไปแล้วนับล้านชีวิต
เมืองทางตะวันตกทั้งหมดนอกจากเมืองชิงเฟิ่งเองก็ได้ล่มสลายไปหมดแล้วแต่เผ่าพันธุ์เงือกก็ยังคงชะลอการโจมตีเมืองชิงเฟิ่งอยู่ ทั้งจักรพรรดิเงือกและจักรพรรดิอสูรชือต่างก็นำกองทัพกำลังละห้าแสนตนอยู่และอยู่นอกเมืองชิงเฟิ่งกว่าสามสิบกิโลเมตร ไม่มีใครรู้ว่าพวกนั้นคิดอะไรกันอยู่
“ปัญญาของจักรพรรดิเงือกไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลย!”
จักรพรรดินีกำลังเตรียมการและชิงหยีก็กลับมารายงานหลังจากที่ไปสอดแนมสถานการณ์ภายนอกส่วนเจียงอี้ก็ถอนหายใจออกมา
ชิงหยีกระพริบตาและมองไปที่เจียงอี้ก่อนที่จะถามด้วยความสงสัยว่า“นายน้อย ท่านรู้ไหมว่าทำไมจักรพรรดิเงือกจึงไม่โจมตีที่นี่?”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้ยิ้มออกมาและเอามือไปลูบหัวโล้นๆของเขาใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเมื่อเขาเห็นสีหน้าของชิงหยีเขาก็พูดตรงๆว่า “พวกเจ้าไม่เห็นเจตนาของมันหรอ? จักรพรรดิเงือกต้องการกำจัดทั้งทวีป และหากว่ามันปักหลักอยู่ที่นี่กับจักรพรรดิอสูรชือ เฟิ่งเอ๋อร์ก็จะต้องปกป้องที่นี่ไปจนตาย”
“นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของพวกเจ้าคงกังวลที่จะทิ้งจักรพรรดิของพวกนางไว้ที่นี่ และเมื่อกองทัพทั้งหมดมารวมตัวกันที่เมืองชิงเฟิ่ง จำนวนผู้เชี่ยวชาญและกองกำลังทหารในเมืองอื่นๆก็จะอ่อนแอลง จากนั้นกองทัพของพวกมันก็จะสามารถครองเมืองต่างๆได้อย่างง่ายดาย และสุดท้ายกองทัพพวกมันจะล้อมเมืองชิงเฟิ่งและจักรพรรดิอสูรทั้งสองจะเคลื่อนไหวและกวาดล้างพวกเจ้าทุกคนและได้ชัยชนะไปอย่างสมบูรณ์!”
“อ๊ะ?”
การแสดงออกของชิงหยีเปลี่ยนไปนางเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน นางเป็นประมุขตระกูลชิงและนางก็ไม่ได้โง่เขลา แต่เพราะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในวันนี้มันจึงทำให้จิตใจของนางเฉื่อยชาไปชั่วขณะ
เผ่าพันธุ์เงือกไม่ได้แอบสุมหัวกันแต่พวกมันรวมหัวกันอย่างเปิดเผย!
จักรพรรดิอสูรทั้งสองตนอยู่ที่นี่หากกองทัพไม่ปกป้องที่นี่เอาไว้ พวกมันก็จะสังหารจักรพรรดินีได้อย่างง่ายดายและจากนั้นก็ล้างทวีปนี้ด้วยเลือดต่อ
หวกพวกนางรวบรวมทหารและผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดมาที่นี่พวกมันก็จะแยกทัพออกไปโจมตีที่อื่นต่อ พวกมันจะค่อยๆกำจัดไปทีละเมืองและจากนั้นก็มาสังหารจักรพรรดินีในที่สุด
แต่แน่นอนว่า!
อันที่จริงแล้วจักรพรรดิอสูรทั้งสองสามารถร่วมมือกันและสังหารเฟิ่งหลวนได้เมื่อนางตายแล้ว ทวีปเฟิ่งหมิงก็จะไร้ผู้ปกครองและจะต้องเกิดความโกลาหลแน่นอน และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ทวีปนี้ก็จบสิ้นทันที
แต่ทำไมจักรพรรดิอสูรทั้งสองตนนั้นยังไม่โจมตีกัน?
ชิงหยีไม่รู้เจียงอี้เองก็ไม่รู้เช่นกัน เฟิ่งหลวนยิ่งไม่รู้ ตอนนี้มีเพียงจักรพรรดิอสูรทั้งสองเท่านั้นที่รู้แผนการณ์ของพวกมัน
“นายน้อยท่านมีแผนการหรือไม่เจ้าคะ?”
ชิงหยียิ้มอย่างขมขื่นและมองไปที่เจียงอี้ด้วยความหวังเมื่อนางถามออกไป นางก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ นางฝากความหวังไว้กับชายคนหนึ่งจริงๆ? ไม่ใช่ว่านางดูถูกผู้ชายมาทั้งชีวิตของนางและจะไม่พึ่งพาพวกเขาหรือ? ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน…?
ชิงหยีไม่รู้ว่านางไม่ได้พยายามพึ่งพาผู้ชายแต่มันกลับเป็นเพราะนางเป็นทาสของเจียงอี้มากกว่า มันจึงทำให้นางหวาดกลัวเจียงอี้และด้วยความที่เจียงอี้แข็งแกร่งและน่างเกรงขามและมีเฟิ่งหลวนเป็นทาสวิญญาณของเขา ในใจของนาง เจียงอี้เป็นดั่งยอดฝีมือและยอดฝีมือก็มักจะให้ความรู้สึกที่น่าเชื่อถือออกมา และในตอนนี้เจียงอี้ก็มีความมั่นใจและมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาซึ่งมันส่งผลต่อนางโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่และเมื่อเจียงอี้พูดออกมาอย่างกะทันหัน นางก็ตกใจเล็กน้อย “ข้ายังไม่มีแผนการดีๆ แต่ข้ามีแผนอยู่!”
เมื่อชิงหยีได้สติคืนมาใบหน้าของนางก็แดงก่ำขณะที่พูดออกมาด้วยความดีใจ “นายน้อยโปรดพูดออกมาเถอะเจ้าค่ะ หากท่านทำให้ศัตรูล่าถอยกลับไปได้ ท่านจะเป็นผู้มีพระคุณต่อทวีปเฟิ่งหมิง พลเมืองทุกคนจะขอบคุณนายน้อยไปหลายชั่วอายุคนเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะๆไม่ต้องเลียแข้งเลียขาข้าหรอก”
เจียงอี้กลอกตามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาอยู่ที่ทวีปนี้ หากเขาช่วยพวกนางขับไล่ศัตรู แล้วพลเมืองของพวกนางจะขอบคุณเขายังไง?
เจียงอี้ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ“ความแข็งแกร่งของเฟิ่งเอ๋อร์อยู่ระดับไหนแล้ว? นางสามารถเอาชนะจักรพรรดิเงือกได้ไหม? แล้วถ้าเอาชนะจักรพรรดิอสูรชือล่ะ?”
ชิงหยีคิดเรื่องนี้และพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ“จักรพรรดินีได้ปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณระดับสูงมา มันเป็นรูปแบบเต๋าราตรีที่อยู่ในประเภทเต๋าฟ้าดิน ซึ่งมันมีพลังมหาศาล หากเราร่วมมือกับนาง แม้ว่าจะไม่สามารถสังหารจักรพรรดิเงือกได้ แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้เจ้าค่ะ….”
นางนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดอีกครั้งว่า“เราไม่ได้รู้เรื่องความแข็งแกร่งของจักรพรรดิอสูรชือมากนัก มันน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาศัยอยู่ในทะเลส่วนลึกและเราไม่เคยสู้กับมันมาก่อนเจ้าค่ะ”
“รูปแบบเต๋าราตรี?”
เจียงอี้พึมพำเงียบๆรูปแบบเต๋าฟ้าดินนั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงยากที่สุดและมีพลังมากที่สุด แต่เฟิ่งหลวนก็สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของนางเท่านั้น
เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่ราชันปีศาจพูดที่ทะเลบูรพาเวิ้งว้างขึ้นมาได้เขาก็ถามว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องการจัดอันดับของจักรพรรดิอสูรในทะเลบูรพาเวิ้งว้างหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอสูรชืออยู่หนึ่งในห้าอันดับต้นๆ แล้วจักรพรรดิเงือกตนนี้อยู่ในอันดับที่เท่าไหร่กัน?”
“ห้าอันดับต้นๆ?”
ชิงหยีหน้าซีดและพูดว่า“มีข่าวลือว่าทะเลบูรพาเวิ้งว้างมีจักรพรรดิอสูรสิบห้าตนและจักรพรรดิเงือกตนนี้อย่างมากก็อยู่ที่อันดับสิบ หากจักรพรรดิอสูรชือติดหนึ่งในห้าอันดับแรกเช่นนั้นก็เป็นศัตรูที่เราไม่สามารถเอาชนะมันได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าจะตื่นตระหนกไปทำไม?”
เจียงอี้จ้องไปที่ชิงหยีและถามอีกครั้งว่า“มีผู้ชายที่อยู่ขอบเขตจินกังในทวีปของเจ้าหรือเปล่า? เขาต้องอยู่ขอบเขตจินกังขั้นที่หนึ่งก็พอ”
“นี่…..มีเจ้าค่ะ!”
ชิงหยีตอบว่า“เชื้อสายของจักรพรรดินีมีผู้ชายที่อยู่ขอบเขตจินกัง แต่เขาแก่กว่านิดหน่อยและอาจจะติดอยู่ที่ความแข็งแกร่งนี้ไปตลอดชีวิต”
เจียงอี้กวักมือและพูดว่า“ไปตามเฟิ่งเอ๋อร์มา ข้ามีแผนที่จะทำให้จักรพรรดิอสูรชือล่าถอยไปชั่วคราว และเมื่อเราขับไล่เผ่าพันธุ์เงือกไปแล้ว จักรพรรดิอสูรชืออาจไม่กล้าโจมตีทวีปนี้เอง ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะโจมตีไปแล้ว”
“อ๊ะ?”
ชิงหยีดีใจขึ้นมาทันทีและรีบวิ่งออกไปภายในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที นางก็พาจักรพรรดินีมาที่นี่ด้วยความรีบร้อน
บรึฟ!
เจียงอี้ไม่เสียเวลาพูดสิ่งใดอีกเขาหยิบราชวังจักรพรรดิออกมาและเอาศพของราชันปีศาจออกมา ราชันปีศาจตนนี้ไม่มีหัวและเหลือเพียงครึ่งตัว แต่คนอื่นก็ดูออกว่ามันคือสิงโตทะเล แม้แต่ศพเพียงครึ่งตัวก็มีขนาดเท่าภูเขาขนาดเล็กแล้วและมันได้กินพื้นที่หนึ่งในสามส่วนของโถงราชวังไป
เจียงอี้หยิบแหวนมิติวงหนึ่งออกมาและเก็บศพของสิงโตทะเลไว้ในนั้นเขามอบให้เฟิ่งหลวนและกล่าวว่า “ให้คนในตระกูลเจ้าที่อยู่ขอบเขตจินกังนำแหวนวงนี้ไปและแอบไปทางชายทะเลตะวันตก บอกให้เขานำศพออกมาและบินตรงไปยังทะเลตะวันตกขณะที่แบกศพได้ด้วย ยิ่งเขาไปได้ไกลเท่าไหร่ เราก็จะล่อจักรพรรดิอสูรชือได้นานขึ้น แต่ข้าบอกได้เลยว่าคนผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอนและหากเขาสามารถฆ่าตัวตายได้ก่อนที่จักรพรรดิอสูรชือจะจับเขาได้ มันจะสมบูรณ์แบบมาก ยิ่งไปกว่านั้น…เขาจะต้องอำพรางตัวเอง ให้เขาไว้ผมยาวสีแดงและทำให้เขาดูเด็กลงหน่อย..”
หลังจากที่เจียงอี้ให้คำชี้แนะโดยและเอียดแล้วชิงหยีก็งงงวยเล็กน้อย แต่เฟิ่งหลวนคิดอะไรบางอย่างได้ นางหยุดนิ่งไปชั่วขณะและออกไปจัดการโดยไม่ถามออกมาแม้แต่คำเดียว
ส่วนชิงหยีถามออกมาด้วยความงุนงง“นายน้อย ทำไมจักรพรรดิอสูรชือถึงจะตามไปสังการผู้ที่แบกศพราชันปีศาจกันเจ้าคะ?”
“เรื่องนี้น่ะหรอ…”
เจียงอี้ไม่มีท่าทีใดๆแต่ในใจของเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะเขาไม่สามารถอธิบายความจริงได้ เขาไม่สามารถบอกนางได้ว่าศพนี่เป็นศพของลูกชายจักรพรรดิอสูรชือและเขามีส่วนที่ทำให้ทวีปเฟิ่งหมิงเป็นเช่นนี้เพราะจักรพรรดิอสูรชือกำลังไล่ล่าเขา
เขามองไปที่ดวงตาที่อยากรู้อยากเห็นของชิงหยีและจับจ้องไปที่หน้าอกของนางและพูดว่า“ชิงหยีน้อย…..นายน้อยทำสิ่งนี้เพราะมีเหตุผลบางอย่าง ทำไมเจ้าไม่ออกไปจัดการหยุดกองทัพพวกมันล่ะ? หรือเจ้าจะมาปรนนิบัติข้าเพื่อทำสิ่งที่เร่าร้อนและไร้ยางอายกับข้า?”
….

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

Status: Ongoing

เรื่องย่อ

ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ

ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้

วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก

ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ

ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้

จึงได้อุบัติขึ้น!

หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง

เกลื่อนปฐพี!

หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท