ในวันรุ่งขึ้น เจียงอี้ก็ตื่นแต่เช้า และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกไปคนเดียว หวงฝูเทาเทียนและเฉียนว่านก้วนก็ไปกับเขาขณะที่เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆอยู่ที่บ้าน
ทั้งสามคนนั่งรถม้าไปพร้อมกับทหารสี่คน พวกเขาไม่ได้เข้าไปยังสมาคมการค้าตระกูลหนานกง แต่พวกเขาไปที่ถนนสายหลักหลังสมาคมการค้าและเลี้ยวเข้าไปในประตูหลักของลานตำหนักหนานกง
ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงหน้าประตูหลักของตระกูลหนานกง ทหารคนหนึ่งก็ได้ส่งจดหมายมาแล้ว และหัวหน้ากิจการภายนอกของตระกูลหนานกงก็กำลังรอต้อนรับพวกเขาเมื่อรถม้ามาถึง
เมื่อผู้บัญชาการเห็นเจียงอี้และกลุ่มของเขากำลังลงจากรถม้า เขาก็โค้งคำนับและป้องกำปั้นพร้อมแสดงสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ยินดีต้อนรับท่านอาจารย์ การมาของท่านได้นำแสงสว่างมาสู่ตระกูลหนานกงของเรา นายน้อยมู่หยีของตระกูลเราได้เตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว นายท่าน, นายน้อยหวงฝู, ท่านใต้เท้า เชิญทางนี้เลยขอบรับ”
หวงฝูเทาเทียนพยักหน้าอย่างเฉยเมยขณะที่เฉียนว่านก้วนมองไปยังผู้บัญชาการด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ส่วนเจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรและเดินตามทั้งคู่ไปเงียบๆ เฉียนว่านก้วนดูเย่อหยิ่งมากขณะที่เขาถูกหัวหน้างานนำทางไป ซึ่งมันเผยการวางตัวของปรมาจารย์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และเจียงอี้รู้สึกขบขันเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น
ลานตำหนักตระกูลหนานกงใหญ่มากและมันยังมีลานตำหนักเล็กๆอยู่ภายในประตูหลักอีก ในนั้นมีรูปปั้นของจักรพรรดิหนานกงอีกองค์หนึ่ง แต่มันมีขนาดเล็กกว่ามากและมีขนาดเท่าคนปกติ
เฉียนว่านก้วนและหวงฝูเทาเทียนหยุดชั่วขณะและคำนับรูปปั้นอย่างเคารพก่อนที่พวกเขาจะเดินต่อไป ส่วนเจียงอี้ก็ทำตามเช่นกัน เนื่องจากจักรพรรดิหนานกงเป็นเทพของเผ่าเทพประทาน หากไม่ใช่เพราะเขา ทั้งสิบสามตระกูลคงถูกกำจัดจนสิ้นซากไปแล้วและจะไม่มีพวกเขาอยู่อีกต่อไป
หลังจากจัตุรัสไปก็เป็นปราสาทเรียงแถวกันซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันไป ทุกๆคนเดินไปรอบๆปราสาททั้งหลายที่ด้านหน้าและมุ่งหน้าไปยังลานตะวันออก หลังจากเดินผ่านปราสาทไปกว่าห้าสิบแห่ง ในที่สุดผู้บัญชาการก็หยุดและชี้ไปที่ประตูปราสาทและกล่าวว่า “ทุกท่าน เชิญขอรับ นี่คือปราสาทมู่หยีของนายน้อยมู่หยี”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ก่อนที่เจียงอี้และคนอื่นๆจะเข้ามา ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากด้านใน “ไม่แปลกใจเลยที่มู่หยีรู้สึกว่าตาซ้ายของข้ากระตุกในช่วงเช้าตรู่นี้ ข้ากำลังคิดเลยว่าจะมีสิ่งดีๆอะไรเกิดขึ้นในวันนี้กัน ในที่สุดข้าก็เข้าใจ เป็นเพราะท่านอาจารย์และพี่ใหญ่หวงฝูมานี่เอง…”
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีดำเดินออกมาพร้อมสาวใช้หลายคน เจียงอี้เคยเจอคนผู้นี้มาก่อน แต่หลังจากที่มองคนผู้นี้อย่างละเอียดแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความดูดีของเขาอยู่เงียบๆ
ทำไมนายน้อยตระกูลใหญ่ๆถึงได้หล่อเหลากันนะ? เสียเฟย, หวู่นี่, ลู่หลินและหวงฝูเทาเทียนเองต่างก็น่าหลงใหล พวกเขายังมีกลิ่นอายพิเศษและดูโดดเด่น ส่วนสตรีจากตระกูลใหญ่ทุกคนเองก็งดงามราวกับเทพธิดา…
ความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้ แต่เขาก็เข้าใจหลังจากที่ได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ ภรรยาของทายาทตระกูลใหญ่ๆคนใดบ้างที่ไม่มีสาวงามที่งดงามอยู่ด้วย? หลังจากที่ผ่านไปหลายชั่วอายุคน การเปลี่ยนแปลงจะดีขึ้นโดยธรรมชาติ ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ถูกสอนมารยาทตั้งแต่อายุยังน้อยและพวกเขามีโอกาสได้รับประสบการณ์มากมาย ดังนั้นกลิ่นอายพวกเขาจึงโดดเด่นอยู่แล้ว
“ท่านนี้คือ?”
เมื่อหนานกงมู่หยีเห็นเจียงอี้อยู่ข้างหลังเฉียนว่านก้วนขณะที่เหล่าทหารถูกสั่งให้อยู่ข้างนอก เขาก็ถามด้วยความสงสัย เฉียนว่านก้วนจึงหัวเราะเสียงดังและตอบว่า “นายน้อยมู่หยี นี่คือพี่น้องข้าเองและแซ่ของเขาคือเจียง! เสี่ยวเจียง รีบทักทายนายน้อยมู่หยีเร็วเข้า”
เจียงอี้รีบทักทายเขาอย่างรวดเร็ว “คารวะนายน้อยมู่หยี”
“น้องเจียงสุภาพเกินไปแล้ว”
เจียงอี้ไม่ได้ใช้หินจันทร์มายาแต่เขาใช้ยาแปลงกายมันจึงทำให้เขาดูปกติมาก นายน้อยมู่หยียิ้มและพยักหน้าโดยไม่ได้สนใจอะไรอีก ก่อนที่เขาจะดึงมือเฉียนว่านก้วนและหวงฝูเทาเทียนเข้าไปข้างใน เขาเดินเข้าไปและยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ท่านอาจารย์ พี่ใหญ่หวงฝู ข้าได้ใบชาปีกวิหคมาเมื่อไม่นานมานี้ ท่านทั้งสองน่าจะลองลิ้มรสชาติของมัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายน้อยมู่หยีสุภาพเกินไปแล้ว ใบชาปีกวิหคเป็นของพิเศษจากเกาะทะเลสาบมรกตใช่ไหม? ข้าได้ยินมาว่ามันผลิตเพียงห้าขีดในทุกๆปี พี่ใหญ่หวงฝู เราโชคดีจริงๆ”
เฉียนว่านก้วนยิ้มและหัวเราะ ดูเหมือนว่าเขาจะทำการบ้านมาอย่างดีเพื่อที่จะสวมรอยเป็นอีเพียวเพียวและเขายังถึงกับค้นคว้าเกี่ยวกับใบชาของเผ่าเทพประทานมาด้วย? ส่วนหวงฝูเทาเทียนยังคงนิ่งเงียบและหากหนานกงมู่หยีถามอะไรเขา เขาก็จะตอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น Aileen-novel
และมันเป็นเช่นนั้นหลังจากที่เข้าไปในปราสาท เจียงอี้และหวงฝูเทาเทียนยังคงนิ่งเงียบขณะที่เฉียนว่านก้วนและหนานกงมู่หยีกำลังสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งเจียงอี้รู้สึกปวดหัวนักเมื่อได้ฟังเรื่องเหล่านี้และรู้สึกแอบโชคดีที่เขาให้เฉียนว่านก้วนมาเป็นเขาแทน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะรีบออกไปจากการสนทนาเช่นนี้ซึ่งมันคงทำให้เขาเบื่อตายแน่นอน
ชานั้นยอดเยี่ยมและกลิ่นหอมของมันก็ซึมซับเข้าไปถึงปอด
หลังจากดื่มชาไปหม้อหนึ่งแล้ว เจียงอี้ก็ใจร้อนเล็กน้อยและให้สัญญาณตากับเฉียนว่าก้วน ในขณะที่อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องนี้แล้ว แต่เฉียนว่านก้วนก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจและถามว่า “โอ้ใช่ นายน้อยมู่หยี เมื่อไม่กี่เดือนก่อนน้องเจียงของข้าบังเอิญได้พบกับแม่นางตระกูลหนานกง นางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่ง ท่านจะเชิญนางมาเพื่อที่ข้าจะไปขอบคุณนางด้วยตัวเองได้หรือไม่?”
“แม่นาง?”
หนานกงมู่หยีประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่เขาถามว่า “ข้าขอทราบชื่อนางได้หรือไม่? ท่านน่าจะรู้ว่า…ตระกูลข้ามีสมาชิกมากมายนัก”
เฉียนว่านก้วนเหลือบมองเจียงอี้และอธิบายว่า “เหมือนว่านางน่าจะชื่อหนานกงฉี่หลิง?”
“พี่ใหญ่ฉี่หลิง?”
หนานกงมู่หยียิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าคงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว พี่ใหญ่ฉี่หลิงเป็นหม้ายและยังคงทำตามพิธีอยู่ ตามกฎของตระกูลแล้ว นางไม่สามารถไปพบคนนอกด้วยตัวเองได้ หากผู้ใดต้องการพบนาง ก็คงต้องรอให้ผ่านไปหนึ่งปีเจ็ดเดือนก่อน นี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อของข้าและพี่ใหญ่ฉี่หลิงกำลังสวดมนต์และถือศีลอยู่ในวัดที่ลานตำหนักด้านใน”
“โอ้ น่าเสียดายนัก หากข้ามีโอกาสในอนาคต ข้าจะมาพบนางเพื่อขอบคุณนางด้วยตนเอง” เฉียนว่านก้วนพยักหน้าราวกับว่าไม่ใช่ปัญหาและเปลี่ยนหัวข้อทันที ส่วนคิ้วของเจียงอี้ก็ถักทอขณะที่เขารู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย
แม้ว่าเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานจะเป็นหม้ายและไม่สามารถพบกับคนนอกได้เพียงลำพัง แต่เฉียนว่านก้วนก็มีสถานะเป็นศิลปินขั้นเทพ หากตระกูลหนานกงต้องการผูกมัดเฉียนว่านก้วน พวกเขาก็น่าจะอยากให้เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานสร้างสัมพันธ์กับเขา ไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมให้นางออกมาพบกัน?
เมื่อนึกถึงกระดิ่งวิญญาณอินทนิล เจียงอี้ก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น เขารู้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เป็นเรื่องของตระกูลหนานกงและหากพวกเขาไม่ต้องการพูดออกมา เจียงอี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะพวกเขาคงไม่สามารถทำตัวบุ่มบ่ามในตระกูลหนานกงได้ใช่ไหม? หากพวกเขาขุ่นเคืองกับหนานกงหยุนยี่ เพียงแค่ฝ่ามือเดียวนั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะสังหารพวกเขาทั้งหมดได้
หลังจากที่คุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เจียงอี้ก็ให้เฉียนว่านก้วนร่ำลา เดิมทีเฉียนว่านก้วนมีคำถามเรื่องแดนลึกลับและให้หนานกงมู่หยีมอบป้ายให้พวกเขาได้เข้าไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เขาก็ถูกเจียงอี้ขัดจังหวะเสียแล้ว
พวกเขาจะต้องฉวยโอกาสเมื่อมันมีโอกาสมาให้แล้ว!
การจะเข้าสู่แดนลึกลับในแต่ละครั้งต้องใช้ศิลาสวรรค์หนึ่งพันล้านก้อนเพื่อเข้าไปได้สองชั่วโมง ซึ่งมันมีราคาแพง แต่เจียงอี้มีป้ายกิตติมศักดิ์ซึ่งมันสามารถลดราคาลงได้ครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนศิลาสวรรค์และหากพวกเขามีศิลาสวรรค์ไม่พอ พวกเขาก็สามารถสร้างภาพวาดไม่กี่ภาพมาได้
หลังจากที่อำลาหนานกงมู่หยีแล้ว เจียงอี้และกลุ่มของเขาก็มุ่งหน้าไปยังสมาคมการค้าตระกูลหนานกงทันที และหลังจากที่เข้าไปในสมาคมการค้าแล้ว หวงฝูเทาเทียนก็พาทั้งสองไปยังชั้นสอง ซึ่งผู้บัญชาการก็รีบมาต้อนรับพวกเขาอย่างรวดเร็วและป้องมือมาแต่ไกล “นายท่าน นายน้อยหวงฝู ยินดีต้อนรับทุกท่านขอรับ”
“เราต้องการเข้าไปในแดนลึกลับ”
หวงฝูเทาเทียนโบกมือขณะที่ผู้บัญชาการนำทางไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจียงอี้ก็ส่งข้อความมาถามด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่หวงฝู แดนลึกลับอยู่ที่ไหนกัน? มันอยู่บนชั้นสองนี้หรือ?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว เดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว” หวงฝูเทาเทียนหัวเราะอย่างมีเลศนัย หัวหน้าคนนั้นพาทุกคนเข้าไปในห้องโถงใหญ่ในขณะที่เจียงอี้ก็รู้ทันทีที่เขาเข้าไป มันมีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ในนั้น
หวงฝูเทาเทียนส่งข้อความมาและสั่งว่า “แดนลึกลับนี้เป็นเขตพิเศษ ไม่ต้องเอะอะไปเมื่อเจ้าเคลื่อนย้ายเข้าไป จากนั้นเจ้าก็จดจ่อกับการหาที่นั่งและเข้าถึงมันเสีย ภายในนั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง”
เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven – บทที่ 785 แดนลึกลับ
บทที่ 785 แดนลึกลับ
Posted by ? Views, Released on กันยายน 26, 2022
, เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
Status: Ongoing
นิยายกำลังภายใน นิยายจีน นิยายจีนย้อนยุค นิยายจีนแปลไทย นิยายดราม่าเข้มข้น นิยายบู๊ล้างผลาญ นิยายผจญภัยมันๆ นิยายแฟนตาซี นิยายแฟนตาซีสนุกๆ แก้นแค้น
เรื่องย่อ
ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย เจียงอี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอัปยศและการ
ถูกเหยียดหยามเนื่องจากจุดตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้
วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผนึกในตันเทียนของเขาได้ถูก
ทำลายและถูกแทนที่ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบ่มเพาะเปลวไฟ
ศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์ของเขา การเดินทางอันแสนท้าทายของเจียงอี้
จึงได้อุบัติขึ้น!
หากมวลมนุษย์กล้าปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรม ศพนับล้านจะต้อง
เกลื่อนปฐพี!
หากแม้แต่สวรรค์ยังไม่ยุติธรรมกับข้า ข้าก็จะแผดเผาสวรรค์ทิ้งเสีย!