เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 581-582

บทที่ 581-582

บทที่ 581 ฝ่าเข้าไป
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าพวกเจ้าบุกรุกจักรวรรดิเฟยหม่าและถูกประหารโดยไม่มีการถามใดๆทั้งสิ้น”
ณพื้นที่ทางทะเลตะวันออกของทวีปเฟยหม่า กองทหารลาดตระเวนขี่อาชาเหินฟ้ามาหยุดที่เรือลำเล็กลำหนึ่ง พวกเขาชักอาวุธออกมาในทันทีและจ้องมองเรืออย่างเป็นปรปักษ์ พวกเขาจะโจมตีทันทีหากคนในเรือทำอะไรบางอย่างโดยประมาท
ผู้เฒ่าผมหงอกเดินออกมาจากห้องโดยสารเขากวาดสายตาไปรอบๆหน่วยลาดตระเวนอย่างหยิ่งผยองก่อนที่จะจับจ้องไปยังผู้บัญชาการและป้องมือ “ข้ามีนามว่าฉีชิง แม่ทัพเขี้ยวมังกรแห่งจักรวรรดิเงาทมิฬ องค์ชายสิบหกอยู่บนเรือนี้ เรามาภายใต้คำสั่งขององค์จักรพรรดิเพื่อแล่นเรือไปยังทวีปเฟยหม่า นี่คือป้ายคำสั่งของข้า โปรดให้พวกเราไปเถอะ”
แม่ทัพเฒ่าโยนป้ายคำสั่งสีทองออกมาหลังจากที่ผู้บัญชาการตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้วเขาก็โยนมันกลับไปและป้องมือของเขา “แม่ทัพฉีและองค์ชายสิบหก ข้าขออภัยที่รบกวนพวกท่าน ทุกคนจงฟัง! ปล่อยพวกเขาไป!”
ฟรึ่บ!ฟั่บ! ฟรึ่บ!
ทหารหลายร้อยคนที่อยู่ด้านหน้าควบคุมอาชาเหินฟ้าและถอยไปด้านข้างทันทีเรือลำเล็กนั้นแล่นออกไปและในไม่ช้าก็หายลับไปในสายตาทุกคน
หัวหน้ากองทหารถามผู้บัญชาการอย่างงงงวยว่า“ท่านใต้เท้า พวกเขาไม่มีหนังสือรับรองใดๆเลย ทำไมเราถึงปล่อยให้เขาเข้าไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ล่ะขอรับ?”
“ฮึ่ม!”
แม่ทัพผู้นั้นกระแอมและพูดว่า“หากข้าจำไม่ผิด องค์ชายสิบหกนี้เกิดมาจากนางบำเรอ เขากล้าเข้ามาที่นี่ด้วยคนเพียงเท่านี้ได้อย่างไร?! เขาอาจจะเสียสติไปเพราะความโลภน่ะ ฮ่าฮ่า ยอดฝีมือมากมายโถมเข้ามายังเมืองผืนทราย หากองค์ชายผู้นี้อยากรนหาที่ตาย ทำไมไม่ให้เขาสมความปรารถนาซะล่ะ?”
“แต่ยังไงมันก็ถือว่ามันไม่เป็นไปตามกฏนะขอรับ”หัวหน้ากองทหารยังคงพูดอย่างลังเล
“เจ้ารู้อะไรไหม?!”
แม่ทัพมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว“เขาคือองค์ชาย ยังไงเราก็ห้ามเขาไม่ได้หากเขายังจะดั้นด้นเข้าไป เจ้าไม่เห็นว่าแม่ทัพทั้งหลายด้านหน้านั้นไม่หยุดเขาเช่นกันหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นนะ มีผู้คนมากมายเท่าใดที่ฝ่ามาที่นี่ในช่วงหลายวันมานี้? แล้วเราจะหยุดพวกเขาได้หมดจริงๆหรอถึงแม้ว่าเราจะอยากทำเช่นนั้นน่ะ?”
“โอ้จริงด้วยขอรับ….”
หัวหน้ากองทหารคนนั้นเกาจมูกของเขาบรรดานายน้อยและคุณหนูรุ่นเยาว์จากตระกูลที่มีชื่อเสียงในทวีปจักรพรรดิบูรพาต่างพากันพุ่งมาที่นี่โดยไม่พูดสิ่งใดเลย ใครที่ต้องการหยุดพวกเขาอาจจะเบื่อกับการมีชีวิตอยู่แล้วก็ได้
“เหอะๆ!”
หัวหน้ากองทหารมองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือและเย้ยหยัน“องค์ชายปัญญานิ่มผู้นั้นคงรนหาที่ตายอย่างแน่นอน เมืองผืนทรายนั้นเต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลใหญ่ๆ ด้วยพละกำลังเพียงน้อยนิดของเขา หากเขาไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองเข้า เขาอาจจะตายไปอย่างไร้ค่าเลยด้วยซ้ำ”
….
“นายน้อยที่สองทวีปเฟยหม่าอยู่ข้างหน้าเราแล้วขอรับ”
ในเรือ,ผู้อาวุโสฉีพูดกับเจียงอี้ด้วยความเคารพว่า “เราสามารถขึ้นไปก่อนได้และขอให้จักรวรรดิเฟยหม่าส่งทหารที่มีเกียรติให้ไปกับเราด้วยหรือเราจะบินไปด้วยตัวเองหรืออยู่บนเรือเหาะต่อไปก็ได้ขอรับ นายน้อยที่สองโปรดตัดสินใจ”
เจียงอี้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องโดยสารเขาแสร้งทำเป็นลูกพี่ลูกน้องของจูสุยและผู้อาวุโสฉีก็จำเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็เข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน และจูสุยกับองครักษ์อีกคนก็นั่งอยู่ตรงนั้นแต่พวกเขารู้สึกราวกับว่าได้นั่งอยู่บนเบาะที่ถูกตรึงไว้ตลอดเวลา
“เรือลำนี้เหาะได้ด้วยหรอ?”
เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและถามอย่างประหลาดใจ“แล้วความเร็วของมันล่ะ?”
ผู้อาวุโสฉีตอบว่า“มันพอๆกับบนทะเลและแทบจะเทียบไม่ได้กับความเร็วของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่สามเลยขอรับ”
“อืม”
เจียงอี้ครุ่นคิดพักหนึ่งและตระหนักได้ว่าเรือลำนี้บินอยู่ในทะเลและส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สัมผัสกับน้ำทะเลเลยด้วยซ้ำเขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “หากเราบินไปที่เมืองเช่นนี้ จักรวรรดิเฟยหม่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“จะต้องมีปัญหาแน่นอนขอรับ!”
ผู้อาวุโสฉีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบว่า“หากเป็นเวลาปกติแล้ว เราอาจถูกสอบสวนระหว่างทางอยู่บ่อยครั้งและอาจถูกถามเกี่ยวกับประวัติประจำตัวของเราโดยมีทหารประกบหลังพวกเราตลอด แต่เวลานี้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั้นได้ปรากฏอยู่ทางเหนือของเมืองผืนทรายและผู้คนมากมายจากทวีปจักรพรรดิบูรพาก็มาที่นี่ ตอนนี้ทวีปเฟยหม่านั้นจะต้องเต็มไปด้วยผู้คนอย่างแน่นอนและคนของจักรวรรดิเฟยหม่าจะไม่กล้าหยุดพวกเขาแน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะตายโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้….”
“เข้าใจแล้ว!”
เจียงอี้โบกมือและกล่าวว่า“ถ้าอย่างนั้นเราก็บินไปเลยแล้วกัน ยิ่งเราก้าวร้าวมากเท่าไหร่ยิ่งดี! เปิดโล่พลังรอบเรือเหาะซะ การจะข่มขวัญผู้ที่กล้าหยุดเราเจ้าจะต้องแข็งแกร่งและมีอำนาจเหนือกว่า”
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสฉีเข้าใจในทันทีเจียงอี้ต้องการที่จะตรงไปยังเมืองผืนทรายและด้วยวิธีนี้ กองทัพเฟยหม่าจะไม่กล้าหยุดพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าจะมีผู้มีอำนาจเพียงใดอยู่ข้างใน มีผู้คนมากมายมายังทวีปเฟยหม่าและหากพวกนั้นทำให้คนเหล่านั้นรำคาญก็อาจจะเกิดการนองเลือดได้
ฟรึ่บ!ฟั่บ!
เรือลำเล็กลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นเรือเหาะโล่สีน้ำเงินเข้มก็ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกและล้อมรอบเรือเอาไว้ มันกลายเป็นลำแสงสีฟ้าและพัดผ่านไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
อย่างที่คาดไว้!
ขณะที่เรือเหาะบินอยู่เหนืออาณาจักรเฟยหม่าและผ่านมาหลายเมืองแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจผิดและคิดว่าผู้ที่อยู่ในเรือเหาะนี้มาจากตระกูลระดับสูงในทวีปจักรพรรดิบูรพา
เมืองผืนทรายนั้นอยู่ศูนย์กลางของอาณาจักรเฟยหม่าตอนนี้เจียงอี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปและไม่ไกลจากเมืองนัก พวกเขาเดินทางทั้งวันทั้งคืนและอาจไปถึงเมืองผืนทรายในครึ่งเดือนโดยไม่มีอุบัติเหตุใดๆ มันยังคงอยู่ในเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจะปิดลง ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาอยู่
หลังจากที่บินไปได้หนึ่งวันพวกเขาก็ไม่พบปัญหาใดๆ จากนั้นเจียงอี้จึงขอให้ผู้อาวุโสฉีควบคุมเรือเหาะให้บินให้สูงขึ้น หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องเพื่อทำความเข้าใจกับศาสตร์เวทย์ เมื่อมีเฟิ่งหลวนอยู่ หากเกิดอันตรายใดๆ นางจะแจ้งเขาทันทีดังนั้นเขาจึงไม่มีเรื่องต้องกังวลมากเกินไป
เจียงอี้เข้าสู่สันโดษและไม่ได้ออกมาข้างนอกเลยส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็เช่นกัน พวกนางไม่ใช่ทาสวิญญาณของเจียงอี้อีกต่อไป พวกนางไม่ต้องแบกรับความกดดันหรือความรับผิดชอบอะไรมากมายราวกับพวกนางเป็นเด็กสาวสองคนที่ออกมาเที่ยวเล่นซึ่งทำให้พวกนางเริงร่ามาก
“หยุด!”
ในวันที่สิบแปดเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงเมืองผืนทรายเพียงหนึ่งวัน พวกเขากลับถูกหยุดโดยเหล่ากองทัพ ผู้นำคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดโดยที่มีทหารอาชาเหินฟ้ามากกว่าพันคนล้อมรอบเรือเหาะอยู่ แม่ทัพผู้นั้นอยู่ในชุดเกราะสีเทาและมีท่าทีเย็นชา
“แม่นางเราควรทำเช่นไรดีขอรับ?”
เจียงอี้นั้นเข้าสู่สันโดษอยู่เขาจึงต้องหันไปหาเฟิ่งหลวน นางจึงบอกว่า “เจ้าออกไปคุยกับพวกเขาก่อน”
ผู้อาวุโสฉีปิดอาคมยับยั้งของเรือเหาะและเฟิ่งหลวนก็ระงับกลิ่นอายของนางแต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับความหดหู่และรายงานว่า “แม่นาง แม่ทัพผู้นั้นบอกว่าในตอนนี้เมืองผืนทรายเต็มไปด้วยนายน้อยและคุณหนูจากตระกูลที่มีชื่อเสียง จึงมีการบังคับใช้กฎอัยการศึกในเมือง ดังนั้นผู้ที่ไม่มีหนังสือรับรองหรือบัตรผ่านของจักรวรรดิเฟยหม่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
“นี่!”
ใบหน้าของเฟิ่งหลวนมืดมนลงจูสุยแอบออกมาและไม่มีหนังสือรับรองใดๆ บัตรผ่านคืออะไร? เขาจะไปหามันมาจากไหน? แล้วมันยุ่งยากหรือไม่? หากล่าช้าไปอีกสิบวันหรือภายในครึ่งเดือน ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจะถูกปิดไปอีกนานและแม่นางอีที่สามอาจจะอยู่ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับอีกนาน
“จะคิดอะไรมากมาย?”
ในขณะนั้นเองเสียงตะโกนอันเย็นชาก็ดังมากจากห้องหนึ่ง ประตูถูกเปิดออกมาและเจียงอี้ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาตะโกนออกมาว่า “ก็แค่ฝ่าเข้าไป ฉีเหลาไปบอกแม่ทัพนั่นซะว่าหากเขากล้าหยุดเรา ก็จงรับผลที่ตามมาซะ”
บทที่ 582 ยาเปลี่ยนกาย
“นายน้อยของเราบอกว่าเขาต้องเข้าไปในเมืองผืนทรายนี้ผู้ใดก็ตามที่กล้าหยุดเขาก็เตรียมตัวรับกับผลที่ตามมาซะ!”
เสียงที่สูงวัยแต่หนักแน่นดังก้องไปทั่วหลังจากนั้นโล่ก็ส่องสว่างไปรอบๆเรือเหาะที่พุ่งไปด้านหน้า มีทหารกลุ่มหนึ่งดักรอพวกเขาอยู่ด้านหน้าและมีอย่างน้อยหลายสิบคน หากเรือเหาะนั่นไม่หยุด มันจะบดขยี้พวกเขาไป
“ท่านแม่ทัพ!”
หัวหน้ากองทัพที่อยู่ด้านหน้าตะโกนอย่างรวดเร็วและแม่ทัพก็ดูบึ้งตึงเขาเมินเฉยต่อหัวหน้ากองทัพและตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าพวกเจ้าดูหมิ่นกองทัพของจักรวรรดิของเราและจะถูกประหารทันที!”
เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วแต่เจ้าของเรือเหาะก็ตัดสินใจไปแล้วและควบคุมให้เรือเหาะพุ่งตรงเข้าไปโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
“เช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่ต้องล่วงเกินทุกคนจงฟัง โจมตีได้!”
แสงอันเย็นเยียบส่องไปรอบดวงตาของแม่ทัพและเขาก็สั่งการเมื่อเห็นเรือเหาะอยู่ห่างจากทหารสามกิโลเมตรแต่ในตอนนั้นเอง กลิ่นอายที่น่าหวั่นเกรงก็ได้แผ่ออกมาจากเรือเหาะซึ่งทำให้ทุกคนหยุดการโจมตีหรือแม้แต่จะหายใจได้
“ขอบเขตเทียนจุน!”
แม่ทัพหน้าซีดไปและคนอื่นที่เหลือต่างก็ดูหวาดกลัวหากอีกฝ่ายเริ่มลงมือสังหาร พวกเขาทั้งหมดอาจต้องตายอยู่ที่นี่ ขอบเขตเทียนจุนนั้นไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่สามารถเทียบเคียงได้
“ข้าไว้หน้าพวกเจ้ามามากพอแล้ว!”
เสียงนั้นดังมาจากเรือเหาะก่อนที่มันจะเป็นกระแสแห่งแสงพุ่งเข้าใส่อาชาเหินฟ้าหลายสิบตัวและทำให้ทหารมากมายต่างพากันกระอักเลือดออกมาสุดท้ายแล้วเรือเหาะก็กลายเป็นเงาสีน้ำเงินและบินเข้าไปยังเมืองผืนทราย
“ท่านแม่ทัพ!”
หลังจากเรือเหาะบินไปแล้วหัวหน้ากองทัพก็โน้มตัวอย่างโกรธเกรี้ยวและตะโกนออกมาอย่างเย็นชาว่า “องค์ชายแห่งจักรวรรดิเงาทมิฬผู้นี้ช่างน่าเกรงขามจริงๆ เราควรรายงานองค์ชายใหญ่และส่งคนไปจัดการเขาไหมขอรับ?”
“ไม่ต้อง!ปล่อยพวกเขาไปซะ”
ร่องรอยของความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของแม่ทัพและเขาก็กล่าวอย่างจริงจังว่า“คนที่พูดเมื่อครู่นี้ไม่น่าใช่จูสุย จูสุยไม่มีความสามารถที่จะจัดการกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้ เขาน่าจะเป็นนายน้อยจากตระกูลที่น่ายกย่องในทวีปจักรพรรดิบูรพาที่เข้ามาในเมืองนี้โดยอ้างจูสุยเพื่อที่จะมาเอาสมบัติไปอย่างลับๆ เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว หากเราไปก่อกวนผู้ที่มีอำนาจเข้า แม้แต่องค์ชายใหญ่เองก็อาจติดร่างแหไปด้วย”
“ขอรับ!”
หัวหน้ากองทัพพยักหน้าอย่างหนักใจและมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือก่อนจะถอนหายใจ“จำนวนนายน้อยและคุณหนูที่เปิดเผยตัวตนออกมามีมากกว่าสิบคน แต่จะมีอีกกี่คนที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดกันนะ? มีความครื้นเครงเกิดขึ้นในเมืองผืนทราย มันน่าเสียดายนักที่เราไม่มีคุณสมบัติพอแม้แต่จะได้มองดูมัน”
แม่ทัพยิ้มอย่างแผ่วเบาและตบบ่าหัวหน้ากองทัพผู้นี้และพูดว่า“เจ้าหนู เร่งฝึกฝนบ่มเพาะพลังซะ เราไม่ได้มีภูมิหลังที่ดีเด่น หากว่าเราอยากจะอยู่เหนือผู้อื่นและเป็นที่รู้จักไปทั่วปฐพี มีทางเดียวคือการบ่มเพาะพลัง เมื่อความแข็งแกร่งเจ้ามากพอถึงระดับหนึ่งแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะได้การยอมรับจากผู้อื่น ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องอยู่กับการร้องขอผู้อื่นไปตลอดชีวิต”
“ขอรับ!”
หัวหน้ากองทัพกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นเขามองไปยังท้องฟ้าทางตะวันออกเฉียงเหนือด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล

“นายน้อยที่สองเมืองผืนทรายน่าจะอยู่ด้านหน้าเราแล้วขอรับ เราจะบินต่อไปหรือไม่ขอรับ?”
หลังจากนั้นหนึ่งวันในยามบ่ายแก่ๆเมื่ออาทิตย์กำลังจะตกดิน เรือเหาะก็ได้บินผ่านเทือกเขายักษ์ไป ที่ราบปรากฏขึ้นด้านหน้าและเมื่อเมืองขนาดยักษ์สามารถเห็นได้จากไกลลิบตา ผู้อาวุโสฉีก็ขอคำชี้แนะจากเจียงอี้
“ค่อยๆลงไปข้างล่าง”เจียงอี้เห็นเมืองยักษ์จากหน้าต่างห้องโดยสารและรีบออกคำสั่ง
น่าขันนัก!
เขาไม่ใช่นายน้อยจากตระกูลที่มีชื่อเสียงจริงๆหากเขาบินตรงเข้าไปดื้อๆคงต้องมีคนสังหารเขาอย่างแน่นอน หากเฟยเทียนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เขาจะต้องเป็นคนแรกที่มาสังหารเขาเป็นแน่
เจียงอี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อรนหาที่ตายหรือหาสมบัติใดๆในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเขาเพียงต้องการจะพบแม่นางอีที่สามและถามนางเกี่ยวกับอีเพียวเพียว ดังนั้นเขาจึงต้องทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจตลอดเวลา
เรือเหาะนั้นร่อนลงไปส่วนเจียงอี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและทันใดนั้นเขาก็บอกเฟิ่งหลวนว่า “ถ้าเราไม่เข้าไปในนั้นและให้จูสุยและคนอื่นๆตระเวนไปรอบๆเพื่อหาว่าแม่นางอีที่สามอยู่ที่ใดและจากนั้นเราก็ไปเยี่ยมนางโดยตรงเลยดีไหม?”
“นั่นเป็นความคิดที่ไม่ค่อยฉลาดนัก…”
เฟิ่งหลวนส่ายหัวและกล่าวว่า“มียอดฝีมืออยู่ที่นี่มากมาย หากเราพยายามซ่อนตัว การทำเช่นนั้นเรามีโอกาสถูกเผยตัวตนมากขึ้น ปัจจุบัน เมืองนี้ล้วนมีทั้งคนดีและคนไม่ดีซ่อนอยู่ที่นี่ หากเราสามารถเข้าไปในเมืองได้สำเร็จ ข้าว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่า”
“ก็จริงนะ”
เจียงอี้คิดอยู่พักหนึ่งและเห็นด้วยกับนาง
แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถเข้าไปในเมืองด้วยเรือเหาะได้ เขาเองก็ดูโดดเด่นเกินไป หากเฟยเทียนได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขา เขาก็อาจจะถูกเปิดเผยตัวตนทันที
“นายน้อยที่สอง!”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสฉีก็พูดขึ้นมาแหวนในมือของเขาส่องแสงขึ้นและมีกล่องหยกหนึ่งกล่องปรากฏออกมา เขาส่งมันไปให้เจียงอี้และกล่าวว่า “นี่คือยาพิเศษจากทวีปเงาทมิฬของเรา มันเรียกว่ายาเปลี่ยนกาย มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปกายของท่านได้ แต่ยานี้จะคงอยู่เพียงสามวันและกลิ่นอายของวิญญาณนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะได้ผลหากไม่มียอดฝีมือมาจับตามองเราอย่างใกล้ชิด”
“หืม?”
ดวงตาของเจียงอี้,เฟิ่งหลวนและชิงหยีสว่างขึ้นมา สมบัติดังกล่าวนั้นมีอยู่จริงๆหรือ? โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าอัศจรรย์นัก
ทั้งสามคนมองหน้ากันเจียงอี้รับกล่องนั้นมาและพบว่ามียาขนาดเล็กจำนวนหนึ่งอยู่ภายในนั้น แต่กลิ่นของมันค่อนข้างไม่สู้ดีนัก
“นายน้อยไม่เป็นไรขอรับ ยานี้ไม่ใช่ยาพิษหรอกขอรับ” เฟิ่งหลวนกวาดมันด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางก่อนและส่งข้อความเสียงหาเขา
เจียงอี้หยิบยานั้นขึ้นมาและกลืนมันในขณะที่ร่างกายและใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเขาตัวเตี้ยลงเล็กน้อย จมูกของเขาก็ดูแหลมขึ้นและใบหน้าของเขาก็ยาวขึ้นเล็กน้อย เขาดูต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“สิ่งนี้ช่างยอดเยี่ยม!”
ดวงตาที่งดงามของเฟิ่งหลวนเปล่งประกายอีกครั้งแต่ชิงหยีขมวดคิ้วและพึมพำ “มันเป็นของที่ไร้สาระสิ้นดี มันทำให้นายน้อยอัปลักษณ์”
“ฮิฮิ!”
เจียงอี้บี้หน้าของเขาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า“การทำให้ตัวเองดูอัปลักษณ์นั้นเป็นสิ่งที่ดีเพื่อที่จะได้ไม่มีคนคอยจำหน้าเราไง เอาล่ะ! เฟิ่งเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนเข้าไปในราชวังจักรพรรดิก่อน ข้าจะตามพวกเขาเข้าไปในเมือง”
เจียงอี้พาทั้งสองเข้าไปในราชวังจักรพรรดิก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องและเปลี่ยนเป็นชุดเกราะปกติเขาใส่เกราะหมวกและถอดต่างหูออกซึ่งเขาดูไม่ต่างจากผู้อาวุโสฉีและคนอื่นๆเลย เขานั้นเป็นเหมือนทหารธรรมดาๆ
“ทุกคนจงฟังให้ดีจากนี้ไปข้าคือองครักษ์ของนายน้อย ข้ามีนามว่าหมาป่าเดียวดาย เมื่อมีคนแปลกหน้าอยู่ใกล้ๆ ข้าจะเป็นเพียงองครักษ์ เข้าใจไหม?”
เจียงอี้กวาดสายตาไปหาทุกคนด้วยสายตาที่ดุร้ายและทุกคนก็พยักหน้ากันอย่างไม่รอช้าเรือเหาะยังคงบินไปข้างหน้าและในไม่ช้ามันก็อยู่ห่างจากประตูเมืองห้ากิโลเมตร แสงของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกกวาดมาอย่างรวดเร็วแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เจียงอี้ส่งสายตาให้จูสุยและจากนั้นจูสุยก็รีบยืดอกและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า“ออกจากเรือเหาะแล้วเปลี่ยนเป็นรถม้าเดินขบวนไปยังเมือง!”
บรึฟ!
ทุกคนบินลงไปที่พื้นจากนั้นเรือเหาะก็กลายเป็นสีขาวและถูกผู้อาวุโสฉีเก็บเข้าไป จากนั้นแหวนของเขาก็เปล่งประกายออกมาและมีรถม้าสองคันปรากฏขึ้น จูสุยและสาวใช้ที่เหลือเข้าไปคันข้างหลังในขณะที่เจียงอี้และคนที่เหลือขึ้นรถม้าคันข้างหน้าไป รถม้าเหล่านี้บินไม่ได้และค่อยๆเคลื่อนขบวนไปด้านหน้าเท่านั้น
มียามอยู่ที่ประตูเมืองซึ่งครั้งนี้พวกนั้นไม่ได้ถามอะไรพวกเขาบางทีอาจจะเป็นเพราะเมืองถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากภายนอกแล้ว และในเมื่อเจียงอี้และกลุ่มของเขาสามารถเข้ามาถึงประตูเมืองได้ พวกนั้นจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องถามพวกเขาอีกต่อไปและทุกคนก็เข้าไปในเมืองได้อย่างง่ายดาย
เมืองผืนทรายนั้นเป็นหนึ่งในสิบเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเฟยหม่าภายในเมืองก็ครื้นเครงอย่างผิดปกติ ตั้งแต่ที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั้นปรากฏขึ้นทางเหนือห่างจากที่นี่ห้าสิบกิโลเมตร ผู้คนนับไม่ถ้วนจึงรีบมาที่นี่ เมืองนี้จึงเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหลวงของจักวรรดิเฟยหม่าเสียอีก
จูสุยและคนอื่นๆยังคงทำตัวไม่เป็นจุดสนใจมาตลอดทางและตรงไปยังเมืองพวกเขาไม่กล้าพักในโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดและหาโรงเตี๊ยมเล็กๆเพื่อจองลานเล็กๆไว้พักเป็นกลุ่มด้วย
ตึกตึกตึก!
ขณะที่ผู้คนกำลังเดินผ่านโถงกลางโรงเตี๊ยมและกำลังจะเดินไปยังสวนหลังโรงเตี๊ยมจู่ๆก็มีคนมากมายเดินมาจากทางเดิน พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมที่งดงามและมีกลิ่นอายที่ไม่มีใครเทียบได้ เจียงอี้, ผู้อาวุโสฉีและคนอื่นๆสัมผัสได้โดยบังเอิญและหน้าซีดทันที ในหมู่คนเหล่านี้ มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอยู่หนึ่งคน!
“นายน้อยระวังตัวด้วย ข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับชายผู้นี้อยู่บ้าง เขาคือองค์ชายใหญ่แห่งจักรวรรดิเฟยหม่า องค์ชายเฟยฉี แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆเช่นนี้”
ผู้อาวุโสฉีส่งข้อความเสียงมาอย่างเงียบๆซึ่งทำให้ใจของเจียงอี้จมลงทำไมเขาจึงโชคร้ายเพียงนี้? เพียงแค่เขาเลือกโรงเตี๊ยมแบบสุ่มสี่สุ่มห้ายังมาเจอองค์ชายใหญ่ได้ เขาหวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาคงจะไม่สามารถจินตนาการได้เป็นแน่

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven

Status: Ongoing

เรื่องย่อ

ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ

ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้

วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก

ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ

ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้

จึงได้อุบัติขึ้น!

หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง

เกลื่อนปฐพี!

หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท